บทที่ 707 หากมีกระเทียม
บทที่ 707 หากมีกระเทียม
สวีเฉิงเจ๋อมองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของกู้เสี่ยวหวาน และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาถูกปิดกั้นโดยบางสิ่ง หม้อไฟที่อร่อยมากเมื่อวานวันนี้มีรสชาติดั่งเคี้ยวขี้ผึ้ง
กู้เสี่ยวหวานเป็นคนดีมาก ธรรมชาติของนางบริสุทธิ์ และไร้เดียงสาด้านความสัมพันธ์ชายหญิง แม้ว่านางจะอายุน้อยกว่า แต่นางก็มีความอดทนแบบที่สตรีที่โตแล้วไม่มี
เพียงเพราะการมีอยู่ของแสงที่ส่องสว่าง สวีเฉิงเจ๋อตกหลุมรักมัน และเขาไม่ลังเลเลยที่จะทำเช่นนั้น
สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย แต่มีคนจำนวนมากอยู่ที่นั่น และทุกคนก็รับประทานอาหารอย่างเต็มที่ มันไม่ง่ายสำหรับเขาที่จะเปลี่ยนที่นั่ง และมันก็ไม่ดีสำหรับเขาที่จะแสดงสีหน้าเศร้าสร้อย
ในขณะนี้ หลี่ฝานชูจอกไปที่เขา “คุณชายสวี ข้าอยากจะดื่มอวยพรให้เจ้า!” ในใจของหลี่ฝาน สวีเฉิงเจ๋อผู้นี้เป็นคนดี
โดยไม่สนใจอาชีพการงานในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร เขากลับมาที่นี่อย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อสั่งสอนและให้การศึกษาแก่ผู้คน ดังนั้นเขาจึงได้สละชีวิตเพื่อความชอบธรรม!
หลี่ฝานเองก็ได้อ่านตำรามากมาย แต่เขาไม่เคยได้รับชื่อเสียง การอ่านเพียงแค่เพิ่มความรู้เท่านั้น
ดังนั้นนอกจากอาจารย์แล้ว สิ่งที่เขาชื่นชมที่สุดคือเหล่าบัณฑิต โดยเฉพาะผู้ที่สอนและให้ความรู้แก่ผู้คน
เมื่อเห็นหลี่ฝานดื่มให้เขา สวีเฉิงเจ๋อก็รีบหยิบจอกสุราขึ้นมาและทำความเคารพเขา “เถ้าแก่หลี่ สุภาพไปแล้ว”
ทั้งสองชนจอกกันและดื่มหมดในรวดเดียว
กู้เสี่ยวหวานนั่งบนเบาะพลางกินอาหารตรงหน้านาง คำพูดที่ฉินเย่จือพูดยังคงอยู่ในหูของนางตอนนี้ทำให้นางหน้าแดง และหัวใจดวงน้อยของนางก็เต้นแรงเพราะการหยอกล้อของเขา
โชคดีที่ทุกคนเมาและไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของนาง เมื่อนางมองไปข้างหน้า อาหารในชามที่อยู่ข้างหน้านางก็กองเป็นภูเขาแล้ว
ทั้งหมดนี้ถูกวางโดยฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานรู้สึกอายเกินกว่าจะมองไปที่ฉินเย่จืออีกต่อไป ดังนั้นนางจึงได้แต่ยกตะเกียบขึ้นและเริ่มต่อสู้กับเนินเขาที่อยู่ข้างหน้านาง
สำหรับมื้ออาหาร ทุกคนกินอย่างเต็มที่ ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่พวกเขากินอาหารที่เตรียมไว้จนหมด ฟ้าก็มืดมากแล้ว
ทุกคนพิงพนักเก้าอี้พลางลูบท้องอย่างมีความสุขยิ่ง
“เสี่ยวหวาน ข้าไม่เคยกินหม้อไฟแบบนี้มาก่อน วิธีการกินเช่นนี้ไม่เหมือนใคร ทั้งรสชาติก็ดีมาก!” สวีเซียนหลินชมเชยโดยไม่ลังเล
“ใช่แล้ว เด็กสาวคนนี้ทำอาหารอร่อย ๆ เก่งนัก ข้าได้กินสิ่งที่เจ้าทำทีไร มักอิ่มจนเดินไม่ไหว” ฮูหยินสวีชมซ้ำ
คำชมของทั้งสองทำให้กู้เสี่ยวหวานเขินอายเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงพูดอย่างสุภาพ “ที่จริงหากมีของพร้อม เกรงว่ารสชาติจะดีกว่านี้อีกเจ้าค่ะ!”
ทุกอย่างที่นี่อร่อยมากแล้ว แต่เห็นว่ากู้เสี่ยวหวานบอกว่าน้ำจิ้มสามารถทำได้ดีกว่านี้ ทุกคนก็ยืดคอรอกู้เสี่ยวหวานพูดต่อ
เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังรอให้นางเอ่ยต่อ กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ปฏิเสธ “นอกจากน้ำมันพริกกับน้ำจิ้มแล้ว อย่างอื่นในหม้อไฟนี้เป็นของทั่วไป ข้าคิดว่าถ้ารสนิยมส่วนตัวแตกต่างกัน ถ้ามีเพิ่มน้ำจิ้มหลายชนิดจะดีกว่าหรือไม่? เช่นเดียวกับหนิงอันและน้อง ๆ พวกเขากินเผ็ดไม่ได้ แต่ของต้มเช่นนี้ไม่มีรสชาติ จึงสามารถเพิ่มน้ำจิ้มที่ไม่เผ็ดได้”
กู้เสี่ยวหวานกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นสมุนไพรชนิดหนึ่งในตำรา ว่ากันว่ามันมีกลิ่นและรสที่เผ็ด สมุนไพรชนิดนี้สามารถปลูกในฤดูใบไม้ร่วง และจะเก็บเกี่ยวได้ในเดือนสี่หรือห้าของปีถัดไป ข้าได้ยินมาว่าสมุนไพรชนิดนี้เรียกน้ำย่อยได้ดีนัก ข้าว่าถ้าเอามารวมกันน่าจะได้รสชาติที่ดียิ่งขึ้น!”
