บทที่ 732 พวกเขาเป็นอิสระ
บทที่ 732 พวกเขาเป็นอิสระ
ครั้นเห็นเสี่ยวเถาโกรธเกรี้ยว กู้เสี่ยวหวานกลับหัวเราะเย้ยหยัน
เสี่ยวเถาคิดว่ากู้เสี่ยวหวานมีสัญญาค้าทาสของพวกเขาอยู่ในมือจริง ๆ จึงข่มขู่พวกเขา และเอ่ยอย่างไร้ความปรานี “กู้เสี่ยวหวาน เจ้าเป็นแค่สาวบ้านชนบท เจ้ามีความสามารถอะไรที่จะขัดขวางไม่ให้คนอื่นมีชีวิตที่ดี!”
มีชีวิตที่ดี?
กลายเป็นทาสของบ้านตระกูลหลิว ค่อยรับใช้ปรนนิบัติคุณหนูหลิวน่ะหรือถึงเรียกมีชีวิตที่ดี?
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วและเอ่ยอย่างรำคาญ “พวกเขาเป็นอิสระ พวกเขาสามารถไปหรืออยู่ก็ได้ตามต้องการ”
หลังจากได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวานแล้ว เสี่ยวเถาพลันตกตะลึง เมื่อครู่นางบอกว่าสองคนนี้เป็นอิสระ? จะไปหรืออยู่ก็ได้ตามต้องการ?
แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ตามนางไปกันล่ะ?
เสี่ยวเถาไม่ยอมแพ้และเริ่มอ้อนวอนกู้เสี่ยวหวานอีกครั้ง “แม่นางกู้ คุณหนูของข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นคนทำผ้าเช็ดหน้าและตุ๊กตา เอาแบบนี้ดีหรือไม่ เจ้ามอบสองคนนี้ให้แกข้าและหลังจากนี้ของทุกอย่างที่เจ้าทำ พวกข้าจะรับซื้อไว้ทั้งหมด เจ้าว่าอย่างไร?”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งนี้ นางก็โกรธและพูดอย่างไม่พอใจ “แม่นาง ได้โปรดกลับไปเถอะ พวกเขาไม่ใช่ทาสของข้า พวกเขาทั้งหมดเป็นสมาชิกในครอบครัวของข้า และข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะขับไล่พวกเขาออกจากบ้านถ้าพวกเขาไม่ต้องการออกไป ตระกูลหลิวของเจ้าร่ำรวยและมีอำนาจ ต้องการใครไม่ต้องการ กลับมาต้องการคนในครอบครัวของข้า ได้โปรดกลับไปเถอะ!”
ตอนนี้อาโม่หมดความอดทนแล้วและพูดว่า “พวกเราพูดแล้วว่าไม่ไป ทำไมเจ้ายังไม่เข้าใจอีก!”
เสี่ยวเถาหันศีรษะของนางมองไปที่ฉินเย่จืออีกครั้ง ตั้งแต่ต้นจนจบ บุคคลนี้ไม่เคยพูดอะไรสักคำ หรือคนผู้นี้…
ทันทีที่มองไปที่เขา นางก็รู้สึกถึงความเย็นชาทันที
เกรงว่าคนผู้นี้จะถูกชักจูงไม่ง่ายเลยจริง ๆ!
เสี่ยวเถาร่างกายแข็งทื่อราวกับถูกน้ำเย็นสาด
เมื่อมองไปรอบ ๆ ทุกคนในครอบครัวกู้ต่างจ้องมองนางเหมือนศัตรู
เมื่อนึกถึงคืนนั้น มือของนางบวมแดงจากการถูกบีบ และคนผู้นั้นเพียงแค่บีบมันเบา ๆ เท่านั้น
เสี่ยวเถารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ก็ตัดสินใจที่จะยอมแพ้ นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทิ้งคำพูดไว้และวิ่งหนีไป “ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
จะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะถึงเป้าหมาย
ในวันที่ดีเช่นนี้ การที่สาวใช้คนนี้เข้ามาวุุ่นวาย ล้วนทำให้ทุกคนในครอบครัวไม่มีความสุข
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกู้เสี่ยวหวาน สิ่งที่เสี่ยวเถาพูดตอนนี้ยังคงดังก้องอยู่ในหู พวกนางคงจะปล่อยมันไปไม่ได้จริง ๆ
แน่นอนว่าในวันต่อมา สาวรับใช้คนนั้นก็กลับมาอีก
สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ก็คือ เสี่ยวเถากลับมาด้วยใบหน้าที่ขุ่นเคืองและรายงานเรื่องนี้กับหลิวเทียนฉือ
นางยังเติมเชื้อไฟเพื่อบอกว่าฉินเย่จือไม่รู้ผิดรู้ชอบ และดูถูกเงินเดือนสองเท่าของหลิวเทียนฉือ
เสี่ยวเถารู้อยู่แก่ใจเช่นกันว่า ถ้านางไม่พูดอะไรที่น่าเกลียด นางอาจจะไม่สามารถทำให้คุณหนูหวั่นไหวได้
เสี่ยวเถามีลางสังหรณ์ว่าไหโข่วที่นางอวดอ้างอาจไม่เป็นจริง แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ นางก็ต้องคิดหาหนทางที่เหมาะสม
ดังนั้นจึงคิดถึงเรื่องนี้ตลอดทางและบอกว่าฉินเย่จือนั้นไร้ค่า
เดิมทีต้องการเกลี้ยกล่อมให้คุณหนูเลิกคิดเช่นนั้น
