ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 957+958 จะมีโอกาสนั้นหรือไม่เจ้าจะมีคนที่เหมาะสมกับเจ้า

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 957+958 จะมีโอกาสนั้นหรือไม่?/เจ้าจะมีคนที่เหมาะสมกับเจ้า

บทที่ 957 จะมีโอกาสนั้นหรือไม่?

เต้าหู้ยี้สองจานและตีนไก่ดองเป็นสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานคิดขึ้นในช่วงเวลานี้ และยังไม่ได้ถูกเปิดตัวในร้านอาหาร

จากนั้นมีอาหารจานหลักสิบสองจาน

จานเนื้อแปดอย่าง และจานผักสี่อย่าง

หมูผัดน้ำแดง ปลาต้มซีอิ๊ว เนื้อหมูตากแห้งนึ่ง เนื้อหมูตากแห้งผัดกระเทียม พร้อมเครื่องปรุงรสที่กู้เสี่ยวหวานทำเอง

ยังมีเนื้อกระต่ายผัดน้ำแดง หมูผัดเห็ดหูหนูดำ หมูผัดพริก และอื่น ๆ

สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงมากที่สุดคือ กู้เสี่ยวหวานได้เอาองค์ประกอบของอาหารตะวันตกมาไว้ในจานด้วย

เดิมทีกู้เสี่ยวหวานต้องการซื้อเนื้อวัว แต่ตอนนี้วัวเป็นกำลังแรงงานที่แข็งแกร่งในครอบครัว แม้ว่ามันจะอายุเยอะแล้ว แต่มันก็ยังถูกเลี้ยงอย่างดีและจะไม่ถูกฆ่าตามใจชอบ

มีคนกินเนื้อวัวไม่กี่คน ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงซื้อได้แค่เนื้อหมู

จานใบเล็กถูกวางลงตรงหน้าทุกคน บนจานของทุกคนมีเนื้อหมูในนั้น มีถ้วยน้ำจิ้มปรุงรสวางไว้คู่กัน

ถ้าชอบรสเข้มข้นก็ราดน้ำจิ้มให้ทั่วเนื้อหมูได้ตามต้องการ

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นวิธีการกินแบบนี้

สวีเซียนหลินก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน ตามตัวอย่างของกู้เสี่ยวหวาน เขาคีบชิ้นเนื้อหมูด้วยตะเกียบแล้วนำใส่ปาก

เนื้อมีความหนานุ่ม สุกกำลังดี และน้ำจิ้มมีรสชาติดีมาก

สวีเซียนหลินกินไปหนึ่งคำและชื่นชมถึงอย่างไม่หยุดปากว่าอาหารจานนี้มีรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์

กู้หนิงอันและคนอื่น ๆ เคยกินมาก่อน จึงไม่ได้สงสัยอะไรนัก ในทางกลับกัน สมาชิกตระกูลสวีกลับดูอยากรู้อยากเห็น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮูหยินสวี เมื่อนางมองไปที่โต๊ะที่เต็มไปอาหารหลากหลาย สีสันสวยงาม รสชาติกลมกล่อม จากนั้นก็ได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นคนทำส่วนผสมของอาหารทั้งหมดด้วยตนเอง

ไม่ต้องบอกว่าฮูหยินสวีตื่นเต้นแค่ไหน

หากนางได้ลูกสะใภ้ที่ดีเช่นนี้แต่งงานเข้าบ้าน มันคงจะเป็นพรของตระกูลสวีไปตลอดชีวิต

“เสี่ยวหวาน ฝีมือของเจ้าดีขึ้นเรื่อย ๆ อีกสองปีข้างหน้าข้าไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนไหนจะโชคดีพอที่จะได้แต่งงานกับเจ้า”โนเวล-พีดีเอฟ

หลังจากพูดจบ ก่อนที่ทุกคนจะได้จะได้เอ่ยสิ่งใด ฮูหยินสวีก็พูดต่อ “ข้าไม่รู้ว่าลูกที่โง่เขลาของครอบครัวข้าจะโชคดีพอที่จะแต่งงานกับเจ้าหรือไม่?”

