สถานที่กักบริเวณของตระกูลก่วง ที่จริงก็อยู่ไม่ห่างจากวังสวรรค์มากนัก เม่ยเหนียงกลับมาที่ตระกูลก่วง เพิ่งจะทำให้ทุกคนของตระกูลก่วงตกใจเป็นไก่สุนัขกระโดดกำแพงได้ไม่นาน เกี้ยวมังกรก็พาเหมียวอี้กับก่วงเม่ยเอ๋อร์มาแล้ว บอกว่าจะมาก็มาจริงๆ
ทุกคนของตระกูลก่วงมารวมตัวกันต้อนรับ แม้เรือนพักใหม่ของตระกูลก่วงจะยังก่อสร้างต่อเติมไม่เสร็จเรียบร้อย แต่เม่ยเหนียงกลับดีใจมาก ราชันสวรรค์พาลูกสาวของนางกลับมาที่บ้านเดิม นี่เป็นเรื่องที่ต้องไว้หน้ากันมากขนาดไหน ต่อไปนี้ใครจะยังกล้าสงสัยถึงฐานะในวังของลูกสาวนางอีก? คนเดียวที่ทำให้เม่ยเหนียงไม่ค่อยพอใจก็คือก่วงลิ่งกง เพราะยังคงเก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ยอมโผล่หน้าออกมาต้อนรับราชันสวรรค์
นางดีใจเพราะเหมียวอี้กลับมาเป็นเพื่อนลูกสาวนาง โกวเยว่ที่ออกมาต้อนรับด้วยกันรู้สึกหนาวจนเสียวสันหลัง เม่ยเหนียงไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายที่มาพร้อมกับหนิวโหย่วเต๋อ แต่เขากลับตระหนักได้อย่างแท้จริงถึงเขี้ยวหมาป่าที่อ้ารออยู่ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อถือโอกาสแสดงความคิดของตัวเองเมื่อไร เกรงว่าทั้งตระกูลก่วงจะได้หลั่งเลือดกลายเป็นแม่น้ำ หายไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง
ทัพใหญ่ที่อารักขามาถึงก่อน ควบคุมเรือนพักที่ตระกูลก่วงเตรียมไว้ให้เหมียวอี้พักล่วงหน้า จากนั้นถึงได้เห็นเกี้ยวมังกรเหยียบลงพื้น เหมียวอี้กับก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้าวลงจากเกี้ยวมังกรพร้อมกัน
“คำนับฝ่าบาท คำนับสนมสวรรค์!” ทุกคนของตระกูลก่วงที่นำโดยเม่ยเหนียงโค้งตัวต้อนรับ
เหมียวอี้กวาดสายตามองกลุ่มคน ไม่เห็นก่วงลิ่งกโผล่หน้าออกมาต้อนรับ แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าผิดปกติใดๆ ตะโกนบอกให้ทุกคนยืนขึ้น จากนั้นเข้ามาพูดคุยทักทายกับพวกเม่ยเหนียงตามมารยาทสองสามคำ ไม่ได้เอ่ยถึงก่วงลิ่งกง แค่เข้าพักในตระกูลก่วง
ตอนกลางคืน ไม่เหนือความคาดหมายเลยสักนิด ก่วงเม่ยเอ๋อร์ปรนนิบัติในห้องนอน
ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สาวใช้กำลังถอดเครื่องประดับศีรษะให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ เหมียวอี้พี่นั่งอยู่ข้างเตียงจ้องมาทางโต๊ะเครื่องแป้งตลอด จู่ๆ ก็โบกมือ สาวไทยที่ยังทำงานไม่ทันเสร็จรีบโค้งกายและถอยออกไป หลังจากออกไปแล้วก็ปิดประตูไว้อย่างดี
เหมียวอี้ลุกขึ้นเดินมาข้างหลังก่วงเม่ยเอ๋อร์ สบตากับก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่อยู่ในกระจก เขาค่อยๆ ถอดเครื่องประดับทีละชิ้นออกจากมวยผมของก่วงเม่ยเอ๋อร์ด้วยมือตัวเอง ก่วงเม่ยเอ๋อร์จ้องการกระทำของเขาผ่านกระจกอย่างนิ่งเงียบ
