บทที่ 915 ข้าหลวงใหญ่มาบรรเทาภัยพิบัติ
บทที่ 915 ข้าหลวงใหญ่มาบรรเทาภัยพิบัติ
สิ่งที่ยิ่งไปกว่านั้น การได้พบปะกับอาจารย์ฝางก็ราวกับการได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ อาจารย์ฝางไม่เคยคบค้าสมาคมกับคนเหล่านี้มาก่อน ดังนั้นจึงต้องการทำความรู้จักกับอาจารย์ฝางโดยเร็ว
ครั้งนี้อาจารย์ฝางต้องการพบพวกเขา และนับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้แสดงตัวต่อหน้าอาจารย์ฝาง
ใครจะอยากพลาดโอกาสที่ดีในชีวิตครั้งนี้ไป ตั้งแต่ได้ยินข่าวพวกเขาก็เดินทางหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
นอกจากนี้ยังมีบางคนที่หลิวจือเสี้ยนไม่ได้แจ้งพวกเขา แต่พวกเขาก็มาปรากฏตัวที่นี่หลังจากได้ยินข่าวเช่นกัน
ศาลาว่าการเล็ก ๆ ของเมืองรุ่ยเสียนเต็มไปด้วยผู้คนสวมผ้าไหมและผ้าแพรคุณภาพดี หลายคนที่มาไม่ทันและไม่สามารถแทรกตัวเข้ามาได้ ทำได้เพียงรออยู่ข้างนอกโดยหวังว่าจะได้พบกับอาจารย์ฝาง
กู้เสี่ยวหวานเองก็อยู่ด้านในเช่นกัน และชายที่แต่งตัวเหมือนคนรับใช้เดินมากับอาโม่ และยืนอยู่ข้างหลังหลิวจือเสี้ยน
การยื่นมือออกมาครั้งนี้ของอาจารย์ฝาง ครอบครัวมั่งคั่งที่มาที่นี่ย่อมรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ดังนั้นเมื่อหลิวจือเสี้ยนเอ่ยปาก ทุกคนต่างก็เห็นด้วย หากมีเงินก็ให้เงิน มีอาหารก็ให้อาหาร
ยิ่งครอบครัวใดบริจาคมากเท่าใด ก็ยิ่งตะโกนเสียงดังราวกับกลัวว่าอาจารย์ฝางจะไม่ได้ยิน
เมื่อเห็นผู้คนจำนวนมากบริจาคเงิน อาจารย์ฝางก็รู้สึกประทับใจ เขาประสานมือและกล่าวกับทุกคนที่อยู่ที่นั่นว่า “ชาวเมืองและผู้ประสบภัยพิบัติในเมืองรุ่ยเสียน โชคดีที่มีพวกท่านคอยช่วยเหลือพวกเขา ในที่นี้ในนามของชาวเมืองและผู้ประสบภัยพิบัติ ข้าผู้นี้อยากจะขอขอบคุณทุกท่าน”
ภายในระยะเวลาเพียงแค่วันเดียวเท่านั้นก็ได้รับเงินบริจาคถึงสองหมื่นตำลังเงิน ธัญพืชทุกชนิดรวมถึงแป้งต่าง ๆ ที่ได้รับบริจาคมากกว่าหนึ่งหมื่นต้าน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ตราบเท่าที่ราชสำนักสามารถส่งคนมาช่วยเหลือภัยพิบัติได้เร็วที่สุด ภายในระยะเวลาครึ่งเดือนตอนต่อจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง
เงินและอาหารทั้งหมดล้วนมาถึงแล้ว
เพื่อตั้งถิ่นฐานของผู้ประสบภัยเหล่านี้ ทางการยังได้ใช้เงินเพื่อซ่อมแซมวัดร้างสองแห่งทางทิศตะวันออกและตะวันตกของเมือง ซื้อของใช้ที่จำเป็น ยารักษาโรค และจ้างคนหลายสิบคนเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในที่พักพิงทั้งสองแห่ง