ฮูหยินสวีเก็บคำพูดเหล่านี้ไว้ในใจมาหลายปีแล้ว

ในที่สุดนางก็ใช้โอกาสนี้พูดออกมา

และเมื่อนางพูดจบก็มองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยสายตาเป็นประกาย

นางเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานก้มหน้าลงด้วยความลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะตอบคำพูดของฮูหยินสวีอย่างไร

กู้เสี่ยวหวานเห็นสายตาของฮูหยินสวีที่มองนางด้วยความกระตือรือร้นก็รู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย

สวีเฉิงเจ๋อไม่ทันได้ตั้งตัวว่ามารดาของเขาจะพูดเรื่องนี้เร็วขนาดนี้ เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากกลัวแล้วก็ยังเต็มไปด้วยความคาดหวัง

เขามองไปที่กู้เสี่ยวหวาน

หากแต่มองไม่เห็นใบหน้าของนาง เขาจึงไม่รู้ว่ากู้เสี่ยวหวานรู้สึกอย่างไรกันแน่

แต่เมื่อมองไปที่ฉินเย่จือที่อยู่ด้านข้าง สีหน้าของเขาผ่อนคลายดูเหมือนว่าไม่ได้ยินสิ่งที่ฮูหยินสวีพูดเลย

ทุกคนผงะไปเล็กน้อย พวกเขาไม่เคยคิดว่าฮูหยินสวีจะจับคู่สวีเฉิงเจ๋อและกู้เสี่ยวหวานเข้าด้วยกัน

แม้ว่าสวีเฉิงเจ๋อจะเคยมาสวนกู้อยู่บ่อยครั้ง แต่เป็นเพราะกู้หนิงอันอยู่ที่บ้าน แม้ว่าอายุของพวกเขาจะมีความแตกต่างอย่างมาก แต่เพราะเขายังไม่แต่งงาน เขาจึงเปรียบเสมือนพี่ใหญ่ เขาจะแวะมากินข้าวก่อนจะกลับไป ทุกคนจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีมากต่อกัน

蒸腊肉 เนื้อหมูตากแห้งนึ่ง

….

บทที่ 958 เจ้าจะมีคนที่เหมาะสมกับเจ้า

แต่ทุกคนไม่เคยพิจารณาถึงการแต่งงานระหว่างสวีเฉิงเจ๋อและกู้เสี่ยวหวาน เป็นเพราะสวีเฉิงเจ๋อโตกว่ากู้เสี่ยวหวานมากเกินไป

ช่วงว่างระหว่างวัยของพวกเขามีระยะห่างถึงเก้าปี

เมื่อฮูหยินสวีพูดคำดังกล่าวโดยไม่คาดคิด ทุกคนบนโต๊ะกินข้าวต่างผงะไป

ทุกสายตาจับจ้องไปยังกู้เสี่ยวหวาน และสลับไปมองสวีเฉิงเจ๋อ

เมื่อเห็นความคาดหวังและเขินอายบนใบหน้าของสวีเฉิงเจ๋อ พวกเขาก็ค้นพบบางสิ่ง

แต่กู้เสี่ยวหวานนั้นแตกต่างออกไป

ดวงหน้าหวานฉายแววสับสน นางมองไปที่กู้ฟางสี่ จากนั้นมองไปที่ป้าจางและคนอื่น ๆ จากนั้นใบหน้าก็แดงก่ำจนถึงใบหู “ฮูหยิน พี่เฉิงเจ๋อเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก เขาจะหาผู้หญิงที่เหมาะสมกับตัวเขาได้อย่างแน่นอน”

เมื่อสวีเฉิงเจ๋อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเขาก็หม่นลงทันที เขาเม้มริมฝี ปากคำพูดที่อยากจะเอ่ยออกมาไม่สามารถเอ่ยออกมาได้

หากกู้เสี่ยวหวานเอ่ยบางคำออกมาด้วยความเขินอาย เขาเองก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง

ทว่านางตัดความหวังเขาด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว ดูเหมือนจะเตือนว่านางไม่ใช่ผู้หญิงที่เหมาะสมสำหรับเขา และยังบอกให้เขาหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปเสีย

หลังสิ้นประโยคของกู้เสี่ยวหวาน สีหน้าของฮูหยินสวีก็เปลี่ยนไปเป็นอึดอัดใจ นางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสวีเซียนหลินมองและส่ายศีรษะเงียบ ๆ

ฮูหยินสวีมองใบหน้าผิดหวังของลูกชายตัวเอง คงไม่ต้องพูดถึงว่ามันอึดอัดเพียงใด อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องส่วนตัวของลูกชาย เขาไม่เคยชอบผู้หญิงคนไหนเลย และไม่รู้จะพูดอย่างไร ดังนั้นนางที่เป็นมารดาจึงต้องเอ่ยด้วยตนเอง

ถ้าเป็นผู้หญิงธรรมดา ฮูหยินสวีคงจะพูดแบบนี้จริง ๆ

แต่กู้เสี่ยวหวานนั้นไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาคนนั้น

