บทที่ 792 เขาเป็นหายนะ
บทที่ 792 เขาเป็นหายนะ
ตอนนี้กู้ฟางสี่กำลังประสบพบเจอปัญหา และนางไม่สามารถนิ่งดูดายได้
กู้ฟางสี่ได้ยินกู้เสี่ยวหวานบอกว่าตนเองสามารถอยู่ได้เท่าที่ต้องการ และยังบอกว่าตัวเองเป็นญาติ นางจึงเงยหน้าขึ้นอย่างมีความสุข นอกจากความยินดีอย่างสุดซึ้งแล้ว ยังมีความรักที่ลึกซึ้งฉายชัดในดวงตาของนาง
บนใบหน้าของผู้เป็นอาเต็มไปด้วยความหลากอารมณ์ปะปนกัน ราวกับกล้องสลับเปลี่ยนที่ไปมาได้
กู้เสี่ยวหวานเข้าใจการแสดงออกของกู้ฟางสี่ แต่ไม่สามารถมองทะลุผ่านการแสดงออกของนางได้อย่างชัดเจน
ขณะที่กู้เสี่ยวหวานกำลังจะถามต่อก็ได้ยินน้ำเสียงอันเป็นกังวลดังขึ้นที่หน้าประตู “ฟางสี่ พวกเจ้าคุยกันเสร็จแล้วหรือยัง หากคุยกันเสร็จแล้วพวกเราไปพักผ่อนกันเถอะ วันนี้เจ้านั่งรถมาทั้งวัน เจ้าคงจะเหนื่อยมากแน่”
เป็นเสียงของหลิวชิงซาน และน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความกังวล
แต่เขามีความคิดอื่น ดูเหมือนว่าหลิวชิงซานจะกลัวที่ปล่อยให้กู้ฟางสี่และกู้เสี่ยวหวานอยู่ด้วยกัน
เมื่อกู้ฟางสี่ได้ยินเสียงของหลิวชิงซาน นางก็ผุดลุกขึ้นยืน ท่าทางของนางลุกลี้ลุกลนเกินไปจนเผลอเตะเก้าอี้ด้านข้างจนเกิดเสียงดัง
“เกิดอะไรขึ้น? ฟางสี่ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” หลิวชิงซานถามอย่างกังวลอีกครั้งจากด้านนอก
“โอ้ ไม่เป็นไร ข้าไม่ระวัง… จนเผลอเตะเก้าอี้!” กู้ฟางสี่ตอบไปทางด้านนอก
กู้เสี่ยวหวานที่อยู่ด้านข้างฟังและมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเต็มไปด้วยความหมาย แต่รอยยิ้มนั้นมันทำให้กู้ฟางสี่รู้สึกชาไปทั้งตัว
“ท่านอากับสามีคงเข้ากันได้ดีมาก! จากกันเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เขาก็เป็นห่วงท่านเสียแล้ว” กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนจะมีความหมายลึกซึ้งสุดจะพรรณนาในสายตาคู่นั้น
กู้ฟางสี่รู้สึกประหลาดใจและตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ใช่แล้ว ใช่แล้ว… สามีของข้า…” เมื่อพูดถึงคำนี้ กู้ฟางสี่กลับขมวดคิ้วแน่นแล้วพูดต่อ “ดีมาก…”
หลังจากพูดจบ นางก็ไม่สนใจกู้เสี่ยวหวานอีก และรีบเปิดประตูเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หลิวชิงซานยืนอยู่ข้างนอก มองไปที่กู้ฟางสี่ด้วยใบหน้าที่ดุร้าย แต่น้ำเสียงของเขาแตกต่างจากการแสดงออกอย่างสิ้นเชิง
“ฟางสี่ เจ้าคงเหนื่อยแล้ว เรากลับไปพักผ่อนกันเถอะ!” เสียงนั้นอ่อนโยน แต่แววตาแทบจะฉีกกู้ฟางสี่ออกเป็นชิ้น ๆ
เมื่อเห็นกู้ฟางสี่ใกล้เข้ามา เขาก็คว้าแขนของกู้ฟางสี่แล้วบีบแน่น
กู้ฟางสี่รู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งแขน หากแต่ไม่กล้าร้องไห้ออกมา นางทำได้เพียงแสร้งแสดงความรักและเดินกับหลิวชิงซานเข้าไปในห้องที่กู้เสี่ยวหวานเตรียมไว้สำหรับพวกเขา
เมื่อเข้าไปในห้อง หลิวชิงซานก็ผลักกู้ฟางสี่ลงบนพื้นอย่างโหดเหี้ยม
กู้ฟางสี่ล้มลงกับพื้น แต่นางไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย นางกัดฟันและพยายามยันตัวจากพื้นขึ้นมา
หลิวชิงซานมีสีหน้าที่ชั่วร้ายและเริ่มลงไม้ลงมือกับผู้เป็นภรรยา แต่เขาไม่กล้าออกแรงมากเกินไป ห้องนี้อยู่ติดกันกับอีกห้องหนึ่ง แม้ว่าประตูจะถูกปิดอยู่ แต่จะให้เสียงเล็ดลอดออกไปไม่ได้
กู้ฟางสี่ไม่กล้าส่งเสียงสักคำ นางเอาแต่ปิดปากเงียบตลอดเวลา หลิวชิงซานใช้มือถอดเสื้อผ้าของกู้ฟางสี่ ความเย็นจากภายนอกที่กระทบร่างกายที่เปลือยเปล่า ทำให้ร่างกายของกู้ฟางสี่สั่นเทา และหลังจากนั้นก็ทับไว้ด้วยร่างกายอันหนักอึ้งของอีกฝ่าย
ลมหายใจของหลิวชิงซานคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์หลังจากกินกระเทียมพ่นปะทะจมูกนาง กู้ฟางสี่ได้แต่หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด
“ให้ตายเถอะ ไม่คาดคิดว่าครอบครัวของหลานสาวเจ้าจะร่ำรวยขนาดนี้ และยังอาศัยอยู่ในบ้านดี ๆ เช่นนี้อีก ดูเหมือนว่าครั้งนี้ข้าจะไม่ได้มาเสียเปล่า หากเจ้าไม่ร่วมมือกับข้า ระวังตัวไว้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!” หลิวชิงซานทิ้งน้ำหนักทับลงบนร่างกายของกู้ฟางสี่ เสื้อผ้าบนร่างกายของนางถูกหลิวชิงซานถอดออกไปแล้ว
พื้นหนาวเย็นเยียบ หลิวชิงซานทำเพียงแค่ถอดกางเกงของเขาออก โดยไม่สนใจว่ากู้ฟางสี่จะหนาวหรือไม่ เขาเพียงแค่คร่อมทับร่างกายนางไว้
เขาขยับร่างกายถาโถมใส่อีกฝ่ายไม่หยุด
เขาไม่สนใจกู้ฟางสี่เลยแม้แต่น้อย
แผ่นหลังของกู้ฟางสี่เย็นยะเยือก พื้นทั้งเย็นและแข็ง ร่างกายสั่นเทาด้วยความหนาว แต่ไม่ว่าจะหนาวเหน็บเท่าไร แต่ก็ไม่อาจสู้ได้กลับความหนาวเย็นได้ในจิตใจ
หยาดน้ำตาแห่งความอับอายหลั่งริน เปรอะเปื้อนใบหน้าอันงดงาม
หลิวชิงซานคิดว่าเสียงของตนเองเบามาก แต่แท้จริงแล้วเขาพยายามอย่างหนักจะระงับเสียงของตนเองไว้ และปิดปากของกู้ฟางสี่แน่นเพราะกลัวว่านางจะส่งเสียงดังออกไป
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเสียงของจะแผ่วเบาแค่ไหน ทุกคำพูดที่เขาเอ่ย เสียงครวญครางเบา ๆ ยังดังก้องอยู่ในหูของฉินเย่จือและอาโม่
เมื่ออาโม่อยู่ในห้องของฉินเย่จือ เขาได้ยินเสียงครวญครางดังมาจากห้องของหลิวชิงซาน
แม้ว่าเสียงนั้นจะแผ่วเบา หากไม่ตั้งใจฟังดี ๆ ก็อาจจะไม่ได้ยิน แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่หูตาไว เสียงแค่นี้ก็ถือว่ามันดังมาก
คำพูดของหลิวชิงซานทำให้ฉินเย่จือขมวดคิ้ว จากนั้นก็ได้ยินเสียงครวญครางอันสุขสมที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เขาสามารถเข้าใจได้ทันที เสียงนั้นทำให้อาโม่และฉินเย่จือหน้าแดงก่ำ
“นายท่าน…” ใบหน้าของอาโม่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่เขารู้สึกว่าหลิวชิงซานเป็นคนเหลาะแหละเกินไป เมื่อเห็นเจ้านายของตนเอาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาจึงรีบพูดว่า “ข้าคิดว่าหลิวชิงซานคนนี้ต้องมีความลับที่บอกใครไม่ได้แน่!”
“หึ…” ฉินเย่จือหัวเราะเยาะหลังจากได้ยินสิ่งนี้ “เกรงว่าจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องการทรัพย์สมบัติของหวานเอ๋อร์!”
ในตอนแรก ฉินเย่จือไม่เข้าใจนัก กู้เสี่ยวหวานมีทุ่งนาที่อุดมสมบูรณ์เพียงไม่กี่แห่ง ทำไมลุงและป้าของนางถึงมายั่วยุนางเสมอ?
ต่อมา ในที่สุดฉินเย่จือก็เข้าใจ ไม่ว่ามันจะมากหรือน้อยเพียงใด ต่อให้ที่ดินเล็กเพียงหนึ่งหมู่ ไก่หนึ่งตัว วัวหนึ่งตัว หรือใหญ่เท่าบัลลังก์สูง ตราบใดที่มีคนโลภ ไม่ว่ามากหรือน้อย ทุกคนล้วนขาดสติ และใช้เล่ห์เพทุบายทุกอย่างเพื่อทำให้ตัวเองได้สิ่งนั้นมา
“นายท่าน เราควรทำอย่างไรดี?” อาโม่ขมวดคิ้วหลังจากได้ยิน แต่อีกด้าน เสียงแห่งความสุขสมก็ดังขึ้น และดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงครางจากหลิวชิงชาน แค่ฟังก็ทำให้คนหน้าแดงได้
สีหน้าของฉินเย่จือแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
มันจะเป็นหายนะสำหรับหลิวชิงซาน
ผู้ชายคนนี้ดูแตกต่างจากภายนอกอย่างเห็นได้ชัด!