บทที่ 843 ช่วยเฉินจื่อไป๋ออกมา
บทที่ 843 ช่วยเฉินจื่อไป๋ออกมา
กู้เสี่ยวหวานให้ความสนใจกับเรื่องของเฉินจื่อไป๋ตลอดเวลา ว่ากันว่าคนจากทางการเห็นว่าเฉินจื่อไป๋ไม่ปริปากเอ่ยสิ่งใดก็เริ่มรู้สึกเหน็ดเหนื่อยขึ้นมา หากยังทรมานอีกฝ่ายต่อไปเช่นนี้ พวกเขาอาจฆ่าคนได้
เดิมทีเขาไม่ได้กระทำสิ่งใดผิด เพียงแค่พูดพล่อย ๆ เท่านั้น ดังนั้นจึงลงความเห็นว่าจะไม่ทรมานเฉินจื่อไป๋อีกต่อไป
หลังจากกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ รับรู้เรื่องนี้ หลี่ฝานก็ไปที่ศาลาว่าการพร้อมกับข้าวของจำนวนมาก และได้พบกับลวี่เทาที่กลับมาแล้ว
เมื่อเห็นว่าไม่พบสิ่งใดจากการให้ปากคำของเฉินจื่อไป๋ ลวี่เทาจึงต้องยอมแพ้
เดิมทีเจียงอวิ้นหลิ่วเป็นคนมีฐานะทางสังคม แต่โชคดีที่บ้านของเฉินจื่อไป๋ไม่มีอะไรเลยนอกจากหญิงชราตาบอด
ไม่เช่นนั้น เขาจะฟ้องร้องทุกอย่างก็เพียงพอแล้ว
อย่างไรก็ตาม เฉินจื่อไป๋ไม่เอ่ยสิ่งใด ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เปิดเผยตนเอง
ดังนั้นตระกูลเจียงจึงปล่อยเขาไปเช่นกัน และไม่ถามเกี่ยวกับเรื่องของเฉินจื่อไป๋อีกต่อไป
โดยธรรมชาติแล้ว ลวี่เทาเองก็มีความสุขมากเช่นกัน แต่หลี่ฝานมาปรากฏตัวและนำเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินมาไถ่ตัวเฉินจื่อไป๋ออกไป
ลวี่เทาแสดงท่าทีช่วยเหลือ เฉินจื่อไป๋ที่ถูกขังไว้ในห้องขังมากว่าครึ่งปีก็ได้รับการปล่อยตัวในที่สุด
หลี่ฝานขอให้ลูกน้องของเขาส่งเฉินจื่อไป๋กลับไป และทิ้งเงินไว้ให้ห้าสิบตำลึงเพื่อให้เฉินจื่อไป๋รักษาอาการป่วยและพักฟื้นร่างกายของเขา
แม่เฒ่าเฉินรู้สึกขอบคุณจริง ๆ นางรู้สึกขอบคุณหญิงสาวที่พบกันเพียงครั้งเดียว แต่ก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือพวกเขา
เมื่อเฉินจื่อไป๋กลับมา เรื่องที่กู้เสี่ยวหวานรับปากไว้กับหญิงชราก็ถือเป็นการสิ้นสุด
ในช่วงเวลานี้ ครอบครัวกู้มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง
เรื่องระหว่างกู้ซินเถาและเจียงหย่วนราบรื่นขึ้นเรื่อย ๆ เจียงหย่วนมักจะไปที่บ้านกู้เพื่อพักผ่อนอยู่ครู่ใหญ่ ไปร้านซุ่นซินเป็นครั้งคราว และเชิญกู้ฉวนลู่ให้ทานอาหารเย็นด้วยกัน
คนที่พบเห็นต่างรับรู้ได้คร่าว ๆ ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
เถ้าแก่ร้านซุ่นซินเห็นว่าลูกชายของตระกูลมั่งคั่งที่สุดในเมืองหลิวเจียมักจะมาทานอาหารในร้านของตนเสมอ ดังนั้นเพื่อให้เป็นหน้าเป็นตา เขาจึงพูดถึงเรื่องนี้กับทุกคนที่เขาพบ
ความหมายทั้งภายในและภายนอกคือดูแคลนร้านจิ่นฝู
ว่ากันว่าหมดยุคของร้านจิ่นฝูแล้ว แม้ว่าเจียงหย่วนไปทานอาหารสองสามมื้อ เขาก็ไม่อยากไปร้านนั้นอีก
คำพูดนี้ลอยไปถึงหูของหลี่ฝาน แต่เขาก็ไม่มีอาการตกใจแต่อย่างใด
เพราะหลี่ฝานไปที่เมืองรุ่ยเสียนเพื่อจัดการร้านฝูจิ่น กิจการของร้านฝูจิ่นดีขึ้นเรื่อย ๆ และกำลังวางแผนที่จะเปิดร้านอีกแห่ง
โดยธรรมชาติแล้ว หลี่ฝานต้องการหาบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และตกแต่งให้เรียบร้อยก่อนจะถึงฤดูหนาว สำหรับที่ตั้งใหม่ของร้านฝูจิ่น ฉินเย่จือได้พากู้เสี่ยวหวานไปที่เมืองหลวงโดยตรง
กู้เสี่ยวหวานคิดว่ามันไกลเกินไป หากแต่ฉินเย่จือยังคงเกลี้ยกล่อมนาง
บอกว่ามีบุคคลสำคัญมากมายในเมืองหลวง และไม่มีใครเคยเห็นสิ่งใหม่แบบนี้มาก่อน เมื่อถึงเวลาก็ตกแต่งร้านอาหารให้ดียิ่งขึ้น แขกก็จะมาเยี่ยมเยียนตามธรรมชาติ
นอกจากนี้เมื่อพูดถึงกู้หนิงอัน กู้หนิงอันเรียนเก่ง ดังนั้นในอนาคต แน่นอนว่าจะต้องเข้าไปในเมืองหลวงเพื่อศึกษาต่อ
ไม่สามารถอยู่ในเมืองรุ่ยเสียนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ตลอดชีวิต
แม้แต่หลี่ฝานก็ยังสนับสนุน โดยพูดถึงประโยชน์ทั้งหมดของการไปเมืองหลวง ถ้ามีคนรวยมากมายในอนาคต กิจการจะต้องเป็นไปด้วยดีแน่นอน ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงทำให้กู้เสี่ยวหวานอยากไปเยือน