“สภาพจิตใจของเจ้าตอนนี้เหมือนน้ำนิ่งในบ่อ ยังจำตอนที่เจิ้นรู้จักกับเจ้าครั้งแรกได้หรือเปล่า? ตอนนั้นเจ้าเกือบจะได้แต่งงานกับเจิ้นแล้ว” เหมียวอี้พลันหัวเราะเบาๆ
จำได้สิ! ก่วงเม่ยเอ๋อร์จำภาพเหตุการณ์ในปีนั้นได้ชัดเจนมาก ผู้ชายในกระจกอยู่ในใจนางจนทำให้นางนอนพลิกไปพลิกมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว หลายครั้งแล้วที่ทำให้นางใฝ่ฝันเฝ้าคอย วีรบุรุษกล้าหาญ องอาจชาญชัย ฉากที่นำทหารแขนขาขาดมาตะโกนอยู่ใต้กำแพงเมืองว่าจะสังหารล้างเมืองก็ยิ่งชัดเจนเหมือนใหม่ ทุกครั้งที่เจอเขาก็จะหัวใจเต้นแรงเหมือนมีกวางน้อยกระโดดชน ตอนนี้กลับไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นอีกแล้ว เพราะผู้ชายในกระจกทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว คนในบ้านพากันเตือนนางไว้ ว่าผู้ชายคนนี้สามารถเอาชีวิตคนในครอบครัวนางได้ทุกเมื่อ ให้นางไปแย่งชิงความโปรดปราน ให้นางคิดหาวิธีปฏิบัติให้ดี
ผมยาวดำขลับตกลงมาคลุมบ่าเรากับม่านน้ำตก
ความรู้สึกหนาวเย็นโถมเข้ามา ก่วงเม่ยเอ๋อร์ประหม่าจนตัวสั่น เห็นเพียงสองมือในกระจกกำลังคลายเสื้อผ้าบนไหล่นางอย่างช้าๆ เผยกระดูกไหปลาร้างามเกลี้ยงเกลาขาวหมดจด ไหล่สองข้างเผยออกมาทีละนิด มืออีกฝ่ายไม่หยุดทำงาน จนกระทั่งสองก้อนกลมขาวอมชมพูเนียนนุ่มเผยออกมาจนหมด สองมือที่เหมือนมีอำนาจสังหารทุกสิ่งก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว…
สามวัน! วันต่อมายังไม่เห็นก่วงลิ่งกงออกมาคำนับ เหมียวอี้ก็ลั่นวาจาแล้ว เขาต้องการจะพักอยู่ในจวนตระกูลก่วงสามวัน
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน เหลือเวลาจำกัดอีกวันสุดท้าย โกวเยว่ทนไม่ไหวแล้ว มายังห้องนอนของก่วงลิ่งกงที่ปิดสนิทอีกครั้ง
ก่วงลิ่งกงยังคงทำตัวเหมือนคนตาย นอนนิ่งอยู่บนเตียงหลังนั้น จมอยู่ท่ามกลางแสงสว่างขมุกขมัว
“ท่านอ๋อง หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าจะอยู่พักที่จวนตระกูลก่วงสามวันเท่านั้น คงจะให้เวลาจำกัดแค่สามวัน อยากจะให้ท่านไปยอมสวามิภักดิ์ ทำเพื่อทุกคนของจวนตระกูลก่วง ท่าน…” โกวเยว่ทำสีหน้าสับสน อึกอักเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออกว่าจะให้ก่วงลิ่งกงยอมก้มหน้า
ทว่าก่วงลิ่งกงยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร
สุดท้าย โกวเยว่ก็ก้มหน้าโค้งกาย แล้วหันตัวช้าๆ เดินจากไป
ใครจะคิดว่าตอนที่เดินมาถึงประตู จู่ๆ ก็ได้ยินก่วงลิ่งกงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ถ้าข้ายอมสวามิภักดิ์ ตราบใดที่ข้ายังไม่สาย จะช้าหรือเร็วเขาก็ต้องลงมือกับตระกูลก่วง ถ้าข้าไม่ยอมสวามิภักดิ์ ตระกูลก่วงถึงจะรอดพ้นหายนะนี้ไปได้!”
