บทที่ 722 ข้อตกลง
บทที่ 722 ข้อตกลง
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ผู้บ่มเพาะธาตุน้ำแข็งโกรธมาก เขากางมือออก และลูกธนูน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นข้างหลังเขา
ชิวฮัวเล่ยตื่นตระหนก นางร้องออกมาอย่างรวดเร็ว “ระวัง!”
ผู้บ่มเพาะธาตุน้ำแข็งที่โกรธจัดไม่ได้สนใจนาง ลูกธนูน้ำแข็งพุ่งตรงไปที่ซูอัน
“ฮึ่ม ทักษะการเคลื่อนไหวของเจ้าอาจดูน่ากลัว แต่การโจมตีของข้าครอบคลุมทุกทิศทาง! มาดูกันว่าเจ้าจะรอดจากลูกธนูพวกนี้ได้ยังไง?!”
นั่นไม่ใช่ทั้งหมด เขาเลือกที่จะยิงลูกธนูน้ำแข็งไปทางที่ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานยืนอยู่
หากซูอันหลบเลี่ยง เพ่ยเหมียนหมานจะต้องรับการโจมตีจากเขาเต็ม ๆ
ซูอันเข้าใจเรื่องนี้อย่างรวดเร็วเช่นกัน การเผชิญหน้ากับการโจมตีครั้งนี้ช่างลำบากจริง ๆ เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และถึงแม้จะทำได้ เขาก็ไม่อาจเลือกที่จะทำเช่นนั้นได้
พูดตามตรง สิ่งหนึ่งที่เขาขาดคือวิธีจัดการกับการโจมตีแบบครอบคลุมพื้นที่ เขาต้องการใช้ศพของมังกร เพราะไม่มีทางที่ลูกธนูน้ำแข็งเหล่านี้จะเจาะเกล็ดของมังกรได้
แต่ เนื่องจากความตายของผู้เฒ่ามังกรที่ปรากฏตัวก่อนหน้านี้ เขาก็รู้ว่าตัวเองอาจตกเป็นเป้าหมายของเผ่ามังกรได้หากเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป
ยิ่งไปกว่านั้นอุปกรณ์มิติเก็บของของเขาก็จะถูกเปิดเผยเช่นกัน เขารู้ได้จากปฏิกิริยาของผู้ที่ได้เห็นมันว่าอุปกรณ์เก็บของเชิงมิตินั้นเทียบได้กับวิชาวัฏจักรหงส์อมตะ
มีคนมากพอแล้วที่ต้องการไล่ล่าเขา เขาไม่ต้องการให้ตัวเลขเพิ่มขึ้นอีกหากไม่จำเป็นจริง ๆ
ขณะที่เขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไร จู่ ๆ โคมก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ปล่อยแสงสีเหลืองจาง ๆ เมื่อถูกอาบไล้ด้วยแสงสีเหลืองของโคมลูกธนูน้ำแข็งดูเหมือนจะหยุดนิ่ง
ได้กลิ่นหอมหวานลอยมา ชิวฮัวเล่ยก็พุ่งเข้ามาและดึงตัวซูอันออกไป
ข้างหลังเขา เพ่ยเหมียนหมานตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้นและหลบเลี่ยงเช่นกัน
เมื่อพวกเขาออกจากพื้นที่สังหารแล้ว ลูกธนูน้ำแข็งก็ดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติ พวกมันพุ่งปักลงไปบนพื้นเป็นบริเวณกว้าง
ซูอันพูดไม่ออก ไม่ว่าร่างกายของชายหนุ่มจะแข็งแกร่งเพียงใด ลูกธนูน้ำแข็งเหล่านี้ก็อาจทำให้เขากลายเป็นเม่นได้!
“บุตรีสวรรค์!” ผู้บ่มเพาะธาตุน้ำแข็งตกตะลึงเมื่อเขาเห็นชิวฮัวเล่ยช่วยเหลือซูอัน
ชิวฮัวเล่ยยกมือขึ้นหยุดเขาไม่ให้พูดต่อ จากนั้นนางก็หันไปมองซูอัน “เจ้าเป็นอะไรไหม?”