ถ้ากินกระเทียมกับหม้อไฟล่ะก็จะเข้ากันสุด ๆ
แต่ในยุคที่วัตถุดิบขาดแคลนเช่นนี้ การหากระเทียมอาจยากเย็นยิ่งกว่าการปีนขึ้นสวรรค์!
“เสี่ยวหวาน เจ้ากำลังพูดถึงอาหารประเภทเนื้อ*[1] ใช่หรือไม่?” หลังจากฟังคำอธิบายของกู้เสี่ยวหวาน สวีเซียนหลินก็คล้ายจะจำได้ว่าเขาเคยอ่านเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในตำรา
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าราวกับว่านางตระหนักได้ทันที “ใช่แล้วเจ้าค่ะ มันคืออาหารประเภทเนื้อ”
ชาวพุทธเรียกผักที่มีกลิ่นฉุน เช่น หัวหอม กระเทียม ต้นหอม ผักชี เป็นต้น ว่าเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์
กู้เสี่ยวหวานไม่คาดคิดว่าสวีเซียนหลินจะรู้เรื่องนี้ ซึ่งนางดีใจยิ่ง ดูเหมือนว่าควรมีสิ่งเหล่านี้ในอ้างอิงอยู่ในตำรายุคนี้
ถ้าเป็นเช่นนั้นคงจะดีไม่น้อย เพราะจะหามันพบได้อย่างแน่นอน
กู้เสี่ยวหวานพลันได้ยินหลี่ฝานถามว่า “เสี่ยวหวาน เจ้าช่วยอธิบายสิ่งนี้โดยละเอียดได้หรือไม่? บางทีข้าอาจเคยเห็นมาก่อน!”
หลี่ฝานมักเดินทางไกล จึงได้เห็นโลกมามาก ทั้งยังเชี่ยวชาญในด้านอาหาร หากสิ่งนี้กินได้ ดังนั้นบางทีเขาอาจเคยเห็นมันมาก่อนก็ได้
กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยความหวังอันริบหรี่ “ข้าเคยเห็นแต่รูปเหมือนของสิ่งนั้นในตำรา มันมีหัวลักษณะกลมแป้น ผิวด้านนอกสีขาวนวลหรือสีน้ำตาลอ่อน พอลอกผิวออก ข้างในมีรูปกลีบดอกไม้อยู่หลายอัน!”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสี่ยวเซิ่งจื่อร้องขึ้นอย่างตื่นเต้นยินดี “เถ้าแก่ พวกเราเคยเห็นสิ่งนั้น ท่านจำได้หรือไม่ มันอยู่ในเมืองรุ่ยเสียน ไม่นานมานี้ที่พวกเราไปหาซื้อเครื่องเทศ พวกเราเคยไปที่บ้านชาวนาในเมืองรุ่ยเสียน แล้วพวกเขาเคยให้สิ่งนั้นแก่พวกเรา!”
ความทรงจำของเสี่ยวเซิ่งจื่อยังสดใหม่อยู่!
เพราะเขากินกลีบดอกของมันในเวลานั้น!
กลิ่นฉุนร้อนแรงจนน้ำมูกและน้ำตาของเขาไหลออกมา เจ้านี่เผ็ดกว่าพริกเสียอีก ทั้งเมื่อลอกผิวด้านนอกออกแล้วจะมีกลิ่นฉุน ซึ่งเป็นกลิ่นที่แย่จริง ๆ!
หลี่ฝานครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ในใจ ในที่สุดก็จำมันได้ เขาตบมือและพูดอย่างตื่นเต้น “อ้อ! จำได้แล้ว ตอนที่ข้ากำลังหาเครื่องเทศกับพ่อครัว ครั้งหนึ่งข้าเคยไปบ้านหลังหนึ่ง และบ้านหลังนั้น พวกเขาออกมาบอกว่าพบมันบนภูเขาโดยบังเอิญ พอได้กินก็พบว่ามันเผ็ดเกินไป นอกจากนี้ยังมีกลิ่นฉุนที่ทำให้คนไม่ชอบ แน่นอนว่าการเลือกเครื่องเทศย่อมเลือกอันที่มีกลิ่นหอม แล้วข้าจะอยากได้ของเหม็น ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ตอนนั้นข้าจึงไม่ต้องการมัน! ตอนที่ข้าอยู่ในเมืองหลวงยังเคยเห็นสิ่งนี้โดยบังเอิญ แต่กลิ่นมันน่ารังเกียจ เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งนี้ยังใช้ทำอาหารได้?” หลังจากฟังคำอธิบายของกู้เสี่ยวหวานแล้ว หลี่ฝานก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ในเวลานั้นเขาควรจะซื้อมันไว้
*[1] อาหารประเภทเนื้อ หมายถึง พืชบางชนิดที่มีผลต่ออารมณ์และความปรารถนาหลังรับประทานอาหาร อาหารประเภทเนื้อสัตว์มี 5 ประเภทหลัก รวมเรียกว่าอาหารประเภทเนื้อสัตว์ 5 อย่าง