บทที่ 910 มีผู้ประสบภัยพิบัติทุกแห่งหน
บทที่ 910 มีผู้ประสบภัยพิบัติทุกแห่งหน
กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิดมาตลอดทาง และในที่สุดก็มาถึงที่เมืองรุ่ยเสียน ทันทีที่ข้ามพ้นประตูเมือง รถม้าของนางก็ถูกขวางไว้โดยใครบางคน
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่ารถม้าของตนหยุดชะงัก จึงเปิดม่านและมองออกไปข้างนอก นางจึงได้เห็นผู้ประสบภัยทั้งชาย หญิง คนแก่ คนป่วย และคนพิการ ล้อมรอบรถม้าของเจี่ยนจู๋และนางเอาไว้
เจี่ยนจู๋กวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่เขากลัวว่าม้าของตนจะทำร้ายผู้ประสบภัย ดังนั้นเขาจึงจับบังเหียนให้แน่น
อาโม่เองก็หยุดชะงักเช่นกัน
กู้เสี่ยวหวานยกม่าน และก้าวลงจากรถม้าอย่างเชื่องช้า
ครั้นผู้ประสบภัยข้างนอกเห็นผู้คนออกมาจากรถม้า พวกเขาทั้งหมดคุกเข่าลงทันที “แม่นาง สงสารเราเถอะ เราไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว สงสารเราเถอะ ให้อะไรพวกเรากินสักหน่อยเถอะ…”
น้ำเสียงอ่อนแรง และใบหน้าขาวซีด
กู้เสี่ยวหวานมองแววตาที่หิวโหยคู่นั้นจ้องมองนางอย่างมีความหวัง จากนั้นหันไปมองเด็ก ๆ ที่หิวโหย และผอมแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก บนใบหน้าของพวกเขามืดมน มีเพียงดวงตากลมโตปูดโปนเท่านั้นที่ต้องมายังนาง
พวกเขาคือผู้ประสบภัยพิบัติ!
ตลอดทางที่นางเห็นแต่ผู้ประสบภัยเหล่านี้ หัวใจของกู้เสี่ยวหวานบีบรัดด้วยความเจ็บปวด แต่ตอนนี้นางรู้แล้วว่าถ้าการกระทำโดยประมาท อาจจะไม่สามารถออกจากประตูเมืองนี้ได้ในวันนี้
ไม่ไกลนักยังมีผู้ประสบภัยพิบัติหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย หากไม่ออกไปตอนนี้จะออกไปไม่ได้จริง ๆ
ท่ามกลางความสิ้นหวัง กู้เสี่ยวหวานโยนเหรียญทองแดงทั้งหมดใส่ถุงที่นางเพิ่งเตรียมไว้ที่บ้านให้กับเจี่ยนจู๋
“โปรยให้หมด!” สิ้นประโยคของกู้เสี่ยวหวาน
เจี่ยนจู๋ก็เปิดถุงผ้าโดยไม่ได้คิดอะไร คว้าเหรียญทองแดงหนึ่งกำมือแล้วโปรยมันทั้งสองด้าน
เหรียญทองแดงตกลงมาจากท้องฟ้า และกลิ้งไปทั่วพื้น
เมื่อเห็นว่าเป็นเหรียญทองแดง ผู้ผู้ประสบภัยวิ่งตามเก็บเหรียญเหล่านั้นด้วยความตื่นเต้น
สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้กีดขวาง อาโม่ก็บังคับรถม้าขับออกไปจากประตูเมือง
ครั้นมองย้อนกลับไป ผู้ประสบภัยกลับจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ กำลังฉุกกระชากแย่งเงินเหล่านั้น ซึ่งทำให้เกิดการจลาจลไม่น้อย
โชคดีที่ที่ศาลาว่าการเมืองรุ่ยเสียนอยู่ไม่ไกลจากประตูเมือง ยิ่งกว่านั้นผู้ประสบภัยก็จำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะพวกเขาเกรงกลัวอำนาจ จึงไม่กล้าสร้างปัญหาให้กับทางการ
จากบทเรียนเมื่อครู่ไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม อาโม่ขับรถม้าอย่างจริงจัง ตราบใดที่มันเป็นสถานที่ไม่มีคน เขาจะบังคับรถม้าไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดก็มาถึงศาลาว่าการ เมื่อลงจากรถม้าแล้วกู้เสี่ยวหวานก็เดินตามเจี่ยนจู๋ไปจนถึงห้องหนังสือของหลิวจือเสี้ยน
หลิวจือเสี้ยนกำลังคุยเรื่องผู้ประสบภัยกับใครบางคนในห้องทำงาน เขาต้องการขับไล่ผู้ประสบภัยออกไป และปิดประตูเมืองป้องกันไม่ให้ผู้ประสบภัยเข้ามาอีก
อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลผลิตในที่ดินนอกประตูเมืองน่าจะถูกทำลายจนหมดสิ้น
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เมืองรุ่ยเสียนก็จะกลายเป็นจุดภัยพิบัติแห่งใหม่ เกรงว่าอีกไม่นานผู้คนในเมืองรุ่ยเสียนจะเป็นเหมือนกับผู้ประสบภัยเหล่านี้ ต้องออกจากบ้านเกิดและเดินร่อนเร่ขอทานไปเรื่อย
หากเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น หลิวจือเสี้ยนคงจะถูกลงโทษสถานหนัก
ในฐานะผู้ปกครองเมือง เขาไม่สามารถรักษาคนในเขตอำนาจของเขาให้ใช้ชีวิตหรือทำงานอย่างสงบสุขและพึงพอใจได้ มันเป็นการตบหน้าอย่างรุนแรงอย่างไม่ต้องสงสัย
กู้เสี่ยวหวานได้ยินว่า ทุกวิธีที่ผู้ช่วยฝานพูดนั้นถูกหลิวจือเสี้ยนปฏิเสธ
“ผู้คนในเมืองรุ่ยเสียนของเราเป็นมนุษย์ และผู้ที่ประสบภัยพิบัติก็เป็นมนุษย์เช่นกัน!” หลิวจือเสี้ยนถอนหายใจ และพูดอย่างจริงจัง “ข้าถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ของข้าเอง และในฐานะผู้ปกครอง ข้ามองเห็นชาวบ้านและคนอื่นมีความทุกข์ยากไม่ได้!”
