บทที่ 800 ท่าทางแปลกประหลาดของอาหญิง
บทที่ 800 ท่าทางแปลกประหลาดของอาหญิง
ชีวิตเป็นอยู่ทุกวันนี้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะซื้อรังนกและหูฉลามไม่ได้ แต่ทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อวันหนึ่งหวังว่าจะลิ้มลองรสชาติของรังนกและหูฉลาม
“ท่านพี่ แม้ว่าข้าจะไม่ได้กินโสมและรังนก แต่ข้าคิดว่าข้าวผัดไข่ก็เป็นรสชาติของชีวิต!” กู้หนิงผิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
คำพูดนี้ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าคิดว่า ตราบใดที่เราอยู่ด้วยกัน ถึงแม้จะกัดก้อนเกลือกินข้าก็มีความสุข!”
ในขณะที่ฉินเย่จือเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วกำลังจะเดินเข้ามา พลันได้ยินเสียหัวเราะครื้นเครงของทุกคน และเห็นใบหน้าที่มีความสุขของกู้สี่ยวหวาน หัวใจของเขาเองก็มีความสุข
ทุกคนล้อมโต๊ะ มีชามและตะเกียบอยู่ในมือ แป้งกวนชามใหญ่และข้าวผัดไข่จานใหญ่วางอยู่กลางโต๊ะ
ครอบครัวมีคนเยอะ พวกเข้าล้วนแล้วแต่เป็นเด็กที่กำลังโต กู้เสี่ยวหวานบอกป้าจางว่าอาหารที่บ้านต้องเพียงพอ ทำมากกว่านี้สักหน่อย อย่าให้ทุกคนกินไม่อิ่ม
ป้าจางเห็นด้วย ดังนั้นนางจึงทำอาหารอร่อย ๆ ไว้มากมายตามความอยากกินของทุกคน ไม่มีทางที่ทุกคนจะกินไม่อิ่ม แต่ก็ไม่ได้ทำในปริมาณที่มากเกินไป และไม่ได้ใช้เวลานาน เป็นปริมาณตามที่เพียงพอต่อทุกคน
ก่อนอื่น ทุกคนตักน้ำแกงไก่ใส่ถ้วยเพื่อดื่ม หลังจากดื่มแล้วทุกคนก็กินข้าวผัดอีกคนละจาน ถ้ายังไม่อิ่มก็ต่อด้วยแป้งกวนใส่ไก่ หรือจะเป็นข้าวผัดไข่ก็ได้ กินเท่าไรก็ได้ ขอแค่ไม่เหลือทิ้งให้เสียของ
กู้เสี่ยวหวานและกู้เสี่ยวอี้กินอาหารไม่มาก หลังจากกินแป้งกวนไปคนละครึ่งชาม ก็ต่อด้วยข้าวผัดอีกครึ่งจาน พวกนางก็อิ่มแล้ว
กู้เสี่ยวหวานกำลังจะลุกจากโต๊ะและกลับไปที่ห้องของนาง ในเวลานี้หลิวชิงซานที่กำลังหาวก็เดินมา และเอาแต่บ่นขณะที่เดินไป “นี่มันกี่ชั่วยามแล้ว เจ้าลากข้ามาทำไม เจ้านี่มันผู้หญิง…”
กู้เสี่ยวหวานมองย้อนกลับไปก็เห็นกู้ฟางสี่เดินไปโดยมีหลิวชิงซานเดินตามหลัง ได้ยินแต่เสียงก่นด่าของหลิวชิงซาน กู้ฟางสี่ไม่กล้าที่จะตอบโต้ ได้แต่ก้มหน้ายอมจำนนตลอดเวลาด้วยท่าทีหวาดกลัว
หลิวชิงซานไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีผู้คนมากมายในห้องอาหาร เมื่อเขาเดินเข้าไปก็เห็นคนจำนวนมากมองมาที่เขาพร้อมกัน หลิวชิงซานไม่สามารถซ่อนใบหน้าของเขาได้และรู้สึกอายเล็กน้อยแล้วพูดว่า “อ้าว ออกมากินข้าวเช้ากันหรือ?”
จากนั้นเขาก็มองไปที่กู้ฟางสี่ที่อยู่ด้านข้าง พูดด้วยความกังวลและทุกข์ใจ “ฟางสี่ดูสิ ทุกคนกำลังรอให้เรากินข้าวอยู่! เมื่อคืนเจ้านอนไม่ค่อยหลับ หลังจากกินอาหารเช้า เจ้ากลับไปที่ห้องแล้วนอนพักผ่อนเสียนะ!”
กู้ฟางสี่พยักหน้า “อื้ม ได้!”
สามีภรรยาคู่หนึ่งที่รักกันยืนนาน
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่พวกเขา ศีรษะของกู้ฟางสี่ก้มงุดตลอดเวลา ยกเว้นเมื่อได้ยินเสียงเวลานางพูด สิ่งอื่นล้วนมองไม่เห็น
นางกระซิบเบา ๆ ทำตัวเหมือนผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แต่มันไม่เข้ากับกับนางเลย
“ท่านอา มานี่เร็ว วันนี้พวกข้ากินข้าวผัดไข่เจ้าค่ะ!” เมื่อกู้เสี่ยวอี้เห็นกู้ฟางสี่ออกมาแล้วก็รีบเงยหน้าเรียกอย่างกระตือรือร้น
เมื่อได้ยินกู้เสี่ยวอี้เรียกนาง กู้ฟางสี่ก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาของนางเป็นประกาย และตอนนี้นางเหมือนคนที่มีเลือดเนื้อจริง ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ มาแล้ว!”
นางมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ทันใดนั้นดูเหมือนจะนึกอะไรออก และใบหน้าก็หุบลงอีกครั้งเหมือนแอ่งน้ำนิ่ง
กู้ฟางสี่ไม่ได้พูดอะไร หลิวชิงซานเอาแต่พูด “อะไรนะ ข้าวผัดไข่หรือ? ข้าไม่เคยกินข้าวผัดไข่เลย ฮิ ๆ วันนี้ข้าจะลิ้มลองดูสักครั้ง”
จากนั้นก็เห็นหลิวชิงซานนั่งลงอย่างไม่ระมัดระวัง หยิบชามขึ้นมา ใส่ไข่เพิ่มลงไปในข้าวผัดไข่ ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เขาเอาแต่ใส่ก้อนไข่ลงไปในข้าวผัดไข่ เพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่พอกิน
เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของเขา ทุกคนก็ขมวดคิ้วและหัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
หลิวชิงซานกินอย่างตะกละมูมมามเหมือนกับวิญญาณชั่วร้ายที่กลับชาติมาเกิด เขาอ้าปากกว้าง ตักข้าวเข้าปากเรื่อย ๆ บางทีเขาก็ไม่ได้เคี้ยวมันแล้วกลืนลงท้องไป
ราวกับไม่ได้กินมาหลายร้อยปี ทั่วทั้งโต๊ะอาหารได้ยินเสียงขากและตบปากเสียงดังขณะกินข้าว
ไม่มีภาพลักษณ์ที่ดีเลยจริง ๆ
ในทางกลับกัน กู้ฟางสี่ที่อยู่ข้าง ๆ กินอย่างนุ่มนวล เคี้ยวช้า ๆ ไม่ส่งเสียงดัง
แม้แต่ป้าจางก็ยังสงสัย คนสองคนที่ต่างกันขนาดนี้ แล้วอยู่ด้วยกันได้อย่างไร?
นอกจากนี้ หลิวชิงซานก็ยังใกล้ชิดกับกู้เสี่ยวหวานเป็นอย่างมาก
กู้เสี่ยวหวานยิ้มและพูดว่า “ค่อย ๆ กิน!” จากนั้นนางก็กลับไปที่ห้อง
กู้ฟางสี่มองไปที่กู้เสี่ยหวานที่จากไปพร้อมกับดวงตาของนางที่ไม่สามารถทนได้ แต่นางพูดอะไรไม่ได้เลย
ในวันที่หกของปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติ กู้เสี่ยวหวานพากู้หนิงอัน กู้หนิงผิง กู้เสี่ยวอี้ และฉินเย่จือไปที่เมืองเพื่ออวยพรปีใหม่ให้กับครอบครัวของสวีเซียนหลินและพี่สะใภ้ฝู จากนั้นก็กลับบ้าน
แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ป้าจางก็บอกกู้เสี่ยวหวานถึงบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาด
วันนี้กู้ฟางสี่รบกวนป้าจางให้บอกนางว่าเกิดอะไรขึ้นกับกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาราวกับว่านางสนใจมาก
เมื่อป้าจางเห็นว่านางชอบฟัง ดังนั้นจึงเล่าให้กู้ฟางสี่ฟังเป็นปกติทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ความยากลำบาก ความทุกข์ทรมานของเด็ก ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
กู้ฟางสี่น้ำตาไหลอาบใบหน้า โดยบอกว่านางไม่ปฏิบัติตามความรับผิดชอบของความเป็นอา และดูแลพวกนางไม่ดี
ป้าจางก็รู้สึกแปลกใจว่า ทำไมกู้ฟางสี่ถึงไม่เคยกลับมาเยี่ยมกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ เลยในตลอดหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรเสียนางก็ควรจะกลับมาเพื่อเผาเครื่องหอมและเยี่ยมหลุมฝังศพของพี่ชายและพี่สะใภ้สักหน่อยสิ!
ป้าจางถามอย่างตรงไปตรงมา แต่คำพูดนั้นทำให้น้ำตาของกู้ฟางสี่หลั่งรินออกมา
กู้ฟางสี่ปฏิเสธที่จะพูดอะไร ยังคงร้องไห้และเสียใจ
มันไม่เหมือนกับที่หลิวชิงซานพูดไว้ว่า หากไปอยู่ที่บ้านของเขา… แล้วจะมีความสุข แต่มันตรงกันข้าม น้ำตาของกู้ฟางสี่หลั่งรินไม่รู้จบ และมีความคับแค้นใจนับไม่ถ้วน นางไม่รู้จะบอกใครดี
ป้าจางถามอย่างกระวนกระวายในภายหลัง แต่กู้ฟางสี่บอกว่านางไม่อยากตอบคำถามเลย ถึงอย่างนั้น ความเจ็บปวดในดวงตาของนางนั้นชัดเจนไม่สามารถกลบให้มิดได้
จากคำพูดนี้ เห็นได้ว่ากู้ฟางสี่ไม่เคยมีความสุขเลย นางทำได้แค่อดทนต่อความยากลำบากเท่านั้น