“คุณหนู มีหลายคนที่รู้ศิลปะการต่อสู้ที่นี่และไม่จำเป็นต้องใช้ฉินเย่จือ คุณหนูไม่เห็นหรือว่าฉินเย่จือยืนอยู่ที่นั่นเหมือนหุ่นไม้ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ ทั้งตัวเหม็นและแข็งกระด้าง” เสี่ยวเถาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะพูดให้ร้ายฉินเย่จือ แต่นางจะไม่พูดเกินจริงมากเกินไปเพราะกลัวว่าหลิวเทียนฉือจะมองออก
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเถาไม่ได้คาดหวังว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของหลิวเทียนฉือคือต้องการฉินเย่จือจริง ๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่เสี่ยวเถาพูด หลิวเทียนฉือก็มองนางอย่างเฉยเมย จนเสี่ยวเถารู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อเห็นคุณหนูมองนางแบบนั้น แต่เมื่อคิดถึงครั้งหนึ่งที่นางเคยพูดว่าจะทำให้ได้ แต่ตอนนี้นางยังทำไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะได้รับความไว้วางใจจากคุณหนูในอนาคตได้อย่างไร
หลิวเทียนฉือไม่เปิดปากของนางและหยิบถ้วยชาด้วยมือข้างหนึ่งที่เรียวและขาว ยกฝาถ้วยขึ้นด้วยมืออีกข้างหนึ่ง แล้วใช้ฝาค่อย ๆ บี้ลงกับใบชา
เครื่องประดับที่หลิวเทียนฉือสวมใส่ในวันนี้คือจินปู้เหยา ลักษณะของมันมีสายลูกปัดห้อยระหย้าลงมา มีขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย ไข่มุกกลมกลึงดุจพระจันทร์วันเพ็ญ และมีกระจกสีสันงดงามดุจดอกท้อที่พันเข้าด้วยกัน มีเสน่ห์อย่างสุดจะพรรณนาได้ มองดูแล้วนุ่มนวลยิ่งนัก เพียงได้เห็นก็ทำให้ผู้คนหลงใหล
เสี่ยวเถาอยู่กับหลิวเทียนฉือมาหลายปีแล้ว แต่ทุกครั้งนางเดาไม่ออกว่าคุณหนูคิดสิ่งใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางพักผ่อน เสี่ยวเถารู้สึกกลัวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าพายุอะไรซ่อนอยู่ภายใต้ความนิ่งสงบ
เสี่ยวเถาจ้องมองด้วยลมหายใจที่แผ่วเบาลง หัวใจของนางเต้นแรง
หลิวเทียนฉือจิบชา ริมฝีปากของนางดูเหมือนจะมีหยดน้ำเกาะอยู่สองสามหยด
เสี่ยวเถาเลียริมฝีปากของนางโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่ามีบางอย่างติดอยู่ในลำคอทำให้นางหายใจลำบาก
หลิวเทียนฉือยังคงไม่พูดอะไร เสี่ยวเถาหวาดกลัวจนขาแข้งอ่อนแรงและทรุดลงไปคุกเข่าบนพื้นเสียงดัง
นางพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “คุณหนู ฉินเย่จือคนนั้น เขา… เขาไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรชอบ และเขาปฏิเสธที่จะมาที่นี่ อีกทั้งยังถูกกู้เสี่ยวหวานยุยง ข้าน้อยไม่ควรโกหกคุณหนู ทาสสมควรตาย!”
หลิวเทียนฉือชำเลืองมองเสี่ยวเถาที่สั่นสะท้านไปทั้งตัว และพูดอย่างนิ่งสงบ
“ในเมื่อเจ้าสัญญากับข้าแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องพาเขามาที่นี่ ส่วนเรื่องค่าจ้าง เขาจะขออะไรก็ได้ตราบใดที่เขาเต็มใจมา”
เสี่ยวเถาพยักหน้าอย่างเร่งรีบและผงะไปเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียง “อา…” และเงยหน้าขึ้นมองหลิวเทียนฉือ สีหน้าของหลิวเทียนฉือเย็นชา เสี่ยวเถาก็ตระหนักว่านางมีปัญหามากไปแล้ว และก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ใช่แล้ว ข้าน้อยคนนี้รู้ ข้า…”
สาวใช้ยังคงพร่ำพรรณาและบอกว่าจะต้องพาฉินเย่จือมาที่นี่ให้ได้ แต่เมื่อคิดถึงการแสดงออกที่เย็นชาของฉินเย่จือแล้ว เสี่ยวเถาก็หยุดพูดอย่างรวดเร็ว
นางไม่เข้าใจว่าทำไมฉินเย่จือถึงไม่ยอมมาพร้อมกับเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยเช่นนี้ คุณหนูมากจากตระกูลร่ำรวยในเมืองหลวง หากได้อยู่เคียงข้างคุณหนู อนาคตของเขาก็จะไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางได้ ถ้าเขาอยู่กับกู้เสี่ยวหวานในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ เขาจะเป็นคนธรรมดาที่มีฐานะยากจน แม้เห็นเพียงผู้เป็นเจ้าเมืองระดับล่างก็ยังต้องก้มศีรษะทำความเคารพ
ครั้งนี้ คุณหนูจะยอมจ่ายเงินตามที่ฉินเย่จือเรียก เสี่ยวเถาไม่เพียงแต่รู้สึกประหลาดใจและตกใจ แต่ยังรู้สึกรำคาญและอิจฉาอย่างมากอีกด้วย