เนื่องจากตอนนี้พวกเขามีพร้อมทั้งอาหาร ที่พัก และหมอที่สามารถมาพบได้ทุกเมื่อยามเจ็บปวด เหล่าผู้ประสบภัยก็ไม่ได้ไปขโมยมันเทศที่ที่นาของชาวบ้านอีกต่อไป พวกเขาทั้งหมดอาศัยอยู่ในวัดร้าง และรอให้รอให้ภัยพิบัตินี้ผ่านไปด้วยความสบายใจ
คนจากทางราชสำนัก ซ่งเหรินเจี๋ย ข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์ก็เดินทางมาทางใต้พร้อมกับเงินและอาหาร แจกจ่ายตามลำดับจนมาถึงเมืองรุ่ยเสียน
เมื่อมาถึงนอกเมืองก็เห็นเจ้าหน้าที่ในชุดเครื่องแบบกลุ่มหนึ่งกำลังเดินตรวจตราที่นา ครั้นเห็นว่าพืชผลสีเขียวชอุ่ม ดูเหมือว่าเมืองรุ่ยเสียนจะไม่ได้รับผลกระทบภัยพิบัติครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ได้ยินมาว่าเมืองรุ่ยเสียนไม่มีฝนตกมาหลายเดือนแล้ว
เมืองอื่นก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับเมืองรุ่ยเสียน ระหว่างทางถนนรกร้าง พืชผลทั้งหมดในทุ่งนาเหี่ยวเฉา
แต่ที่เมืองรุ่ยเสียนนี่นับว่าดีกว่ามาก
ในตอนแรก ซ่งเหรินเจี๋ยรู้สึกงุนงงเล็กน้อย หลังจากมาถึงเมืองรุ่ยเสียน เขาเห็นว่าความเจริญรุ่งเรืองของเมืองรุ่ยเสียน ไม่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติเลย
ผู้คนยังคงใช้ชีวิต และทำงานอย่างสงบสุข
ซ่งเหรินเจี๋ยรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น โดยสงสัยว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงส่งเขามายังสถานที่สมบูรณ์เช่นนี้ มันแห้งแล้งที่ไหนกัน
ขุนนางนอกเครื่องแบบมาเยี่ยมชมเมืองเป็นการส่วนตัว และพบผู้ประสบภัยพิบัติจำนวนมากทางตะวันออกและตะวันตก พวกเขากำลังถือชามต่อแถวรอรับโจ๊ก
โจ๊กหนึ่งถ้วยต่อหนึ่งคน ซาลาเปาหนึ่งลูกต่อหนึ่งคน
ซ่งเหรินเจี๋ยสุ่มถามผู้ประสบภัยภัยพิบัติ และพวกเขาต่างตอบว่าตนเองต่างอพยบมาจากที่อื่นเมื่อเขามาถึงเมืองรุ่ยเสียน ที่นี่มีทั้งอาหาร ที่อยู่อาศัย รวมถึงหมอรักษายามเจ็บไข้ได้ป่วย ดังนั้นจึงปักหลักอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน
ยิ่งฟังมากเท่าไรความอยากรู้ก็เพิ่มมากขึ้น และในใจก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นเกี่ยวกับตัวตนของหลิวจือเสี้ยนผู้เป็นเจ้าเมืองรุ่ยเสียน
เมืองอื่นทางตอนใต้ ทั้งเมืองเกือบถูกทำลายลง หากแต่ก็ยังมีบางส่วนที่มีอาหารเหลือประทังชีวิต พวกเขาจึงไม่ต้องออกเร่ร่อนขอทาน
“ท่ามกลางพวกเจ้ามีคนท้องถิ่นจากเมืองรุ่ยเสียนหรือไม่” ซ่งเหรินเจี๋ยไม่มั่นใจเล็กน้อย ทำไมเมื่อถามคนมากมาย และไม่มีผู้ประสบภัยในพื้นที่แม้แต่คนเดียว
ผู้ประสบภัยบ่นพึมพำว่า “ไม่มีคนท้องถิ่นที่นี่ พวกเราล้วนมาจากที่อื่น เอาล่ะ ไปที่ศาลาว่าการเถอะ ที่นั่นมีอาหารแจกจ่าย พวกเขาล้วนเป็นคนในท้องถิ่น”
ทันทีที่ซ่งเหรินเจี๋ยได้ยิน เขาก็เดินตามผู้ประสบภัยไปยังประตูที่ศาลาว่าการทันที และพบเจอกับผู้คนกำลังแจกจ่ายอาหาร
ภายในมือของผู้ประสบภัยแต่ละคนถือป้ายเหล็ก ซึ่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษไว้ ตราบในที่มีป้ายเหล็ก พวกเขาก็จะได้รับอาหาร
ซ่งเหรินเจี๋ยพลันเกิดความอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นเขาจึงอยู่ที่ประตูและเฝ้าดูเป็นเวลานาน
ผู้ที่แจกอาหารล้วนเป็นคนในพื้นที่ ทุกคนถือหม้อสำหรับใส่อาหารไว้ และมีเพียงผู้ประสบภัยจากที่อื่นเท่านั้นที่ถือชามเพื่อรอคอยอาหาร
ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และรอยยิ้มอิ่มเอมใจบนใบหน้าของผู้คนล้วนเป็นสิ่งที่หาได้ยากจะพื้นที่อื่น ๆ
ในช่วงเวลานี้ เขาคุ้นเคยกับการเห็นคนร้องห่มร้องไห้ ใบหน้าของผู้ตนเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง แต่เมื่อมาถึงเมืองรุ่ยเสียนที่สงบสุข จึงไม่ค่อยคุ้นชินกับมันนัก
“ใต้เท้า เมืองรุ่ยเสียนเองก็เป็นเมืองที่มีผู้ประสบภับพิบัติเช่นกัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเมืองรุ่ยเสียนจะไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย และก็มีการตั้งถิ่นฐานให้กับผู้ประสบภัยอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีความตายเกิดขึ้น ไม่มีการทะเลาะวิวาทหรือปล้นสะดมเช่นกัน” ผู้ติดตามของเขาเอ่ยขึ้น
ซ่งเหรินเจี๋ยพยักหน้า เขาลูบเคราตนเองและพูดอย่างเห็นด้วย “ดูเหมือนว่าหลิวจือเสี้ยนจากเมืองรุ่ยเสียนจะรู้วิธีเตรียมตัวให้พร้อม พวกเราเข้าเมืองกันเถอะ”
เดิมทีซ่งเหรินเจี๋ยแต่งกายด้วยชุดธรรมดา แต่หลังจากพบสิ่งที่ต้องการแล้ว หลังจากเข้ามาในเมืองได้ก็มีแต่ถ้อยคำเอ่ยชมที่มีต่อหลิวจือเสี้ยน
ฮ่องเต้ได้ส่งข้าหลวงใหญ่มาช่วยบรรเทาภัยพิบัติ ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นไปทั่วทั้งเมืองรุ่ยเสียน
ครั้นกู้เสี่ยวหวานรู้ว่ามีข้าหลวงใหญ่มาเยือนเมืองรุ่ยเสียนเพื่อหาแนวทางในการบรรเทาภัยพิบัติ ขณะนี้เขาบังเอิญปรากฏตัวในที่นาเพื่อดูสถานการณ์ของต้นมันเทศ
เขาตบดินในมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ข้าผ่อนคลายลงแล้ว และใต้เท้าหลิวก็สามารถผ่อนคลายด้วยความโล่งอกได้เช่นกัน”
ข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์อยู่ในเมืองรุ่ยเสียนเป็นเวลาครึ่งเดือน
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมาก็ได้ยินผู้คนชื่นชมท่าทางที่เยือกเย็น ความฉลาด ศิลปะการต่อสู้ของหลิวจือเสี้ยน และความรักที่มีต่อผู้คนทุกหนทุกแห่ง
——————————————-