———-
บทที่ 773 โล่บินมันแสนซับซ้อน
ซูอันตกตะลึง เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริงเหรอ?
เรื่องตลกเหล่านั้นกลายเป็นวลีที่ใช้กันทั่วไป แม้กระทั่งในยุคปัจจุบันของเขาซึ่งก็คือหลายพันปีต่อมา ทุกคนยังเข้าใจว่าคนของแคว้นซ่งนั้นโง่เง่าและด้อยกว่าคนของแคว้นอื่น ๆ…
ช่างโหดร้ายจริง ๆ
“อาซู อาซู?” เสียงของเพ่ยเหมียนหมานดึงสติของซูอันเช่นเดียวกับที่นางดึงเสื้อผ้าของเขา
ซูอันตั้งสติ “อะไร? มีอะไรเกิดขึ้น?” เขาถามนาง
เพ่ยเหมียนหมานดูกังวล “เจ้าทำตัวค่อนข้างแปลกมาระยะหนึ่งแล้ว เจ้าดูภาพจิตรกรรมฝาผนังและพึมพำกับตัวเอง ข้าคิดว่าเจ้าคงได้รับผลกระทบจากพลังบางอย่าง! เจ้ายังสบายดีอยู่ไหม? ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม?”
ตอนนี้ซูอันตระหนักดีว่านางมองไม่เห็นหมี่ลี่เลย เขาจึงรีบทำให้นางมั่นใจ “ข้าไม่ได้เป็นอะไร ข้ากำลังพยายามคิดเกี่ยวกับภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้ว่าแต่ละภาพกำลังพยายามบอกอะไรแก่เรา และกำลังคิดนั่นคิดนี่อีกเล็กน้อย” เขาอธิบาย
เพ่ยเหมียนหมานอยากรู้อยากเห็น “แล้วเจ้าเข้าใจความหมายของมันหรือยัง?”
“แน่นอน!” ซูอันอธิบายทุกอย่างที่เขาเพิ่งได้ยินจากหมี่ลี่คร่าว ๆ และทำการปรับเปลี่ยนบางอย่างเพื่อให้นางเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ดวงตาคู่งามของเพ่ยเหมียนหมานเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อนางได้ฟังสิ่งที่เขาพูด นางจึงคว้าแขนของเขา “อาซู เจ้านี่เป็นผู้รอบรู้อย่างแท้จริง! แม้แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยโบราณแบบนี้เจ้าก็ยังรู้! ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะทำให้เจ้าเป็นของข้า แม้ว่าชูเหยียนจะไม่เห็นด้วยก็ตาม!”
ซูอันฟังแล้วพูดไม่ออก…
ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมและของมือนางที่กำลังเกาะกุมแขนของเขาทำให้เขารู้สึกท่วมท้น ความปีติยินดีเริ่มเบ่งบานไปทั่วใบหน้า
“ฮึ่ม!” เสียงพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดดังขึ้นข้างหูของเขา
—
ท่านยั่วยุหมี่ลี่สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 998!
—
ใช้ความรู้ของข้าอวดต่อหน้าผู้หญิงอีกแล้ว! ความไร้ยางอายของไอ้เด็กนี่มันไม่มีที่สิ้นสุดเลยหรืออย่างไรกัน??!!
เมื่อเห็นเพ่ยเหมียนหมานจับแขนซูอันอย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกับการแสดงออกที่โง่เขลาบนใบหน้าของซูอัน เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หมี่ลี่รู้สึกอารมณ์ขึ้น ร่างวิญญาณของนางหายไปในทันที และนางก็ไม่ปรากฏกายขึ้นอีกไม่ว่าซูอันจะเรียกนางว่าอย่างไร
ไม่นะ…ครั้งนี้ข้าทำให้พี่หญิงใหญ่โกรธจริง ๆ เหรอ?
เขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พี่หญิงใหญ่ ท่านอิจฉาเหมียนหมานเหรอ?”