ยิ่งกว่านั้น เพราะนางเป็นคนพิเศษที่สวีเฉิงเจ๋อเก็บไปฝันและคิดถึงอยู่ตลอด เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ฮูหยินสวีก็ทำได้เพียงปิดปากเงียบและหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องนี้อีก

ดูเหมือนทุกคนจะเข้าใจและเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้ จึงพยายามชักชวนให้คนตระกูลสวีทานอาหารต่อ

กู้หนิงอันที่อยู่ด้านข้างสวีเฉิงเจ๋อคอยคีบอาหารให้สวีเฉิงเจ๋ออยู่ตลอด พูดคุยกับเขาและไถ่ถามเป็นระยะ ๆ ซึ่งทำให้สวีเฉิงเจ๋อมีความมั่นใจที่จะนั่งอยู่ต่อ

หลังจากมื้ออาหารจบลง ตระกูลสวีก็ขอตัวกลับทันที

วันนี้กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ไว้หน้าตระกูลสวี ยิ่งไปกว่านั้นยามฮูหยินสวีเอ่ยประโยคดังกล่าว มันทำให้นางรู้สึกประหม่า

หากนางมีความคิดแบบนั้นกับสวีเฉิงเจ๋อจริง ๆ แต่สวีเฉิงเจ๋อกลับปิดปากเงียบ เรื่องส่วนตัวเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่มารดาควรพูดถึง ซึ่งมันทำให้นางรู้สึกว่าสวีเฉิงเจ๋อไม่มีแม้แต่ความสามารถที่จะแสดงความคิดของตัวเอง

นอกจากนี้ นางยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบด้วยว่าผู้ชายคนนี้มีค่าควรแก่การมอบความไว้วางใจไว้กับเขาไปตลอดชีวิตหรือไม่

สวีเฉิงเจ๋อเป็นคนดีคนหนึ่ง เป็นพี่ใหญ่ที่ดี บางทีเมื่อหากแต่งงานกันในอนาคต และเขาจะเป็นสามีที่ดีด้วย สามีที่ดีเช่นนี้อาจเหมาะสมกับผู้หญิงในยุคปัจจุบัน

แต่สำหรับกู้เสี่ยวหวานผู้มีความคิดเป็นของตัวเอง กลับมองว่าเขาเป็นเพียงลูกแหง่

ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะบอกชอบใคร

นอกจากนี้ กู้เสี่ยวหวานยังปฏิบัติต่อสวีเฉิงเจ๋อเหมือนพี่ใหญ่เสมอ จึงไม่มีความรักระหว่างชายและหญิง

ในเรื่องความรู้สึก ไม่มีที่ว่างสำหรับบุคคลที่สาม ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และจะไม่เข้าไปพัวพันด้วยเด็ดขาด

นางได้ตกลงกับฉินเย่จือแล้ว ดังนั้นนางจะไม่ทำให้เขาผิดหวังอย่างแน่นอน

ฉินเย่จือไม่ใช่คนประเภทเดียวกันกับสวีเฉิงเจ๋อ

สวีเฉิงเจ๋อเป็นคนอบอุ่นจากภายในสู่ภายนอก อารมณ์ นิสัยใจคอ และการสนทนาล้วนอ่อนโยน

แต่ฉินเย่จือนั้นต่างออกไป ให้ความรู้สึกเหมือนกับสวีเฉิงเจ๋อ แต่ภายในใจเขาเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง กล้าแสดงออก กล้าหาญ เมื่อได้พบกับผู้แข็งแกร่ง นางก็จะมีความแข็งแกร่ง และไขว่คว้าสิ่งที่มั่นคงโดยไม่ลังเล

พวกเขาสองคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แต่สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานต้องการไม่ใช่คนอบอุ่นที่อบอุ่นจากภายในสู่ภายนอก สิ่งที่นางต้องการคือผู้ชายที่สามารถยืนเคียงข้างและฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกันกับนางได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานจึงไม่เคยหวั่นไหวหรือโลเลกับความรู้สึกของตัวเอง

เดิมทีนางคิดว่าจะไม่มีผู้ชายแบบนี้ในโลกนี้ แต่เมื่อนางได้เจอแล้วก็จะไม่ยอมแพ้

ครอบครัวของสวีเฉิงเจ๋อกลับไปแล้ว

คืนนี้กู้เสี่ยวหวานกินข้าวไม่ได้เยอะนักและก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยมาก ดังนั้นจึงรับกลับห้องตนเองทันที แต่นั่งอยู่สักพักก็รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย จึงว่าจะไปหาของกินที่ห้องครัว