เมื่อเห็นว่าใต้เท้าหลิวไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเขา และผู้ช่วยฝานก็รู้สึกว่าความคิดเห็นนี้ค่อนข้างรุนแรงเกินไป จึงถอนหายใจและพูดว่า “ใต้เท้า แล้วเราควรทำอย่างไรต่อไป!”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งนี้ นางจึงรีบก้าวเข้าไป “ใต้เท้าหลิว…”
ครั้นเห็นผู้มาใหม่เป็นกู้เสี่ยวหวาน ดวงตาของหลิวจือเสี้ยนสว่างวาบ
แม้ว่าผู้ประสบภัยมาที่นี่เพราะต้นกล้ามันเทศ หากกู้เสี่ยวหวานไม่แนะนำให้เขาส่งเสริมมันเทศในตอนนั้น ผู้คนจำนวนมากจึงรอดชีวิตมาได้เพราะลำต้นและใบของมันเทศ ไม่เช่นนั้นเมืองรุ่ยเสียนจะกลายเป็นเมืองร้าง
ผู้คนของเมืองรุ่ยเสียนจะเป็นเช่นเดียวกับผู้ประสบภัยเหล่านั้น
กู้เสี่ยวหวานทำความเคารพหลิวจือเสี้ยนและผู้ช่วยฝานราวกับพวกเขาเคยเจอกันมาก่อน
จากนั้นเด็กสาวก็พูดเข้าประเด็น “ใต้เท้าหลิว เรื่องนี้เป็นเรื่องด่วน ข้าบังเอิญได้ยินการสนทนาระหว่างท่านกับผู้ช่วยฝานข้างนอก ตอนนี้จากสิ่งที่ข้าเห็น ข้าไม่สนับสนุนการปิดเมืองและขับไล่ผู้ประสบภัยออกไป”
“แต่ข้าคิดวิธีแก้ปัญหาอื่นที่ดีไม่ได้” ผู้ช่วยฝานที่อยู่ด้านข้างไม่ได้รู้สึกรำคาญ และพูดด้วยความเคารพ “แม่นางกู้มีคำแนะนำดี ๆ บ้างหรือไม่?”
เมื่อนางมาถึงเมืองรุ่ยเสียนและได้เห็นแล้วว่าหากราชสำนักไม่ให้ความช่วยเหลือ เมื่อถึงเวลา เมืองรุ่ยเสียนอาจกลายเป็นเมืองร้างเข้าจริง ๆ
ทุกคนจะต้องเร่ร่อนขอทาน หากเป็นเช่นนั้นทุกอย่างจะอยู่เหนือการควบคุม
ทุกวันนี้แม้แต่อากาศยังแห้งแล้ง ท้องฟ้าไม่มีเมฆและไม่มีทีท่าว่าฝนจะตกเลย
มันเป็นเรื่องด่วน
“ใต้เท้าหลิวรู้หรือไม่ว่าผู้ประสบภัยเหล่านี้มาจากไหน?”
หลิวจือเสี้ยนตอบ “ปีนี้ยกเว้นเมืองรุ่ยเสียน พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้เกือบทั้งหมดแห้งแล้ง ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกที่ถึงเกิดความแห้งแล้งทั้งหมด มันเป็นเรื่องที่น่าฉงนจริง ๆ!”
น้ำเสียงของหลิวจือเสี้ยนเต็มไปด้วยความอับจนหนทาง แต่กู้เสี่ยวหวานไม่แปลกใจเลย ชีวิตในสมัยโบราณนี้ขึ้นอยู่กับท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง น้ำท่วม หรือโรคระบาด ไม่มีอะไรผิดปกติตลอดทั้งปี ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนงงงวย!
ว่ากันว่าในช่วงต้นปี ฮ่องเต้จะเสด็จไปจัดพิธีบวงสรวงฟ้าดิน อธิษฐานขอให้ปีนั้นปลอดภัยและเป็นมงคล อากาศดีและผลผลิตดี
เมื่อมีภัยพิบัติเช่นนี้ แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะรู้สึกถอดใจ แต่ก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลก
ระหว่างทางมาที่นี่ นางเห็นสถานการณ์ของผู้ประสบภัยพิบัติแล้ว
“แม่นางกู้ ยังมีอาหารบางส่วนในพื้นที่การเกษตรในเมืองรุ่ยเสียน ถ้าแม้แต่ผลผลิตของเราตายและไม่มีพืชผล ในเวลานั้นทั้งเมืองรุ่ยเสียนก็จะตกอยู่ในความโกลาหล” ผู้ช่วยฝานกล่าวอย่างกังวลใจ หากเมืองรุ่ยเสียนกลายเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ ทุกอย่างคงจะจบลงจริง ๆ
——————————————-