ตอนแรกมันช่างเป็นการซุ่มซ่อนที่สมบูรณ์แบบ และไม่มีใครมาหาตัวเขาเจอได้ เขาไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่ามที่จะทำให้เขาโดนจับได้ แต่กลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งค่ายกำลังโดนถล่มแทน…
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่านี่เป็นโชคชะตาหรือเปล่านะ…
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋อุตส่าห์เตรียมเต็นท์แพงๆ ให้เขา เธอไปซื้อขนมมาให้เขาด้วย แต่ว่าขนมพวกนั้นก็อยู่ในเต็นท์เหมือนกัน เขาไม่มีเวลากลับเข้าไปเอาออกมา เขาจะต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดก่อน และพวกผู้บำเพ็ญลับก็วิ่งเร็วได้ไม่เท่าเขาหรอก
ผู้บำเพ็ญลับพวกนี้ไม่ได้คาดคิดเลยว่าค่ายหลังพยัคฆ์จะโดนโจมตีได้อย่างร้ายกาจ หลายๆ คนกำลังเมาเหล้าอยู่และไม่รู้ว่าระลอกทองแดงยกทัพมาถึงนี่แล้วด้วยซ้ำ บางคนถูกฆ่าตายไปก่อนจะดึงกางเกงขึ้นมาใส่อีกต่างหาก
นี่เป็นสงครามที่แท้จริง และจะไม่มีการเมตตาอะไรทั้งนั้น
หลี่ว์ซู่วิ่งเข้าไปในฝูงชน ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนเป็นภาษาอังกฤษ “รีบหนีกลับไปที่ท่าเรืออาร์เตม!”
หลี่ว์ซู่เข้าใจสถานการณ์แล้ว เมื่อทหารชุดเกราะทองแดงปรากฏตัว พวกผู้บำเพ็ญลับก็ไม่มีทางต้านได้ และเหตุการณ์นี้จะเป็นการสังหารหมู่
ไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญหรอก ขนาดผู้บำเพ็ญชั้นยอดทั้งหลายจากองค์กรใหญ่ๆ ก็ต้องเจอศึกหนักหน่อยในครั้งนี้ เพราะระลอกทองแดงนี้ได้เปรียบในเรื่องกำลังคนมากกว่า
ค่ายหลังพยัคฆ์นี่จบเห่แล้ว จบไปตั้งแต่ตอนที่ทหารชุดเกราะทองแดงมาถึง หลี่ว์ซู่อยากจะส่งคนพวกนี้ไปที่ท่าเรืออาร์เตม เขาจะได้หลบหนีไปกับผู้คนพวกนี้
หลี่ว์ซู่ไม่ได้ไปที่ท่าเรืออาร์เตมเพราะองค์กรใหญ่ๆ ได้สร้างป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่นั่น เขาจะไม่ได้รับข้อมูลจากเครือข่ายฟ้าดินอีกเมื่อเขาไปถึงที่ป้อมปราการนั้นแล้ว และถ้าเขาไม่ระวังแล้วเขาอาจจะโดนจับได้ก็ได้
แต่สวรรค์ได้ให้โอกาสเขาไปที่นั่นแล้ว และตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขาในการปลอมตัวอยู่ที่ท่าเรืออาร์เตม!
แต่หลี่ว์ซู่ยังคงกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับเต็นท์ของเขา เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนชี้มาที่เขา เสียงต่ำๆ และอู้อี้จากภายในชุดเกราะฟังดูคุ้นเคยแปลกๆ แต่เขาจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของใคร
หลี่ว์ซู่ทนขายหน้าไม่ได้ แต่ในเครือข่ายฟ้าดินก็มีคนตั้งมากมาย เขาจะเจอคนคนนั้นได้อย่างไร หลี่ว์ซู่เป็นคนไปเอาเกราะทองแดงมาเองนะ และเขาก็เป็นคนจัดตั้งกลุ่มทหารด้วย ใครกันจะกล้ามาโจมตีเขา!
หลี่ว์ซู่หันไปดูทหารชุดเกราะทองแดงคนนั้นที่กำลังไล่ล่าเขา ทหารคนนั้นตะโกนออกมา “เฉินจู่อานอยู่นี่แล้ว ใครกล้าเข้ามาสู้ฉันก็มา!”
หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมาเสียงเย็น “ฮ่าๆ ”
แกตายแน่เฉินจู่อาน
ทันใดนั้นเฉินจู่อานผู้ยิ่งใหญ่ก็รู้สึกหนาวไปจนถึงกระดูกไขสันหลัง เขาพูดออกมาเบาๆ “ทำไมฉันถึงรู้สึกขึ้นมานะ…”
เฉิงชิวเฉี่ยวที่อยู่ข้างๆ เขาพูดด้วยเสียงต่ำและอู้อี้ว่า “ดูเต็นท์ที่อยู่ใต้เท้าของแกสิ ไม่ดูคุ้นๆ เหมือนของที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ซื้อให้พี่ซู่หรอกเหรอ”
[ได้รับแต้มจากเฉินจู่อาน +999!]
“ซวยแล้ว” เฉินจู่อานมองไปรอบๆ เพื่อหาหลี่ว์ซู่ มิน่าล่ะเขาถึงรู้สึกว่าผู้ชายใส่ฮู้ดคนนั้นมีท่าทางแปลกๆ “ทำไงดีอ่ะ ฉันลนไปหมดแล้วเนี่ย…”
“ไม่เป็นไรหรอก นายก็รู้นี่ว่าพี่ซู่เป็นยังไง” เฉิงชิวเฉี่ยวพยายามปลอบเขา
“ก็เพราะรู้ว่าพี่เขาเป็นคนยังไงนี่แหละ ถึงได้ลนขนาดนี้…”
สมาชิกเครือข่ายฟ้าหลายคนดูสงสัย เพราะหลังจากนั้นเฉินจู่อานก็ไม่ได้ตะโกน ‘เฉินจู่อานอยู่นี่แล้ว ใครกล้าเข้ามาสู้ฉันก็มา!’ อีกแล้ว มันฟังดูยิ่งใหญ่มากเลยนะ ทำไมเขาถึงไม่ตะโกนต่อกันล่ะ…
ระลอกทองแดงเริ่มจะฆ่าทุกคนในค่ายทิ้ง แค่โจมตีไปครั้งเดียวเหล่าผู้บำเพ็ญลับก็รู้กันแล้วว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาและเครือข่ายฟ้าดินแตกต่างกันขนาดไหน อย่างกับอยู่คนละโลกอย่างไรอย่างนั้น
หลายคนคิดว่าเครือข่ายฟ้าดินกำลังวางแผนที่จะกวาดล้างกลุ่มรบในภูเขา อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าเครือข่ายฟ้าดินจะมาทำลายค่ายหลังพยัคฆ์ตั้งแต่เริ่ม
ผู้บำเพ็ญลับหนีไปอย่างเร่งรีบ พวกเขาไม่สามารถจัดกองกำลังป้องกันสู้กับองค์กรขนาดใหญ่นี้ได้ สมาชิกจากองค์กรใหญ่ๆ ที่อยู่ท่ามกลางผู้บำเพ็ญลับพยายามที่จะบังคับให้ผู้บำเพ็ญลับกลับไปสู้กับศัตรู พวกเขาบอกว่ากองทัพของผู้บำเพ็ญลับมีกันตั้งแสนคน และเครือข่ายฟ้าดินมีแค่สองหมื่นเท่านั้น
แต่เมื่อกองทัพทหารชุดเกราะทองแดงปรากฏตัว คำโกหกที่องค์กรใหญ่ๆ พร่ำบอกพวกเขาก็แดงขึ้นออกมา พวกผู้บำเพ็ญลับนั้นอยู่ระดับค่อนข้างต่ำเหมือนกับหลี่เตี่ยนและหวังเจ๋อ แต่หลี่เตี่ยนและหวังเจ๋อไม่ใช่พวกคนโง่ พวกเขาหาประโยชน์เข้าตัวก็จริง แต่พวกเขาจะไม่ทิ้งให้คนอื่นอยู่ในอันตราย
การอยู่ในสนามรบที่ใกล้จะพ่ายแพ้ก็เหมือนอยู่ในภูเขาที่กำลังถล่ม มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้เมื่อกำลังเผชิญกับความพ่ายแพ้
หลี่ว์ซู่มองฝูงชนที่กำลังหนีตายไปทางตะวันออก ผู้บำเพ็ญลับมีมากเกินไป ซึ่งก็หมายความว่าเครือข่ายฟ้าดินฆ่าพวกเขาไม่หมดแน่
หลี่ว์ซู่กำลังคิดคำนวณอย่างรวดเร็วในหัว ผู้บำเพ็ญลับประมาณสี่หมื่นถึงห้าหมื่นคนจากทั้งหมดหนึ่งแสนคนจะต้องตายที่นี่อย่างแน่นอน ถ้าเครือข่ายฟ้าดินไล่ล่าพวกเขาไปจนถึงเส้นเขตแดน ก็จะมีผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่หนีไปที่ท่าเรืออาร์เตมได้
หลี่ว์ซู่ไม่คิดว่าการที่ระลอกทองแดงจะไล่ล่าและฆ่าผู้บำเพ็ญลับไปเรื่อยๆ จะเป็นเรื่องดี เพราะที่เส้นเขตแดนมียอดฝีมือระดับ A คอยจับตาดูอยู่ ถ้าพวกเขาตามผู้บำเพ็ญลับกันต่อไปก็อาจจะติดกับดักได้
เขาหันไปหาสมาชิกขององค์กรใหญ่ๆ ที่อยู๋ท่ามกลางผู้บำเพ็ญลับ หลี่ว์ซู่จับตามองพวกเขาอยู่นานแล้ว
คนพวกนี้กำลังพยายามบอกให้ผู้บำเพ็ญลับเลิกวิ่งหนีและสู้กลับ หลี่ว์ซู่วิ่งฝ่าฝูงชนไปอย่างรวดเร็ว และกระบี่เฉวียอินก็บินตามเขามา มันพุ่งเข้าใส่ร่างของสมาชิกหันไปหาสมาชิกขององค์กรใหญ่ๆ พวกนั้น
ไม่มีใครสังเกตว่ามีคนนอนตายอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายนี้
เส้นของกระบี่เฉวียอินนั้นเล็กมาก เล็กจนกระทั่งเลือดค่อยๆ ทะลักออกมาจากปาก จมูก และบาดแผลของสมาชิกองค์กรใหญ่ๆ หลังจากเวลาผ่านไปนาน
พอหลี่ว์ซู่ฆ่าคนได้สำเร็จแล้ว เขาก็ปลอมตัวอยู่ท่ามกลางผู้บำเพ็ญลับและวิ่งหนีต่อไป เขาวิ่งได้เร็วกว่าผู้บำเพ็ญลับมาก ระลอกทองแดงยังคงฆ่าผู้บำเพ็ญลับไม่หยุด หลายคนใช้กระบี่ยาวจนมันหักคามือ และพวกเขาต้องสู้โดยใช้มือเปล่ากันแทน
ระลอกทองแดงสู้อย่างไม่หยุดหย่อนเป็นวันแล้ว ทุกคนเหนื่อยล้ามาก แต่ชัยชนะอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น ถึงจะเป็นเพียงแค่ชัยชนะโดยชั่วคราวก็ตาม
ตราบใดที่พวกเขาฆ่าผู้บุกรุกในภูเขาจั่งไป๋ได้ก็พอแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะตายพวกเขาก็ไม่สน!
ทั้งค่ายหลังพยัคฆ์เต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน บนพื้นกลายเป็นโคลนสีเลือดเหนอะหนะ ผู้บำเพ็ญลับกรีดร้องขณะที่กำลังวิ่งหนี หลี่ว์ซู่เห็นแล้วก็นึกว่าตัวเองอยู่ในนรก และทำให้เขารู้สึกอ่อนไหวขึ้นมา
เขาชอบภาพที่เห็นตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก บรรยากาศนี้เต็มไปด้วยแต้มอารมณ์ที่เขาชอบหนักหนา
ไม่สิ เขาส่ายหัวและวิ่งต่อไป
ทันใดนั้นก็มีคนมาจับเสื้อหลี่ว์ซู่ไว้ หลี่ว์ซู่หันไปมองข้างหลัง และเตรียมง้างกระบี่เฉวียอินแล้ว
ผู้บำเพ็ญลับผู้หญิงเป็นคนหยุดเขา เธอถึงกับแต่งหน้ามาด้วย หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจว่าอยู่ในสงครามจะแต่งหน้าไปทำไม แต่เขาคิดว่าคงจะมีคนธรรมดาไล่ตามเธอด้วยเช่นกัน
“คุณวิ่งเร็วที่สุดในหมู่ผู้บำเพ็ญเลยนะคะ ถ้าคุณเอาฉันไปด้วย ฉันก็จะยอมเป็นของคุณค่ะ รับรองได้เลยว่าฉันบริสุทธิ์มากและยังไม่มีชายใดแตะต้องมาก่อน” ผู้บำเพ็ญลับผู้หญิงคนนั้นเอ่ย