สมาชิกคนอื่น ๆ ของแปดเดียวดายที่กำลังจะเข้าโจมตี เมื่อพวกเขาเห็นบุตรีสวรรค์แห่งสำนักของพวกเขาเองยืนอยู่ข้างซูอันเช่นนี้ พวกเขาก็ทำได้แต่ยั้งการโจมตีเอาไว้ก่อน
กลิ่นหอมของนางทำให้จิตใจของซูอันสดชื่นในทันที “ข้าจะเป็นอะไรได้ในเมื่อเจ้าช่วยข้าขนาดนี้? แต่เจ้าไม่กลัวหรือว่าข้าจะจับเจ้าเป็นตัวประกันในสถานการณ์เช่นนี้เหรอ?”
ชิวฮัวเล่ยยิ้ม “เจ้าจะทำอย่างนั้นจริงเหรอ?”
เขาอยู่ใกล้ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบของนางมากในขณะนี้ ผิวบอบบาง ดวงตาที่สดใสนี้ …มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ชายคนไหน ๆ คลั่งไคล้
นางเป็นปีศาจจิ้งจอกจริง ๆ! “ข้าเป็นคนที่รู้จักบุญคุณเสมอมา เจ้าช่วยข้าก่อนหน้านี้ ข้าจะตอบแทนบุญคุณของเจ้าด้วยความหยาบคายได้ยังไง?”
ชิวฮัวเล่ยยิ้ม “ดูเหมือนว่าข้าจะยังมองคนไม่ผิดไป”
ซูอันมองไปที่โคมไฟในมือของนาง “อาวุธของเจ้าค่อนข้างดี มันคืออะไร?”
ราวกับเวลาได้หยุดนิ่งในชั่วขณะนั้น โคมนี้ค่อนข้างพิเศษจริง ๆ
“นี่เป็นความลับ ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดว่า ‘ความลับทำให้ผู้หญิงยิ่งมีเสน่ห์’”
ชิวฮัวเล่ยขยิบตาอย่างขี้เล่น
ซูอันตกตะลึง เขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะมีไหวพริบฉับไวขนาดย้อนคำพูดเขากลับคืนได้
เสียงไม่พอใจของเพ่ยเหมียนหมานขัดจังหวะในขณะนี้ “คนแซ่ซู! เจ้าเสร็จหรือยัง? เราจะตายกันหมดอยู่แล้ว แต่เจ้ากลับใส่ใจอยู่กับการจีบผู้หญิงงั้นเหรอ?”
ซูอันเบะปากอย่างเหนื่อยใจ
ชิวฮัวเล่ยยิ้ม “ดูเหมือนว่าจะมีคนอิจฉา กลับมาที่เรื่องหลักกันก่อนดีกว่า”
การแสดงออกของนางเริ่มจริงจัง “เจ้าควรยอมแพ้ได้แล้ว”
“ยอมแพ้?” ซูอันพ่นลมหายใจ “คำนั้นไม่มีอยู่ในสมองข้า”
ชิวฮัวเล่ยไม่ได้อารมณ์เสียแต่พูดต่อ “อย่ารีบปฏิเสธ ดูสถานการณ์ด้วยตัวเจ้าเอง แม้ว่าจะสู้กันต่อไป เจ้าก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะเราได้ หรือต่อให้เจ้าเปิดเผยไพ่ลับของเจ้าออกมา คนเหล่านี้ก็ไม่มีทางที่จะหนีรอดไปเหมือนอย่างเจ้าได้”
ซูอันมองเห็นความเลวร้ายของสถานการณ์ได้เช่นกัน ระดับการบ่มเพาะของสมาชิกของแปดเดียวดายส่วนใหญ่อยู่ที่ขั้นสูงสุดของระดับหก และบางคนก็ถึงระดับเจ็ดด้วยซ้ำ
เพ่ยเหมียนหมานอยู่ในระดับหกเท่านั้น ในขณะที่เจิ้งตานอยู่ที่ขั้นสูงสุดของระดับห้า อีกทั้งพวกนางยังได้รับบาดเจ็บในการต่อสู้ครั้งก่อน ซึ่งทำให้ยากที่จะต่อสู้กับผู้บ่มเพาะระดับสูงเหล่านี้ต่อไป
ถ้าไม่ใช่เพราะเปลวไฟพิเศษของเพ่ยเหมียนหมาน ทั้งสองคนคงจะถูกจัดการไปนานแล้ว
พวกเขามีตัวเลือกไม่มากนัก
สำหรับตระกูลซ่าง พวกเขาอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่า นอกเหนือจากซ่างหงที่บาดเจ็บสาหัสแล้ว เมื่อพูดถึงซ่างเชียนและซ่างเฉี่ยน ความแข็งแกร่งของพวกเขานับได้ว่าย่ำแย่กว่าของเพ่ยเหมียนหมานและเจิ้งตานซะอีก
เมื่อภาระตกมาที่เขา ซูอันก็รู้ว่าตัวเองแทบจะไม่สามารถต้านทานทั้งผู้บ่มเพาะธาตุโลหะ ลม และน้ำแข็ง นับประสาอะไรกับการหาโอกาสที่จะตอบโต้
เฮ้อ… ถ้าข้ารู้ว่าสิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้น ข้าจะขอให้อวิ๋นอวี้ชิงอยู่ต่ออีกหน่อย สถานการณ์จะง่ายกว่ามากถ้านางยังอยู่ที่นี่
แต่เขาก็ได้ขจัดความคิดนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว อวิ๋นอวี้ชิงเคยช่วยชีวิตเขามาแล้วครั้งหนึ่ง เขาควรจะพึ่งพานางไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ?
เมื่อสังเกตเห็นความเงียบของเขา ชิวฮัวเล่ยจึงกล่าวต่อว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการยอมแพ้มากเกินไป เราจะไม่ทำร้ายเจ้า เจ้าน่าจะมองออกอยู่แล้วว่าที่ผ่านมาเราออมมือให้พวกเจ้าและไม่ได้หวังให้พวกเจ้าตกตายเหมือนกลุ่มอื่น ๆ ที่ตามล่าพวกเจ้า”
ซูอันพ่นลมหายใจ “ไม่ใช่เพียงเพราะพวกเจ้าต้องการให้ข้ามอบวิชาวัฏจักรหงส์อมตะให้กับเจ้าสำนักของเจ้าไม่ใช่หรือไง?”
ชิวฮัวเล่ยยิ้ม “ข้าจะไม่ปฏิเสธ ทุกคนในโลกกำลังมองหาเจ้า ไม่ใช่แค่เจ้าสำนักของเรา แต่สำนักศักดิ์สิทธิ์ของเรานั้นแตกต่างจากขั้วอำนาจอื่น ผู้อื่นจะทรมานเจ้าเพื่อรีดเอาวิชาวัฏจักรหงส์อมตะอย่างแน่นอน จากนั้นจึงฆ่าเจ้าปิดปาก แต่เจ้าสำนักของเราให้ความสำคัญกับผู้ที่มีพรสวรรค์อยู่เสมอ เขาต้องการรวบรวมคนที่มีใจเดียวกันมาอยู่เคียงข้าง หากเจ้าพิสูจน์ตัวเองว่ามีความสามารถ เจ้าจะมีอนาคตที่สดใสในสำนักของเราอย่างแน่นอน”
ซูอันขมวดคิ้ว “แต่ข้ายังต้องมอบวิชาวัฏจักรหงส์อมตะแก่เจ้าสำนักของเจ้าก่อน”
ชิวฮัวเล่ยมองดูเขาอย่างสงบแล้วพูดว่า “อาซู เจ้าต้องเข้าใจว่าการถือสิ่งของล้ำค่าจะทำให้เจ้ามีปัญหาเว้นแต่เจ้าจะมีพลังมากพอที่จะจัดการกับคนทั้งโลก แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เจ้าไม่มีระดับความแข็งแกร่งที่เพียงพอ เจ้าสำนักของเราสามารถปกป้องและรับประกันการอยู่รอดของเจ้า นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ข้าสามารถให้เจ้าได้”