จากนั้นก็ได้ยินเสียงของฉินเย่จือเรียกนาง “หวานเอ๋อร์”

กู้เสี่ยวหวานเปิดประตูและเห็นฉินเย่จือเดินเข้ามาพร้อมกับของบางอย่างและพูดอย่างอบอุ่น “ข้าเห็นว่าคืนนี้เจ้าไม่ค่อยได้กินอะไร ในครัวยังมีน้ำแกงไก่เหลืออยู่ ข้าจึงอุ่นมาให้ กินอะไรให้อิ่มท้องจะได้ไม่หิวตอนกลางคืน”

ฉินเย่จือเป็นคนที่ละเอียดอ่อน เขารู้ด้วยแม้กระทั่งว่านางกินอะไรไปมากน้อยแค่ไหน และรู้ว่าตอนกลางคืนนางจะหิวหรือไม่

รอยยิ้มอันอ่อนหวานปรากฏบนใบหน้าของกู้เสี่ยวหวาน

บรรยากาศทั้งห้องเงียบงัน

ฉินเย่จือนั่งลงตรงข้ามนาง มองดูกู้เสี่ยวหวานกินอย่างระมัดระวังราวกับกำลังดูภาพม้วนและตกอยู่ในภวังค์

กู้เสี่ยวหวานสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล “พี่เย่จือ”

จากนั้นก็ได้ยินเสียงของฉินเย่จือเรียกนาง “หวานเอ๋อร์”

กู้เสี่ยวหวานเปิดประตูและเห็นฉินเย่จือเดินเข้ามาพร้อมกับของบางอย่างและพูดอย่างอบอุ่น “ข้าเห็นว่าคืนนี้เจ้าไม่ค่อยได้กินอะไร ในครัวยังมีน้ำแกงไก่เหลืออยู่ ข้าจึงอุ่นมาให้ กินอะไรให้อิ่มท้องจะได้ไม่หิวตอนกลางคืน”

ฉินเย่จือเป็นคนที่ละเอียดอ่อน เขารู้ด้วยแม้กระทั่งว่านางกินอะไรไปมากน้อยแค่ไหน และรู้ว่าตอนกลางคืนนางจะหิวหรือไม่

รอยยิ้มอันอ่อนหวานปรากฏบนใบหน้าของกู้เสี่ยวหวาน

บรรยากาศทั้งห้องเงียบงัน

ฉินเย่จือนั่งลงตรงข้ามนาง มองดูกู้เสี่ยวหวานกินอย่างระมัดระวังราวกับกำลังดูภาพม้วนและตกอยู่ในภวังค์

กู้เสี่ยวหวานสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล “พี่เย่จือ”

ฉินเย่จือได้สติขึ้นมาและพูดติดตลกว่า “หวานเอ๋อร์โตขึ้นแล้วดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน”

กู้เสี่ยวหวานเลือกช่องโหว่ในคำพูดของเขา “แล้วพี่เย่จือไม่ได้ชอบหน้าตาขี้เหร่ของข้ามาก่อนหรือ?”

ฉินเย่จือสำลักและกลับมารู้สึกตัวในทันที “ไม่ใช่ เมื่อก่อนก็ดูดี แต่ตอนนี้เจ้าเปลี่ยนไปและดูดีมากขึ้นเรื่อย ๆ”

สิ่งที่ฉินเย่จือไม่ได้พูดยกยอ หาแต่มันเป็นความจริง

0

ครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานล้วนมีหน้าตาที่ดูดี

ในอดีต เถียนซื่อเปรียบดั่งดอกไม้ประจำหมู่บ้าน และกู้ฉวนฟู่ก็เช่นกัน

ในบรรดาพี่น้องสามคนของตระกูลกู้ กู้ฉวนลู่และกู้ฉวนโซ่วหน้าตาไม่ดี แต่กู้ฉวนฟู่และกู้ฟางสี่นั้นดูดีที่สุด

อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายเหมือนพ่อ และอีกฝ่ายเหมือนแม่

ทั้งกู้ฉวนฟู่และเถียนซื่อนั้นดูดี และลูกที่พวกเขาให้กำเนิดจึงดูดีมากเช่นกัน

กู้เสี่ยวหวานกำลังจะถึงวัยแต่งงาน และร่างกายของนางก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป

เมื่อก่อนยังมีแก้มอยู่บ้าง แต่คราวนี้ค่อย ๆ ผอมลง

ใบหน้าเข้ารูปมากกว่าเดิม

——————————————-

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท