บทที่ 892 นางหมั้นแล้ว
บทที่ 892 นางหมั้นแล้ว
“อ่า… ฮูหยินจ้าว นี่คือ…” กู้เสี่ยวหวานแค่จะบอกว่าเขาคือพี่ชายของตน แต่ก็ได้ยินฉินเย่จื่อยืนกอดอกพลางเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาว่า “หวานเอ๋อร์กับข้าหมั้นกันแล้ว ฮูหยินมาที่นี่ ต้องการสิ่งใดกันแน่”
หมั้นอะไรกัน?
ฮูหยินจ้าวมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยความประหลาดใจ แต่ก็เห็นเพียงใบหน้าเรียบเฉย ครั้นนางมองไปยังฉินเย่จื่อรอยยิ้มบนใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เห็นได้ชัดว่าเป็นสายตายามเฝ้ามองคนรัก
นางหมั้นแล้ว แล้วตนเองยังจะมาที่นี่เพื่ออันใดกัน
ฮูหยินจ้าวพ่นอย่างลมเย็นชา และพูดอย่างไม่พอใจ “ก็ควรจะพูดให้มันเร็วกว่านี้สิ”
จากนั้นก็ลุกขึ้นสะบัดสะโพกเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา สาวใช้ที่ถือข้าวของพะรุงพะรัง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น
เมื่อมองไปยังโถงห้องที่มีชีวิตชีวาในตอนนี้เมื่อครู่ เวลานี้กลับเหลือเพียงแต่สมาชิกในครอบครัวเท่านั้น
เมื่อเห็นแผ่นหลังของพวกนางหายลับไปจากสายตา กู้เสี่ยหวานก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เมื่อมองไปที่ฉินเย่จือ ใบหน้าของนางก็ขึ้นสีแดงก่ำ
กู้ฟางสี่ซึ่งอยู่ข้าง ๆ รู้สึกโล่งใจที่เห็นฮูหยินจ้าวจากไป
ถ้ากู้เสี่ยวหวานต้องการแต่งงานกับใครสักคนจริง ๆ ฉินเย่จือที่ยืนอยู่ตรงหน้านางดีกว่าจ้าวจื่อชงเป็นไหน ๆ
ไม่ต้องพูดถึงความหล่อเหลา และการปฏิบัติต่อกู้เสี่ยวหวานเป็นอย่างดี
ตระกูลนี้เคยมีฐานะหน้าตา หากไม่มีเกิดหายนะ พวกเขาคงไม่ต้องมาเร่ร่อนอยู่ตามท้องถนน เมื่อดูสภาพการณ์ปัจจบันของพวกเขา ตระกูลนี้ต้องมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงในอดีต
ตอนนี้ก็ดีไม่ใช่น้อย ไม่คาดหวังให้เสี่ยวหวานแต่งงานกับคนที่ร่ำรวยและมีอำนาจ แค่หาคนที่รักและปฏิบัติต่อเสี่ยวหวานดุจอัญมณีล่ำค่าไปตลอดชีวิตก็เพียงพอแล้ว
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ กู้ฟางสี่ก็มองไปที่ฉินเย่จืออีกครั้ง เช่นเดียวกับที่แม่สามีมองมองลูกเขยของตนความชื่นชมเอ่อท้นท่วมหัวใจ
เช่นเดียวกับป้าจาง หลังจากผ่านหลายสิ่งหลายอย่าง ฉินเย่จือ คือใครและเขาปฏิบัติต่อกู้เสี่ยวหวานอย่างไร
ตอนนี้ได้ยินฉินเย่จือพูดแบบนั้น นางไม่ได้แปลกใจเลยแม้น้อย และก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ
ตอนนี้กู้เสี่ยวหวานจะอายุน้อยไปเสียหน่อย หากนางโตกว่านี้ บางทีการแต่งงานระหว่างพวกเขาสองคนอาจเป็นไปได้จริง ๆ
เพียงแต่ว่า… ถ้าหากเป็นฉือโถวล่ะ
ป้าจางหันไปมองฉือโถว มันทำให้นางเห็นใบหน้าอันซีดเซียวของลูกชาย มือไม้รู้จะว่างไว้ที่ใด
ป้าจางลอบถอนหายใจ หากแต่นางไม่สามารถทำสิ่งใดได้
……
“ฮูหยิน ช้าลงหน่อย ช้าลงหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” ครั้นหงซื่อก้าวลงจากรถม้า ร่างกายของนางร้อนรุ่มด้วยไฟแห่งโทสะ นางกระโดดลงจากรถม้าโดยไม่สนใจการช่วยเหลือจากสาวใช้ข้าง ๆ
แม้ว่ารถม้าจะไม่สูงนัก แต่หงซื่อแต่งกายงดงามพิถีพิถัน ยกเว้นการปักผ้าและเล่นฉิน นางไม่เคยกระโดดโลดเต้นเลยแม้แต่น้อย
การกระโดดลงจากรถม้า หงซื่อราวกับได้ถึงเสียงกระดูกดังลั่น ดูเหมือนว่ากระดูกข้อเท้าจะพลิก และทันทีหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยอาการปวดอย่างรุนแรง
หงซื่อส่งเสียงคร่ำครวญ ร่างกายซวนเซยืนไม่มั่นคง แต่โชคดีที่จับราวบันไดรถม้าไว้ได้ และสาวใช้ก็ปรี่เข้ามาประคองนางอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงไม่ล้มลง
แต่ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ข้อเท้าทำให้นางร้องไห้คร่ำครวญออกมา
“ฮูหยิน ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” เมื่อเห็นว่าหงซื่อได้รับบาดเจ็บ สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างร้อนรนด้วยความเป็นห่วง