“เฮอะ! อิจฉาก้นข้าสิ!” หมี่ลี่ได้ตอบกลับในที่สุด
ซูอันหัวเราะอย่างเต็มที่ “ข้ารู้ว่าการอยู่ข้างกายผู้ชายที่หล่อเหลาและโดดเด่นอย่างข้านาน ๆ มันย่อมส่งผลให้ท่านเริ่มมีความรู้สึกกับข้า”
หมี่ลี่แทบไม่รู้จะเอาหน้าของนางไปซุกไว้ที่ไหน
นางไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงหน้าด้านขนาดนี้ ไอ้เด็กนี่คิดว่านางชอบเขาจริง ๆ เหรอ?!!
นางเป็นจักรพรรดินีของอาณาจักร! นางจะชอบไอ้เด็กเหลือขอจากข้างถนนได้อย่างไร?
ถ้าไม่ใช่เพราะวิญญาณของทั้งสองถูกผูกไว้ด้วยกัน นางคงจะฆ่าเขาไปแล้วด้วยการตบหน้าเพียงครั้งเดียว
—
ท่านยั่วยุหมี่ลี่สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 33…33…33…
—
ซูอันขอโทษอย่างรวดเร็วเมื่อตระหนักว่าครั้งนี้ตัวเองทำให้นางโกรธจริง ๆ น่าเสียดายที่หมี่ลี่ไม่ได้ตอบอะไรอีกเลยไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม
ซูอันเคยชินกับท่าทีเช่นนี้ของหมี่ลี่เช่นกัน
เฮ้อ…การมีพี่สาวที่เอาแต่ใจตัวเองแบบนี้นี่มันช่างยากลำบากจริง ๆ
เขาจับมือเพ่ยเหมียนหมานขณะที่ยังคงเดินมุ่งหน้าลึกเข้าไปข้างใน ทันใดนั้น สัมผัสที่หกของเขาทำให้เขาตื่นตัว เขารีบผลักเพ่ยเหมียนหมานออกไปให้พ้นทาง และกระโจนหลีกไปในทิศทางตรงกันข้าม
ลำแสงที่เย็นยะเยือกพุ่งลงมาจากด้านบนแล้วกรีดลงบนพื้นที่ทั้งสองคนยืนอยู่เมื่อเสี้ยววินาทีที่แล้ว
“อาซู!” เพ่ยเหมียนหมานตอบสนองเช่นกัน เปลวไฟสีดำล้อมรอบนางขณะที่นางตั้งท่าต่อสู้ นางมองเห็นผู้โจมตี…และตัวแข็งทื่อ “นั่นมัน…”
โครงกระดูกยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา มีประกายระยิบระยับที่คลุมเครือและแสงสีแดงจาง ๆ วูบวาบอยู่ภายในเบ้าตา มันถือหอกยาวอยู่ในมือ โครงกระดูกส่งกลิ่นอายอันทรงพลังและน่ากลัวออกมา
ซูอันกลืนน้ำลาย “เจ้านี่ดูคุ้น ๆ นะว่าไหม?”
เพ่ยเหมียนหมานตอบว่า “ข้าคิดว่ามันเป็นนักรบโครงกระดูกตัวเดียวกับที่คุกเข่าอยู่ข้างประตูหิน…”
นักรบโครงกระดูกเคลื่อนไหวก่อนที่นางจะพูดจบประโยค มันกระโดดขึ้นไปในอากาศและตีลังกาไปด้านข้าง จากนั้นแทงหอกของมันไปที่ซูอัน
เห็นได้ชัดว่ามันตายแล้ว แต่ก็ยังมีสัญชาตญาณเพียงพอที่จะรู้ได้ว่าซูอันเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยที่มันตั้งใจจะกำจัดซูอันก่อนเป็นอันดับแรก
การโจมตีที่ทรงพลังและสง่างามของมัน ทำให้มันดูเหมือนยมฑูตแห่งความตายที่ถือเคียว
ซูอันอาจชื่นชมหากโครงกระดูกไม่ได้เล็งเป้ามาที่เขา
แต่ความรู้สึกกลัวที่สะสมอยู่ภายในตัวเขาทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าประมาท เขาชักกระบี่ไท่เอ๋อร์เข้าหาคู่ต่อสู้และพุ่งเข้าใส่ที่ส่วนหัวของมันโดยไม่สนใจที่จะหลบเลี่ยง “มีดีอะไรก็ใส่มาเลย!” เขาคำราม
ตูม!
