บทที่ 961 เข้าเมืองหลวงครั้งแรก
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้เข้าไปแทรกแทรงการจัดการร้านค้าในเมืองหลวงที่ฉินเย่จือรับผิดชอบมาโดยตลอด
นอกจากนี้ หลี่ฝานก็เป็นเจ้าของร้านที่มีประสบการณ์ ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกวางใจที่จะให้เขาตกแต่งร้าน
จดหมายจากเมืองหลวงแจ้งว่าร้านได้รับการปรับปรุงใหม่ และวางแผนที่จะเปิดทำการในวันฤกษ์ดี กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ จึงนำตุ๊กตา ผ้าเช็ดหน้าปักลาย และสิ่งอื่น ๆ เช่น พื้นรองเท้าและปลอกหมอนปักลายที่พวกนางทำในช่วงเวลานี้ และยังมีตัวอย่างงานปักบางส่วนถูกบรรจุและพร้อมที่จะส่งไปยังเมืองหลวงทันที
กู้เสี่ยวหวานไม่เคยไปเมืองหลวงมาก่อน และการเดินทางเข้าเมืองหลวงต้องใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนในการนั่งรถม้า กู้เสี่ยวหวานไม่ได้พากู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ไปด้วย แม้ว่าพวกเขาจะอยากไปมาก แต่ก็รู้ว่าการเดินทางนั้นยาวไกล อีกทั้งถนนก็ยังเป็นหลุมเป็นบ่อ ถ้าพวกเขาไปก็มีแต่จะทำให้พวกพี่ ๆ เดือดร้อน
ดังนั้นในรายชื่อผู้ที่จะไปเมืองหลวงในครั้งนี้ จึงมีเพียงฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวาน และฉือโถวเท่านั้น
อาโม่รู้ศิลปะการต่อสู้ แต่กู้เสี่ยวหวานไม่ยอมให้เขาติดตามไปด้วย เพราะกลัวว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นที่สวนกู้ หากเวลานั้นไม่มีผู้ใดรู้ทักษะการต่อสู้อยู่ที่สวนกู้เลย มันคงจะเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
ทั้งสามคนออกเดินทางไปท่ามกลางคำแนะนำนับพันจากสมาชิกในครอบครัว
คราวนี้เป็นรถม้าที่ถูกลากจูงด้วยม้าร่างสูงใหญ่กำยำสามตัว
รถม้าคันนี้เป็นรถที่ฉินเย่จือได้เตรียมไว้
ครั้งนี้เป็นการเดินทางที่ยาวนานจากเมืองหลิวเจียไปยังเมืองหลวง รถม้าอาจใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือน ถนนหนทางเป็นหลุมเป็นบ่อ หากไม่เตรียมรถม้าที่ดีกว่านี้ กู้เสี่ยวหวานจะไม่สามารถทนต่อความยากลำบากในการเดินทางครั้งนี้ได้เลย
ฉินเย่จือคิดอย่างรอบคอบ และกู้เสี่ยวหวานก็เพิ่งตระหนักถึงความสำคัญของรถม้าที่ดีในวันที่สาม
ด้านในห้องโดยสารปูด้วยพรมผืนหนา มีเบาะนวมหนาคลุมบนที่นั่ง เมื่อพิงเบาะอันหนานุ่มจึงไม่รู้สึกถึงการเดินทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ
นอกจากนี้ ยังมีสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกมากมายในรถม้า
เช่น มีกาต้มชา ของว่าง หนังสือ ใช้เพื่อฆ่าเวลาระหว่างทาง
การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาอยู่ในรถม้าทั้งหมดสิบเอ็ดวัน
เพื่อให้ทันกับฤกษ์ที่หลี่ฝานบอก กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ จึงรีบเร่งไม่หยุดเพราะกลัวว่าจะพลาดฤกษ์งามยามดี
นอกจากนี้ หลี่ฝานยังเผื่อเวลาไว้ให้พวกเขาด้วย กู้เสี่ยวหวานแค่ต้องการไปที่เมืองหลวงก่อนเวลาเพื่อดูความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวง และต้องการไปดูโดยเร็วที่สุด
และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่ฉือโถวไปที่เมืองหลวง เมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ เขาเคยได้ยินมาจากคนอื่นเท่านั้น
คราวนี้เมื่อเขารู้ว่ากำลังจะไปเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรือง ฉือโถวก็รู้สึกตื่นเต้นมาก รถม้าจึงวิ่งเร็วขึ้นเพราะต้องการไปยังเมืองหลวงให้เร็วที่สุด
คนเดียวที่มีท่าทางสงบนิ่งคือฉินเย่จือ เขาเติบโตในเมืองหลวงตั้งแต่ยังเด็ก และเขารู้จักทุกซอกทุกมุมในเมืองหลวง
แต่เนื่องจากกู้เสี่ยวหวานรู้สึกตื่นเต้นมาก ฉินเย่จือจึงแสร้งทำเป็นคาดหวัง โดยแสดงให้เห็นว่าตนเองต้องการเห็นความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวง
รถม้าเดินทางนานกว่าสิบวัน และกู้เสี่ยวหวานเกือบจะอาเจียนในรถม้า
การคมนาคมในสมัยโบราณนั้นไม่สะดวกสบายนัก หากเป็นช่วงเวลาในชีวิตท่แล้วของกู้เสี่ยวหวาน การเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงจะใช้เวลาไม่ถึงห้าชั่วโมง
จะเป็นอย่างตอนนี้ได้อย่างไร เดินทางมากว่าสิบวัน แต่คิดก็ท้องไส้ปั่นป่วนแล้ว
ในไม่ช้าความเจริญของเมืองหลวงก็ระงับความรู้สึกไม่สบายของนางทันที
เมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ใต้ฝ่าเท้าของฮ่องเต้ และความเจริญรุ่งเรืองที่นี่ช่างน่าทึ่งจริง ๆ
กู้เสี่ยวหวานเคยทำงานในเมืองหลวง และทุก ๆ วันจะมีรถประจำทางวิ่งผ่านปักกิ่ง ตึกสูงระฟ้าและอาคารที่โอ่อ่างดงามทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตาตื่นใจเสมอ
ในขณะนี้ นางกำลังยืนอยู่บนภูเขา มองลงไปที่เมืองด้านล่างท่ามกลางความหนักใจ
ในสมัยโบราณ ระบอบราชาธิปไตยและระบบศักดินานั้นโหดร้าย
ด้วยกำแพงสูงขนาดนั้น จะมีสักกี่คนที่อยู่ข้างในที่เฝ้ารอ รอคอยที่จะกระโดดออกจากกรงนั่นและออกมายังพื้นที่ด้านนอกอย่างใจจดใจจ่อ
แต่ที่กำแพงอีกด้านก็มีผู้คนจำนวนมากยืดคอมองเข้าไปและต้องการเข้าไปในพระราชวังที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ และเพ้อฝันถึงความหวังอันสูงส่งที่ฮ่องเต้จะโปรดปราน ได้รับความมั่งคั่งและเกียรติยศ
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานรู้สึกเศร้าใจ ฉินเย่จือก็ถามว่า “เป็นอะไรหรือ? หวานเอ๋อร์”
กู้เสี่ยวหวานยิ้มพลางชี้ไปยังพระราชวังที่อยู่ห่างไกลและพูดว่า “พี่เย่จือ คิดว่าฮ่องเต้มีนางสนมมากมายจริงหรือ? ถ้าอย่างนั้นพระองค์จะมีเวลาทำอย่างอื่นหรือไม่?”
เมื่อได้ยินกู้เสี่ยวหวานพูดคำดังกล่าว ฉินเย่จือก็หัวเราะ
เขาไม่ได้ตอบคำถามนี้อย่างละเอียด
ทั้งหมดที่รู้ก็คือ ทุกวันเมื่อเข้าไปในวัง นอกจากขันทีไม่กี่คนที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้แล้ว ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะไปที่ไหน คนที่เห็นมากที่สุดก็คือนางกำนัลรับใช้
ผู้หญิงทุกคนในวังตั้งแต่ฮองเฮาไปจนถึงนางกำนัลรับใช้ล้วนเป็นสตรีของฮ่องเต้ หากนับรวมสาวรับใช้ อาจมีนางสนมถึงสามพันคน
แต่นางสนมมากมายอย่างนั้นหรือ?
ดูเหมือนว่าจนถึงตอนนี้ นอกจากฮองเฮาผู้เป็นที่รักในวัยเด็กและเสี่ยวกุ้ยเฟยนางหนึ่งแล้ว ฮ่องเต้น้อยก็ไม่มีนางสนมคนอื่นแล้ว
รอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของฉินเย่จือ ทำให้กู้เสี่ยวหวานตกตะลึงอีกครั้ง
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ในหัวเล็ก ๆ ของของเจ้ากัน?” ฉินเย่จือหัวเราะและดุด้วยความตำหนิ “เราไม่สนใจเรื่องของของฮ่องเต้ แม้ว่าเขาจะมีนางสนมถึงสามพันคน ไม่ว่าเขาจะยุ่งหรือไม่ก็เรื่องของเขา หากเขาอยากได้มากเช่นนั้น ใครในดินแดนนี้จะกล้าไม่ให้เขากัน?”
เป็นเรื่องจริง
กู้เสี่ยวหวานยิ้ม “ข้าเพียงสงสัย มีคนกล่าวว่าฮ่องเต้เป็นผู้มีเกียรติมากที่สุดในโลก แต่ก็เป็นคนที่โดดเดี่ยวที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน มีผู้หญิงมากมายอยู่รอบตัวเขาเพื่อใช้คลายความเหงาหรือไม่”
ฉินเย่จือไม่คาดคิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะพูดแบบนี้และเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ฮ่องเต้เป็นบุคคลที่มีเกียรติที่สุดในโลก ข้าเห็นด้วย แต่ทำไมเจ้าถึงบอกว่าเขาเป็นคนที่โดดเดี่ยวที่สุดในโลกด้วยล่ะ?”
“ลองคิดดูสิ ยิ่งสูงยิ่งหนาว และฮ่องเต้ก็ประทับอยู่ในตำแหน่งที่สูงขนาดนั้น นอกจากพระองค์แล้ว เกรงว่าจะไม่มีใครยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้ ผู้คนและสิ่งต่าง ๆ รอบตัวของพระองค์ดูเลือนราง สิ่งที่พระองค์เห็นอาจเป็นภาพลวงตา” กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจขณะที่มองไปยังกำแพงเมืองสูงตระหง่านที่เชิงเขา
——————————————-