“เร็วเข้า ช่วยประคองข้าเข้าไป” หงซื่อขบริมฝีปากแน่นด้วยความเจ็บปวด หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อผุดซึม
นางเวียนศีรษะราวกับจะเป็นลม แต่หลังจากคิดว่าสถานที่แห่งนี้ยังคงอยู่บนถนนสายหลัก จึงกัดฟันแน่น มองไปที่สาวใช้ที่อยู่ในอาการตะลึงและหวาดกลัว แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความเจ็บปวด
สาวใช้สองคนรีบเข้ามาช่วยประคองหงซื่อ
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงกรีดร้องโหยหวนของสาวใช้สองคนก็ดังมาจากในหมู่บ้าน
หงซื่อมองดูสาวใช้สองคนถูกกดลงบนม้านั่ง แต่ละคนถูกคนใช้จับลง และถูกทุบตีด้วยไม้กระดานขนาดใหญ่ราวยี่สิบครั้ง
หงซื่อฟังเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของพวกเขา หัวใจยังสับสนงงงวย “ตีลงไป ตีมันให้ตาย แค่ประคองข้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ พวกเจ้าจะมีประโยชน์อะไร”
เครื่องประดับศรีษะหยกราคาหนึ่งร้อยตำลึงแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ยามก้าวลงจากรถม้า ไม่แม้แต่จะประคองนาง และทำให้นางได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า
ต้องตี ต้องตี ตีมันให้ตาย
หงซื่อโกรธจนแทบกระอักเลือด
นางเคยรักจ้าวสวิ่นมากแค่ไหน ตอนนี้ก็เกลียดชังเขาเท่านั้น!
เป็นเวลาหลายปีที่นางเป็นคนที่ถูกละเลย
ไม่ว่านางจะนอนแอบอิงบนหมอนใบเดียวกับจ้าวสวิ่นทุกคืน นางก็ไม่อาจเทียบได้กับยายแก่อัปลักษณ์น่าเกลียดในบ้านหลักของตระกูลจ้าวได้
ไฟโทสะสุมทรวงร้อนรนจนแทบทนไม่ไหว นางคิดว่าตนเองชนะยายแก่อัปลักษณ์คนนั้นมาหลายปีแล้ว
แต่ฮูหยินจ้าว กลับมาที่ตระกูลจ้าวอย่างมีความสุข
ไม่ต้องพูดถึงว่านางมีความสุขมากแค่ไหน
หลายปีมานี้ นางมีความตื่นเต้นมากแค่ไหน
อยากแข่งขันกับอีกฝ่ายเป็นเวลาหลายปี แต่จ้าวสวิ่นยังไม่คิดว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นลูกสายตรง เป็นที่ถูกต้องตามกฎหมายของตระกูลจ้าว
อนุภรรยาก็ยังเป็นเพียงอนุภรรยา และแม้แต่การมีลูกชายก็เป็นสิ่งต่ำต้อยที่ไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้
ยิ่งฮูหยินจ้าวคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น เมื่อมองไปที่ตระกูลจ้าว ที่ว่างเปล่า นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกใจดี
ครั้นมามาเหอเห็นว่าพูดคุยเรื่องการแต่งงานไม่สำเร็จ นางก็ยังรู้สึกดี คิดว่าฮูหยินรู้เรื่องของนายท่านแล้ว
“ฮูหยิน ดูใบหน้าที่โกรธเคืองนั้นของหงซื่อสิเจ้าคะ มีสีสันยิ่งนัก” มามาเหอกล่าวเคล้ารอยยิ้ม
ฮูหยินจ้าวพ่นลมเย็นชา “ใช่ไหมเล่า? ข้าคนนี้ได้รับความขุ่นเคืองใจมานานหลายปี และครั้งนี้ข้าก็จะปล่อยให้นางต้องทนทุกข์ทรมานเช่นกัน”
“ฮูหยิน สิ่งที่ท่านถูกแย่งไปในช่วงหลายปีมานี้ได้ย้อนคืนกลับมาแล้ว” มามาเหอพูดอย่างตื่นเต้น “นายท่านอยู่กับนางมาหลายปีแล้ว และนางคิดว่ามีอะไรดี ๆ เกิดขึ้น นายท่านมักจะคิดถึงนางเสมอ แต่คราวนี้การคำนวณของนางผิดพลาด อนุภรรยาก็คืออนุภรรยา และคุณชายที่แท้จริงคือก็คือคุณชาย ใครคือนายท่านตระกูลจ้าวในอนาคต ก็คือคุณชายของพวกเรา”
คำพูดของมามาเหอทำให้ฮูหยินจ้าวรู้สึกสบายใจมาก “ฮึ่ม แม้แต่คนชั้นล่างก็ยังมาสู้กับข้า และเด็กชั้นล่างเกิดกับคนเช่นนั้นก็ไม่อาจเทียบได้กับชงเอ๋อร์ของข้า”
มามาเหอพูดคำดี ๆ สองสามคำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินจ้าวรู้สึกสบายใจ
“มามาเหอ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับงานเลี้ยงอาหารค่ำและส่งคนไปบอกนายท่านว่า ข้าจะคุยกับเขาเกี่ยวกับการแต่งงานของชงเอ๋อร์คืนนี้” ฮูหยินจ้าวรู้ใจของจ้าวสวิ่นเวลานี้ที่สุด ความเกลียดชังที่มีต่อเขาในใจนี้ได้หายไปนานแล้ว