เสียงดังก้องไปทั่วห้องโถง ร่างหนึ่งบินขึ้นไปในอากาศและกระแทกเข้ากับกำแพงทำให้อิฐหลายก้อนพังทลาย
ซูอันยันตัวขึ้นจากพื้น เขาถ่มเลือดออกจากปาก “เออ ก็รุนแรงดี!”
เพ่ยเหมียนหมานหัวเราะ แม้แต่วิธีที่ผู้ชายคนนี้ต่อสู้ก็ตลกดี นางเรียกเปลวไฟสีดำของนางอย่างรวดเร็วและรีบเข้าไปช่วยเขา
เพ่ยเหมียนหมานคิดว่าคู่ต่อสู้ของนางเป็นประเภทที่ไม่ต่างจากพวกผีดิบที่ยอมแพ้ต่อเปลวไฟ ด้วยเหตุผลนั้น นางจึงเรียกไฟสีดำออกมาและส่งมันพวยพุ่งเข้าใส่นักรบโครงกระดูก
นักรบโครงกระดูกสัมผัสได้ถึงอันตราย มันหมุนตัวพร้อมกับดึงโล่กลมออกจากเอว โล่ดูขนาดเท่าฝ่ามือในตอนแรก แต่เมื่อมันถูกหยิบขึ้นมาใช้ จู่ ๆ ตัวโล่ก็หมุนควงก่อนที่มันจะขยายขนาดใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัวอย่างน่าอัศจรรย์ และโล่นั้นยังสามารถป้องกันเปลวไฟที่พุ่งเข้าหามันได้ทั้งหมด
เพ่ยเหมียนหมานตกตะลึง นางกำลังจะสั่งให้เปลวไฟสีดำเปลี่ยนทิศทางเป็นแนวโค้งหลบโล่ แต่ด้วยการเขย่าแขนของนักรบโครงกระดูก ใบมีดที่แหลมคมมากมายก็โผล่ขึ้นมารอบ ๆ ขอบของโล่
แม้แต่ดวงตาของซูอันก็เบิกกว้างเมื่อเห็นสิ่งนี้
ในสมัยอินซาง วิทยาการทั้งหลายสิ้นสุดอยู่ที่ทองแดงเท่านั้นไม่ใช่เหรอ? มันจะไปมีของที่ดูล้ำสมัยเช่นนี้ได้อย่างไร?
นักรบโครงกระดูกเขวี้ยงโล่หมุนฝ่าอากาศพุ่งตรงไปที่เพ่ยเหมียนหมานด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่งยวด เสียงตัดผ่านอากาศดังก้องซึ่งทำให้รู้ได้ได้ชัดเจนว่ามันมีพลังมากพอที่จะตัดผ่านวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตแบบใดก็ได้ให้ขาดเป็นสองส่วน
เพ่ยเหมียนหมานรีบกระโดดพร้อมกับม้วนตัวและบิดร่างกายของนางให้เฉไปด้านข้าง ร่างกายของนางโค้งงออย่างสง่างามราวกับกิ่งไม้ที่มีความยืดหยุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วโล่ก็บินหวือผ่านนางไป
อย่างไรก็ตาม โล่ทรงกลมนี้ราวกับมีดวงตา หลังจากที่มันบินผ่านเพ่ยเหมียนหมานไป มันก็บินหมุนกลับมาอีกรอบ และพุ่งเข้ามาหานางจากทิศทางตรงกันข้าม
โชคดีที่เพ่ยเหมียนหมานเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว นางกระโดดตีลังกากลับหลังโดยแทบไม่หันกลับไปมอง ซึ่งท้ายที่สุดนางก็สามารถหลบโล่ได้อีกครั้ง