โกวเยว่พลันหันกลับมา รู้สึกประหลาดใจและดีใจ ในที่สุดท่านอ๋องก็ยอมเอ่ยปากพูดแล้ว เขารีบเดินเข้ามาใกล้ แล้วถามว่า “ท่านอ๋อง หมายความว่าอย่างไรหรือ?”
ทว่าก่วงลิ่งกงบอกไว้เพียงเท่านี้ จากนั้นต่อให้ถามอย่างไร ก็ไม่มีคำตอบอีก
สุดท้ายโกวเยว่ทำได้เพียงเดินจากไปเบาๆ แต่เมื่อมีคำพูดนี้ของก่วงลิ่งกงแล้ว ในใจก็นับว่ามีความมั่นใจแล้ว เขารู้ว่าก่วงลิ่งกงไม่ใช่คนที่จะยิงธนูโดยไร้เป้า
สามวันหลังจากนั้น เหมียวอี้จากไปตามกำหนด แต่ไม่ได้พาก่วงเม่ยเอ๋อร์ไปด้วย บอกว่าต้องการให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์อยู่พักที่บ้านเดิมตัวเองหลายๆ วันหน่อย
ส่วนพฤติกรรมของก่วงลิ่งกงที่แม้ตายก็ไม่ยอมออกมาพบ เราไม่ได้ส่งผลให้เหมียวอี้ทำเรื่องที่โกวเยว่กังวล…
หลังจากนั้นหนึ่งปี ผ่านการประชุมขุนนางนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดก็ได้บทสรุปของการ ‘นิรโทษกรรมใต้หล้า’ แล้ว กฎสวรรค์ที่เกี่ยวข้องถูกร่างอย่างละเอียดเสร็จเรียบร้อย ประกาศต่อใต้หล้าอย่างเป็นทางการ ใต้หล้าสั่นสะเทือน!
นักพรตในใต้หล้าที่เห็นประกาศต่างก็รู้ ว่าเมื่อกฎสวรรค์นี้ปรากฏขึ้น ก็หมายความว่ากฎระเบียบเดิมของใต้หล้าถูกรื้อจนหมดสิ้นแล้ว ตำหนักสวรรค์กำลังจะมีอำนาจสูงสุดอย่างเบ็ดเสร็จ จะควบคุมทุกสิ่งของใต้หล้าโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดว่าจะหลุดออกจากกฎสวรรค์ง่ายๆ
มหาสมุทรกว้างสีเขียวมรกต เรือโหลวฉวนลอยไปตามคลื่น ในตึกเรือมีกับแกล้มเต็มโต๊ะ ชายสองคนกำลังนั่งดื่มอยู่ตรงข้ามกัน ม่านไข่มุกทั้งสี่ด้านถูกม้วนขึ้น ฟ้ากว้างทะเลครามช่วยเพิ่มอรรถรสให้ทิวทัศน์
สตรีวัยกลางคนสองคนกำลังพูดคุยสัพเพเหระอยู่ตรงโต๊ะริมหน้าต่าง หนึ่งในนั้นชื่อว่าฟางซู่ซู่ เหมียวอี้อาจจะรู้จัก หรือไม่รู้จักก็ได้ เวลาผ่านไปนานมากแล้ว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่พิภพเล็ก
ชายสองคนที่นั่งดื่มอยู่ตรงข้ามกันก็คือสามีของผู้หญิงสองคนนี้ ทั้งคู่เป็นหัวหน้าภาคคนใหม่ของตำหนักสวรรค์ได้ไม่นาน นับว่าเป็นบุคคลที่ในมือกุมอำนาจทางทหารไว้ ล้วนเป็นคนหกลัทธิที่มีพื้นเพมาจากแดนอเวจี แน่นอน ตอนนี้ไม่มีหกลัทธิอะไรแล้ว มีเพียงตำหนักสวรรค์เท่านั้น ไม่มีอำนาจฝ่ายอื่น ตอนทั้งสองอยู่ที่แดนอเวจีก็เป็นสหายเก่ากัน ครั้งนี้ฝ่ายหนึ่งข้ามดาราจักรมามาที่อาณาเขตของอีกฝ่ายหนึ่ง นับว่าเป็นการพบกันของสหายเก่า
เมื่อกรอกสุราลงปากคำหนึ่ง ายหนุ่มแซ่จ้าวก็มองทิวทัศน์ทะเลรอบๆ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว “พูดตามตรง ตอนแรกที่อยู่แดนอเวจี นึกว่าจะถูกขังอยู่ในสถานที่ผีๆ แบบนั้นทั้งชีวิตนี้ซะแล้ว แม่เบื้องบนจะบอกมาตลอดว่าจะโจมตีกลับ แต่ที่จริงข้าก็ไม่ได้หวังสักเท่าไหร่ ใครจะคิดว่าพอออกจากแดนอเวจี ก็เจอศึกที่คว่ำฟ้าพลิกดินแล้วจริงๆ แย่งชิงใต้หล้านี้ได้อีกครั้ง! นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกเราจะได้มานั่งดื่มสุราสบายใจอยู่ที่นี่ ตอนนี้นึกดูแล้วก็เหมือนฝันไป บางครั้งก็รู้สึกว่าไม่สมจริงด้วยซ้ำ แดนอเวจีที่ฝังอยู่ในความทรงจำมันลึกเกินไป”
ชายหนุ่มแซ่เกาอีกคนพยักหน้า “นิรโทษกรรมใต้หล้า ทางฝั่งเจ้า สถานการณ์การลงทะเบียนรายชื่อเซียนไปถึงไหนแล้ว?”
ชายหนุ่มแซ่จ้าวตอบว่า “มีคนมาลงทะเบียนเยอะมาก ค่อนข้างยุ่งยาก เพราะต้องตรวจสอบตัวตนของคนที่มาลงทะเบียนให้ชัดเจนทุกคน ต้องรายงานที่อยู่ที่แน่นอนซึ่งสามารถติดต่อได้ขึ้นไปให้เบื้องบน ยามจะเปลี่ยนที่อยู่ก็ต้องรายงานต่อเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินประจำพื้นที่นั้นด้วย พวกเรายุ่งยากนิดหน่อย พวกที่มาลงทะเบียนก็ยุ่งยากเหมือนกัน ทางฝั่งเจ้ามีคนมาลงทะเบียนเยอะหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มแซ่เกาถอนหายใจ “ไม่เยอะก็แปลกแล้ว ฝ่าบาทเล่นทำอย่างนี้ ถ้าใครไม่เข้าทะเบียนรายชื่อเซียนก็จะถูกลงโทษข้อหาโจรกบฏ ถึงขั้นไม่มีสิทธิ์รวบรวมและซื้อขายทรัพยากรฝึกตนด้วยซ้ำ ต่อไปไม่ว่าจะทำธุรกรรมอะไรก็ต้องแสดงทะเบียนรายชื่อเซียนเพื่อพิสูจน์ ถ้าใครฝ่าฝืนแล้วถูกจับได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซื้อหรือฝ่ายขายก็ต้องโดนลงโทษทั้งหมด ถ้าไม่มีทะเบียนรายชื่อเซียนยืนยันตัวตน แม้แต่จะเดินทางในดาราจักรให้เป็นอิสระก็ยังยากเลย ถามหน่อยว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ยังจะมีใครทนไหวอีก”
ชายหนุ่มแซ่จ้าวกล่าวว่า “กฎหมาย ‘ทัณฑ์สวรรค์’ นั่น…เกรงว่าต่อไปนี้นักพรตคงจะอยู่ไม่สุขแล้ว”
“เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทต้องการจะควบคุมจำนวนนักพรตในใต้หล้า ไม่อย่างนั้นถ้าใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ทั้งยังไม่มีสงครามอะไรอีก นักพรตเพิ่มจำนวนไม่หยุด ทรัพยากรฝึกตนกลับมีจำกัด ถ้าไม่ควบคุมก็ต้องเกิดเรื่องเข้าสักวัน แต่หลังจากนี้ เกรงว่าคนที่ผ่านเคราะห์ไปได้คงจะมีโอกาสตายมากกว่ารอด” ชายหนุ่มแซ่เกากล่าว
ชายหนุ่มแซ่จ้าวยกจอกสุราถาม “ได้ยินว่าในที่ประชุมขุนนางมีข่าวหลุดมาอีกแล้ว บอกว่าจะแบ่งตำแหน่งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น มีขุนนางไม่น้อยต้องถูกยุบ ต้องถอดเกราะรบกลายเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น”
ชายแซ่เกายิ้มเจื่อน “ก็ไม่รู้ว่าเรื่องการยุบตำแหน่งจะลามมาถึงพวกเราหรือเปล่า เออใช่ ได้ยินว่าฝ่าบาทคิดจปราบอาณาเขตดาวนิรนาม เตรียมจะย้ายกำลังพลหนึ่งในสามของใต้หล้าไปที่อาณาเขตดาวนิรนามโดยเฉพาะ ทัพใหญ่ในใต้หล้าผลัดเปลี่ยนกันดำเนินการเรื่องนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นเรื่องจริง คงเลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม”
ชายหนุ่มแซ่จ้าวบอกว่า “ไม่มีข่าวลือที่ไร้หลักฐานหรอก แล้วอีกอย่าง ใต้หล้าไม่มีเรื่องสงคราม ตำหนักสวรรค์จะหางานให้เราทำสักหน่อยก็เข้าใจได้ไม่ยาก”
แม้จะพูดคุยสัพเพเหระกับเพื่อนสาวอยู่ตรงริมหน้าต่าง แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะได้ยินบทสนทนาของสามีกับสหาย ไม่ได้ยินสองคนนั้นเอ่ยถึงเหมียวอี้ ฟางซู่ซู่ก็มองไปที่มหาสมุทรด้านนอกด้วยแววตาเหม่อลอยเล็กน้อย เสียงเจื้อยแจ้วของเพื่อนสาวที่อยู่ข้างกายไม่เข้าหูสักประโยค
ตอนที่ตัวอยู่แดนอเวจี นางยังมีความคิดที่น่าขำแบบนั้นอยู่ คิดจะไขว่คว้าเกียรติยศ แต่ที่แดนอเวจีขาดแคลนผู้หญิง ผู้หญิงส่วนใหญ่ถูกกดดันให้แต่งงาน นางเป็นคนส่วนน้อยที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมแต่ง ทว่าแดนอเวจีควบคุมเข้มงวดมาก ทรัพยากรก็ไม่เพียงพอ ทั้งยังขาดช่องทางให้เลื่อนตำแหน่ง ต่อให้เจ้าอยากจะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อวันเวลาล่วงเลยนานไป ในที่สุดศรัทธาก็เริ่มสั่นคลอนทีละน้อย เพราะมองไม่เห็นความหวัง ด้วยความที่สามียืนหยัดตามจีบนาง ในที่สุดก็ซาบซึ้งใจ และแต่งงานกับเขาแล้ว
เดิมทีนึกว่าต้องถูกขังอยู่ที่แดนอเวจีไปทั้งชีวิต ใครจะคิดว่าในปีที่สองหลังจากแต่งงาน ประตูใหญ่แดนอเวจีก็เปิดออก ไม่น่าเชื่อว่าจะเคลื่อนทัพใหญ่ออกจากแดนอเวจี โจมตีเขาหลิงซาน!
ในตอนนั้น ความรู้สึกเสียใจทีหลังยากจะบรรยายออกมาได้ ทำไมถึงไม่ยืนหยัดอดทนอีกสักหน่อยล่ะ? ยืนหยัดมาหลายปีขนาดนั้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าปีสุดท้ายจะไม่ยืนหยัดต่อแล้ว ราวกับสวรรค์กำลังล้อเล่นแรงๆ กับนาง
ทว่าเมื่อตระหนักได้ถึงความโหดร้ายของศึกใหญ่ หลังจากได้รู้ฐานะแท้จริงของคนที่ใจตัวเองหมกมุ่น ทันใดนั้นก็พบว่าตัวเองอยู่ห่างจากคนผู้นั้นไกลมาก ไม่ใช่ไกลเพราะระยะทางเท่านั้น! อีกฝ่ายมีอำนาจสูงเสียดฟ้า ชั่วอึดใจเดียวก็รับอนุภรรยาไปแล้วนับพันคน มีชีวิตนับร้อยล้านจบสิ้นอยู่ภายใต้คำสั่งเดียวของเขา มีคนนับไม่ถ้วนตายเพราะเขา กลอุบายอันน่าหวาดกลัวที่พลิกแพลงไปเหมือนคว่ำเมฆพลิกฝน ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ขนาดฆ่าล้างตระกูลโค่วที่เป็นบิดาบุญธรรมของตัวเอง โหดเหี้ยมไร้หัวใจ!
นางราวกับตื่นขึ้นมาจากฝัน จู่ๆ ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์เด็กหนุ่มองอาจห้าวหาญที่ตัวเองจินตนาการไว้ ไม่มีความรู้สึกที่ทำให้นางใจเต้นแรงอีกแล้ว กลับทำให้นางรู้สึกว่าโหดเหี้ยมเย็นชามากด้วยซ้ำ เมื่อได้ยินชื่ออีกฝ่าย ตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกรงกลัว ก่อนหน้านี้นางอยากเจอเขา แต่ตอนนี้กลับหวาดกลัวที่จะเจอเขา
บางทีตัวเองอาจจะคิดมากไป อีกฝ่ายอาศัยอยู่ลึกในวังสวรรค์ มีหรือที่ใครอยากเจอแล้วจะเจอก็ได้?
ฉากที่โยนลูกกลมแพรปักเลือกคู่จากบนตึกสูง ต้นหลิวริมแม่น้ำและละอองฝนโปรยปราย เขาถือร่มยืนอย่างองอาจอยู่ตรงหัวเรือและหันหน้ากลับมา ฉากที่มีหมอกฝนดุจภาพวาด…ฟางซู่ซู่ทอดสายตามองทะเลเขียวมรกตนอกหน้าต่างเผลอยิ้มมุมปาก
“พี่หญิงฟาง อย่าบอกนะว่าคำพูดของข้าน่าขำมาก?”
สตรีวัยกลางคนที่อยู่ข้างกันเห็นนางยิ้ม ก็อดไม่ได้ที่จะถาม ทำให้ฟางซู่ซู่รีบดึงสติกลับมา นางกุมมืออีกฝ่ายพลางส่ายหน้าหัวเราะไม่หยุด แต่กลับไม่อธิบายอะไร
นางหันกลับไปมองสามีที่พูดคุยหยอกล้อกับสหายอีกครั้ง แต่ละฉากที่เคยมีร่วมกับคนผู้นั้น แม้ยามนึกถึงจะรู้สึกว่างดงามมาก แต่ก็มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่นึกถึง ชนชั้นสูงมักลืมมิตรภาพวันเก่า เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเป็นใคร แต่ตัวจริงที่อยู่ตรงหน้าก็ดีมากเหมือนกัน รักและปกป้องนางมาตลอด นางไม่มีอะไรให้ไม่พอใจ
ส่วนฉากอันงดงามที่น่าขำและไม่สอดคล้องกับความจริงเหล่านั้น นางเตรียมจะเก็บไว้ในก้นบึ้งหัวใจตลอดไป จะไม่เอ่ยถึงกับใครอีก หากมีวาสนาได้เจอคนผู้นั้นอีกครั้ง หากตนมีโอกาสได้สนทนากับเขา บางทีตนอาจจะถามประโยคเดียวว่า ยังจำคนที่โยนลูกกลมแพรปักให้ท่านในปีนั้นได้หรือไม่? เขาจะนึกออกหรือเปล่า?