บทที่ 630 ใช้คุณธรรมโน้มน้าวใจ
บทที่ 630 ใช้คุณธรรมโน้มน้าวใจ
เมื่อเห็นว่าหลิวเหย่ากำลังพูดอะไรไม่ออก ซูอันจึงพูดเสริมทันที “ข้าต้องการพบพ่อตาและแม่ยายของข้า ข้าหวังว่าแม่ทัพหลิวจะหลีกทางให้!”
หลิวเหย่ารู้สึกเหมือนเบ้าตาของเขากำลังแตกออก เจ้าเด็กนี่กำลังล้ำเส้นเกินไป!
ในขณะนั้นเอง เสียงหัวเราะที่สดใสก็ดังขึ้นแทรก “ท่านอ๋องฉู่ยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด ดังนั้นเขาจึงยังไม่ใช่อาชญากร มันสมเหตุสมผลในการอนุญาตให้สมาชิกในครอบครัวพบหน้ากัน”
คนกลุ่มหนึ่งเดินมุ่งหน้าเข้ามา คนที่เดินนำหน้ามาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าเมืองจันทร์กระจ่าง…เซี่ยอี้ ที่ด้านข้างของเขาคือชายหนุ่มที่มีใบหน้าสวยซะยิ่งกว่าผู้หญิง ซึ่งแน่นอนก็คือเซี่ยซิว!
“ท่านพ่อ!” เซี่ยเต๋าอวิ๋นร้องออกมาด้วยความดีใจ
เซี่ยอี้มองดูนาง “มาตรงนี้ เจ้ายืนกอดผู้ชายอยู่แบบนั้น ไม่กลัวเรื่องอื้อฉาวหรือไง?”
“อ่า…” เซี่ยเต๋าอวิ๋นก้มหน้าแสดงความรู้สึกผิดและแลบลิ้นออกมา จากนั้นนางก็พูดเบา ๆ กับซูอัน “อาซู ข้าขอตัวก่อน”
“ขอบคุณสำหรับวันนี้” ซูอันตอบด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเต๋าอวิ๋นหน้าแดง และนางก็รีบเดินไปที่ด้านข้างของเซี่ยอี้
เมื่อเห็นว่าพี่สาวของเขาแสดงท่าทางอย่างนี้ เซี่ยซิวก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมองซูอัน ข้าอยากจะเป็นเพื่อนกับเจ้า! แต่ดูเหมือนว่าเจ้ากลับต้องการเป็นพี่เขยของข้า!?
แล้วอีกอย่าง พี่สาวของข้าไปสนิทกับไอ้เสือผู้หญิงนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่??
หลิวเหย่ายิ่งขมวดคิ้วแน่นมากขึ้น “เจ้าเมืองเซี่ย? ท่านมาที่นี่ทำไม?”
เซี่ยอี้ยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าเกิดความเข้าใจผิดกันดังนั้นข้าจึงมาดู”
“ความเข้าใจผิด? ฮึ่ม! ไม่มีหรอก ในเมื่อซูอันมีน้ำใจพอที่จะดูแลพื้นที่โดยรอบ ข้าก็จะตามใจเขา!”
หลิวเหย่าฝืนยิ้มอย่างหงุดหงิด ตอนนี้เซี่ยอี้ยืนข้างตระกูลฉู่อย่างชัดเจน เขารู้ดีว่าหากยังคงยืนกรานที่จะขัดแย้ง เขาจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ เขาจึงต้องเปลี่ยนแผน หลังจากนี้เขาจะหาหลักฐานที่เป็นรูปธรรมมาเอาผิดตระกูลฉู่ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ คิดบัญชีกับตระกูลฉู่และตระกูลเซี่ยอีกที
ซูอันตกตะลึงกับท่าทีที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของหลิวเหย่า เขาคิดว่าตัวเองหน้าด้านมากพอแล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ เขายังตามหลังอยู่อย่างชัดเจน ไม่มีทางที่ตัวเองจะสามารถเปลี่ยนสีไวเหมือนกิ้งก่าได้ขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอีกฝ่ายเลิกราแล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะไม่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ “โธ่ ๆ ท่านแม่ทัพหลิว ทำไมท่านไม่เอ่ยอนุญาตให้เร็วกว่านี้? ถ้าท่านเอ่ยมาตั้งแต่แรก ข้าคงไม่ต้องเหนื่อยใช้คุณธรรมของข้าเพื่อโน้มน้าวใจท่าน”
หลิวเหย่าโกรธจัด “เจ้าหมายความว่าอะไร!?”
ซูอันยักไหล่ “ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งในโลกนี้ ใครก็ตามที่แข็งแกร่งเหนือกว่าคือคุณธรรมที่เที่ยงแท้ที่สุด เมื่อครู่นี้ท่านเพิ่งได้สัมผัสด้วยตัวเองไม่ใช่หรือไง กับคุณธรรมของข้าที่ใช้เพื่อโน้มน้าวท่านน่ะ?”
หลิวเหย่ากำลังจะระเบิดเพราะความโกรธ จะมีคนไร้ยางอายเช่นนี้ในโลกได้อย่างไร?
นี่คือโลกที่ผู้แข็งแกร่งครอบครองทุกสิ่งจริง ๆ หากเขาแพ้ให้ใครที่แข็งแกร่งกว่า เขาจะยอมรับแต่โดยดี
แต่ไอ้เด็กผู้นี้มันกลับอ้างว่ามันแข็งแกร่งกว่าเขา ทั้ง ๆ ที่มันพึ่งพาอำนาจของทหารนับพันที่อยู่ข้างกายมัน!
สิ่งที่มันทำตั้งแต่ต้นจนจบมีเพียงแอบอยู่หลังกองทัพผ้าคลุมสีชาดซึ่งมีจำนวนสามพันคน!
ไอ้ลูกหมา!
ซูอันทำหน้าทำตาเยาะเย้ย ตอนนี้เขารู้แล้วว่าฉู่จงเทียนวางตัวเป็นกลางแค่ไหน
ทั้ง ๆ ที่มีกองกำลังที่แข็งแกร่งเอาไว้ใช้งานทุกเมื่อ แต่ฉู่จงเทียนกลับไม่เคยตอบโต้ใครเลย และด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงกล้าข้ามหัวอ๋องฉู่อยู่ตลอดเวลา และปฏิบัติต่อตระกูลฉู่ราวกับพรมเช็ดเท้า
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซูอันจึงคิดใช้แนวทางตรงกันข้ามกับฉู่จงเทียน เขาต้องการทำให้ทุกคนเห็นว่านับจากนี้ ตระกูลฉู่จะไม่อ่อนข้ออีกต่อไป และใช้หลิวเหย่าผู้นี้เป็นตัวอย่างให้ทุกคนเห็น
บางครั้ง เจ้าแค่ต้องเตะตูดคนอื่นเพื่อทำให้พวกเขาสะดุ้งบ้าง!
เซี่ยอี้กังวลว่าทั้งสองฝ่ายจะฆ่าฟันกันจริง ๆ การไกล่เกลี่ยดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ผิด แต่การไม่ยุ่งเกี่ยวก็ดูจะผิดเช่นกัน เขาจึงรีบเดินมาขั้นขวาง และพยายามทำให้หลิวเหย่าใจเย็น “แม่ทัพหลิว ได้โปรดอย่ามีโทสะเลย ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่าน เชิญทางนี้…”
เขาพาหลิวเหย่าไปอีกด้านหนึ่ง เซี่ยเต๋าอวิ๋นก็รีบตามไปด้วย นางมีสายสัมพันธ์กับองค์รัชทายาทซึ่งทำให้นางเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบที่จะช่วยบรรเทาความตึงเครียดได้
หลิวเหย่าจ้องซูอันอย่างขุ่นเคือง แต่ก็ตัดสินใจไม่ดำเนินการใด ๆ ในท้ายที่สุด เขาจึงเดินตามเซี่ยอี้ไปทางด้านข้าง
เซี่ยซิวเดินมาหาซูอัน เขาถอนหายใจและพูดว่า “การกระทำของพี่ซูวันนี้ได้เปลี่ยนมุมมองของข้าเกี่ยวกับเจ้าไปอย่างสิ้นเชิง! เจ้ากล้าที่จะขัดแย้งกับผู้บ่มเพาะขั้นสูงสุดของระดับที่ 9!”
ซูอันหัวเราะเสียงดัง “มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับผู้บ่มเพาะระดับ 9 กัน? ข้าเคยประมือกับผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์มาแล้ว!”
เขาไม่ได้โกหก แม้จะไม่นับผู้เฒ่ามี่และเว่ยต้าน ในมิติลับหยกจรัสทั้งหมี่ลี่ และจางฮั่นต่างก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหลิวเหย่า
เซี่ยซิวอ้าปากค้าง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี
เนื่องจากเขาไม่รู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ในมิติลับหยกจรัส เขาจึงคิดว่าคำพูดของซูอันเป็นเพียงการโอ้อวด “ว่าแต่ เกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้า และพี่สาวของข้า ข้าไม่เคยเห็นพี่สาวของข้าช่วยคนอื่นแบบนี้มาก่อน!”
“โอ้ ช่วยกันแค่นี้มันเรื่องเล็กน้อย” ซูอันพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าหมายความว่ายังไง?” เซี่ยซิวเริ่มตื่นตระหนก
“ไปถามพี่สาวเจ้าสิ” ซูอันยิ้มอย่างลึกลับ จากนั้นเขาก็เรียกคนตามเขาเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลฉู่
ทหารราชองครักษ์ได้พยายามหยุดซูอัน แต่เมื่อทุกคนนึกขึ้นได้ว่าหลิวเหย่าได้ยอมวางมือไปแล้ว พวกเขาก็ตกอยู่ในความสับสนว่าจะทำอย่างไรต่อไป
โชคดีที่ซูอันเลือกทหารเพียงยี่สิบสามสิบคนเข้าไปภายใน ส่วนคนอื่น ๆ ถูกทิ้งไว้นอกประตู
เซี่ยอี้ที่คอยจับตาดูอยู่ ในที่สุดก็หายใจออกอย่างโล่งอก เขาดีใจที่ซูอันรู้ว่าเมื่อใดควรหยุดและไม่แสดงท่าทีเป็นศัตรูต่อกองทหารราชองครักษ์อย่างเปิดเผย
ฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรูตกใจและดีใจมากเมื่อเห็นซูอันมาพร้อมกับกองทัพผ้าคลุมสีชาด ส่วนฉู่อวี้เฉิงและฉู่ฮงไฉก็รีบไปเยี่ยมสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาหลังจากที่แสดงความเคารพต่อฉู่จงเทียนแล้ว
ฉินหว่านหรูรู้สึกยินดีมาก “อาซู เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลย!”
“ท่านพ่อตา ท่านแม่ยาย ไม่เป็นไรแล้ว กองทัพผ้าคลุมสีชาดตรึงกำลังอยู่ข้างนอก ข้ามั่นใจว่าช่วงนี้จะไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาให้คฤหาสน์ตระกูลฉู่ไปอีกพักใหญ่!” ซูอันยิ้ม
ฉู่จงเทียนยังคงกังวล “แต่หนี้ของกรรมาธิการเกลือยังคงอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทรมานข้าเพื่อเค้นคำสารภาพ แต่หากพวกเขาดำเนินการสอบสวนต่อไปเราจะต้องลำบากแน่!”
ฉินหว่านหรูบ่น “จะกลัวอะไรกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะร่อนเร่ไปตั้งรกรากในถิ่นทุรกันดาร ค่ายเมฆาทมิฬ และกลุ่มวาฬเป็นตัวอย่างที่ดี ข้าไม่เชื่อว่าในอนาคตเราจะด้อยกว่าคนเหล่านั้นแน่นอน!”
ผู้หญิงคนนี้ช่างมีอารมณ์หุนหันจริง ๆ ขอบคุณสวรรค์ที่ชูเหยียนไม่เหมือนนาง
ซูอันปาดเหงื่อออกจากคิ้วแล้วพูดว่า “อย่ากังวลนักเลย มันไม่ร้ายแรงอย่างที่ท่านคิดหรอก สมุดบัญชีที่ถูกขโมยไปไม่ใช่เล่มจริง”
ฉินหว่านหรูและฉู่จงเทียนมองมาที่เขาอย่างงุนงง…
ซูอันอธิบายเรื่องที่ฉู่ชูเหยียนทำสมุดบัญชีสองเล่มให้พวกเขาฟัง
ฉู่จงเทียนหัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ชูเหยียนของข้าฉลาดจริง ๆ ฮ่า ๆ!”
ฉินหว่านหรูก็ยิ้มกว้าง ในที่สุดความกังวลใจและความรู้สึกผิดที่เกาะกินใจนางก็ถูกปลดปลง อย่างไรก็ตามเมื่อนางนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ นางก็อดไม่ได้ที่จะบ่นอย่างฉุนเฉียว
“เด็กคนนั้น! นางกล้าดียังไงมาหลอกลวงข้า กลับมาเมื่อไหร่ข้าจะลงโทษนาง!”