กู้เสี่ยวหวานไม่เคยไปเมืองหลวงในยุคโบราณมาก่อน แต่ในชีวิตที่แล้วนางใช่ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง และหลังจากสำเร็จการศึกษาก็ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก หลังจากจบปริญญาเอกก็อาศัยอยู่ที่เมืองหลวงต่อ
อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยเห็นเมืองหลวงเก่าแก่แห่งนี้มาก่อน
หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ ในที่สุดพวกเขาก็ตกลงกันได้และจะสร้างร้านฝูจิ่นแห่งต่อไปในเมืองหลวง
แน่นอนว่า กู้เสี่ยวหวานไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด เพราะหลี่ฝานจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ทั้งหมดได้อย่างราบรื่น
มันยังคงเหมือนเดิม กู้เสี่ยวหวานเพียงแต่รับกำไรไป ส่วนหลี่ฝานจะเป็นคนจัดการส่วนที่เหลือเอง
แรงทุนยังเท่าเดิมคือคนละครึ่ง
หลี่ฝานเป็นคนใจดี หากกู้เสี่ยวหวานต้องการถอนทุนให้น้อยลง หลี่ฝานจะไม่เห็นด้วย และยังบอกด้วยว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นคนออกความคิด หากจะรับกำไรไปอีกก็ยังถือว่าน้อยไป
เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เขาพูดเกินความเหมาะสมขึ้นเรื่อย ๆ กู้เสี่ยวหวานก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้
หลี่ฝานเข้าไปที่เมืองหลวงเพื่อทำงาน เนื่องจากความสามารถของเขา เสี่ยวเซิ่งจื่อถูกส่งไปที่เมืองรุ่ยเสียนเพื่อดูแลร้านอาหารสองแห่งที่นั้น
ในขณะที่กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือยังอยู่ที่เมืองหลิวเจียเพื่อจัดการร้านฝูจิ่น และไปที่เมืองรุ่ยเสียนเป็นครั้งคราวเพื่อช่วยเสี่ยวเซิ่งจื่อ
คำโอ้อวดของร้านซุ่นซินจึงได้ยินไปถึงหูของกู้เสี่ยวหวานโดยธรรมชาติ
หลังจากได้ยินคำพูดที่เย่อหยิ่งของเขา กู้เสี่ยวหวานก็ได้แต่หัวเราะเยาะ
หากแต่นางไม่ได้ทำอะไรเลย แต่กำลังคิดถึงวิธีการปรุงอาหารจานใหม่ซึ่งจะทำให้เจ้าของร้านซุ่นซินบ้าคลั่ง
ในช่วงที่ผ่านมา หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือได้เปิดเผยความรู้สึกต่อกัน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีขึ้น และหวานชื่นขึ้นทุกวัน
ทั้งคู่ชื่อชอบในการกิน เดิมทีสถานะของฉินเย่จือนั้นสูงส่ง เขากินอาหารมาแล้วทั่วดินแดน ดังนั้นเขาจึงมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องรสชาติ และเขายังรอบรู้เรื่องอาหารอีกด้วย
เมื่อทำงานร่วมกับกู้เสี่ยวหวาน พวกเขาทำอาหารจานเด่นเช่นหม้อไฟเนื้อสุนัขมาตบหน้าร้านซุ่นซิน
อาหารจานนี้เป็นอาหารที่โด่งดังไปทั่ว
แม้ว่าอาหารจานนี้จะเป็นหม้อไฟเหมือนกัน แต่เนื่องจากวิธีการทำคือย่างเนื้อสุนัขล่วงหน้า จากนั้นใส่ลงในหม้อและให้ลูกค้าทาน เมื่อทานจนเกือบจะเสร็จก็จะเติมน้ำแกงและลวกผักเพื่อทานต่อ
เมื่อถึงกลางฤดูใบไม้ร่วง อากาศก็เริ่มเย็นลงเล็กน้อย ร้านจิ่นฝูเปิดตัวอาหารจานนี้ในเวลาที่เหมาะสม มันจึงกลายเป็นที่นิยมในเมืองหลิวเจียและเมืองรุ่ยเสียนในทันที
แม้แต่เจียงหย่วนที่เคยกินอาหารที่ร้านจิ่นฝูสองสามครั้ง เขาก็พามารดาของตนไปที่ร้านจิ่นฝูและทานอาหารที่นั่นอยู่บ่อย ๆ
เมื่อมองไปผู้คนไม่กี่คนในร้านอาหารของเขา และเห็นความจอแจและแออัดของร้านจิ่นฝู เจ้าของร้านซุ่นซินก็รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย
หากต้องการลอง จะเป็นการดีที่สุดหากสามารถเรียนรู้งานฝีมือนี้ด้วย
กู้เสี่ยวหวานมีความสามารถที่น่าทึ่งในด้านการค้า เมื่อรู้วิธีเข้าถึงความสดใหม่ของหัวใจลูกค้าในเวลาที่เหมาะสม และเข้าใจหัวใจของพวกเขาอย่างถ่องแท้ กิจการของร้านจิ่นฝูทำกำไรได้ถึงสองเท่าเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน