———-
บทที่ 781 กุมารทอง
คำพูดปลอบโยนของซูอันช่วยให้เพ่ยเหมียนหมานสบายใจขึ้นเล็กน้อย
ทว่าความกลัวยังคงเกาะกินใจของนาง นางไม่รู้สึกมั่นใจและกล้าหาญเหมือนปกติ
ทั้งสองคนเดินต่อไปโดยสังเกตเห็นหลุมที่คล้ายคลึงกันปรากฏขึ้นทีละหลุมสองหลุม สภาพโครงกระดูกภายในหลุมทั้งหมดต่างก็อยู่ในสภาพถูกตัดหัวเช่นกัน หากมองคร่าว ๆ ที่นี่น่าจะมีโครงกระดูกมากกว่าหนึ่งพันโครง
แม้จะมีไม่มากเท่ากับในหลุมด้านนอก แต่โครงกระดูกเหล่านี้น่าจะเป็นโครงกระดูกของเหล่าขุนนางหรือนักรบที่แข็งแกร่ง เพราะโครงกระดูกเหล่านี้ดูแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อรู้สึกได้ว่าเพ่ยเหมียนหมานตัวสั่นเล็กน้อย ซูอันจึงจับมือนางและเริ่มเดินให้เร็วขึ้น เขาต้องการออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
แต่ในไม่ช้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุด ไม่ว่าชายหนุ่มจะกล้าแค่ไหน ฉากตรงหน้าก็ยังทำให้เขากลัวจนหนังศีรษะชา…
มีหลุมบูชายัญอยู่ข้างหน้าเขา หลุมนี้มีขนาดเล็กกว่าหลุมอื่นทั้งหมด แต่สิ่งที่อยู่ภายในนั้นผิดปกติอย่างยิ่ง
มีร่างทารกสิบเจ็ดร่างอยู่ข้างใน ไม่ใช่กระดูก แต่ดูเหมือนเด็กจริง ๆ ไม่เพียงแต่ร่างกายของทารกเหล่านั้นจะดำสนิท แต่ยังมีลวดลายแปลก ๆ ถูกวาดลงบนผิวหนังอีกด้วย
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าซูอันสัมผัสได้ว่าร่างทารกเหล่านั้นไม่มีลมหายใจ เขาคงคิดว่าทารกพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่!
“พวกเขาจะโหดร้ายอะไรได้ขนาดนี้? ไม่เว้นแม้แต่ทารก…” เพ่ยเหมียนหมานกัดริมฝีปาก น้ำเสียงของนางสั่นเทาด้วยความโกรธระคนหวาดกลัว
เสียงของซูอันฟังดูมืดมน “ในความฝันของข้านั้น มีอาณาจักรหนึ่งถูกเรียกว่า ‘สยาม’ ในสมัยโบราณของสยามมีแม่ทัพคนหนึ่งชื่อขุนแผนผู้ซึ่งมีอำนาจเก่งกล้าสามารถ มีครั้งหนึ่งขุนแผนตีสนิทกับขุนโจรผู้หนึ่งที่ชื่อ ‘หมื่นหาญ’ ซึ่งหลังจากนั้นหมื่นหาญได้ยก ‘นางบัวคลี่’ ลูกสาวของตนเองให้กับขุนแผนเพราะความชื่นชมในความสามารถของขุนแผน
ขุนแผนอยู่กินกับบัวคลี่ได้พักใหญ่และท้ายที่สุดบัวคลี่ก็ตั้งท้อง แต่ทว่ายิ่งอยู่นานไปความสัมพันธ์ระหว่างขุนแผนกับหมื่นหาญกลับเริ่มขุ่นมัว หมื่นหาญจึงได้ขอให้ลูกสาวตนเองฆ่าขุนแผนโดยวางยาพิษในอาหาร แต่แผนการนี้กลับถูกขุนแผนล่วงรู้ซะก่อน ดังนั้นขุนแผนจึงลงมือสังหารบัวคลี่เพื่อแก้แค้นหมื่นหาญ และเมื่อหลังจากที่บัวคลี่ตายลง ขุนแผนได้ผ่าท้องของบัวคลี่และควักทารกที่ยังไม่เกิดออกมาแล้วนำไปที่วัด จากนั้นก็ทำการจุดกองไฟและห่อร่างกายส่วนบนของทารกด้วยผ้ายันต์จากนั้นวางร่างของทารกลงบนกองไฟแล้วย่างจนศพของทารกแห้งจนเหี่ยวเฉา ขุนแผนสวดคาถาตลอดกระบวนการเผา และเมื่อพิธีสิ้นสุดลง ทารกก็กลายเป็นร่างวิญญาณที่สามารถสื่อสารกับขุนแผนได้ ขุนแผนเรียกมันว่า ‘กุมารทอง’ หลังจากนั้นเมื่อเขาเข้าสู่สนามรบ เขาก็ได้รับชัยชนะทุกครั้งจากการช่วยเหลือของกุมารทอง”
ซูอันหยุดชั่วครู่หนึ่ง เขามองไปที่ฉากข้างหน้าเขาและพูดว่า “ทารกเหล่านี้ดูค่อนข้างคล้ายกับพิธีกรรมการทำ ‘กุมารทอง’ ไม่คิดเลยว่าคนของอินซางจะโหดเหี้ยมขนาดนี้”
ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ ศพทารกที่ตาปิดตลอดเวลา จู่ ๆ ก็ลืมตาขึ้นในทันใด ดวงตาของพวกมันเป็นประกายด้วยแสงสีแดง และค่อย ๆ คลานออกมาจากหลุมมาหาทั้งสองคน!
ซูอันรู้สึกขนหัวลุก ภาพยนตร์สยองขวัญที่เกี่ยวข้องกับเด็กหรือทารกมักเป็นภาพยนตร์ที่แย่ที่สุด และตอนนี้ก็มีทารกจำนวนมากที่คลานเข้ามาหาเขา
ใครก็ตามที่ขวัญอ่อนอาจจะเป็นลมทันที!
เสียงของเพ่ยเหมียนหมานสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ “อาซู! ความฝันของเจ้าบอกวิธีจัดการกับไอ้ตัวพวกนี้หรือเปล่า!?”
ซูอันเกือบจะน้ำตาไหลเช่นกัน “ไม่…”
เขารู้แค่ตำนานแต่ไม่รู้อะไรอีกเกี่ยวกับวิธีการปราบมัน!
กุมารทองกำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เพ่ยเหมียนหมานไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้อีกต่อไปและปล่อยเปลวไฟสีดำของนางเข้าใส่พวกมัน แต่ไม่ว่ายังไงนางก็ยังเห็นพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าจะตายได้ ดังนั้นเปลวไฟของนางน่าจะมีผลกับพวกมัน
อย่างไรก็ตาม ดวงตาของนางก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา กุมารทองถูกล้อมรอบด้วยเปลวไฟสีดำ แต่พวกมันไม่ได้แสดงความเจ็บปวดทั้งยังหัวเราะชอบใจ ขณะที่คลานไปข้างหน้า พวกมันใช้มือลูบไล้เปลวไฟราวกับกำลังเผชิญหน้ากับเพื่อนเก่า
เพ่ยเหมียนหมานเริ่มตั้งคำถามในใจทันที
เปลวไฟสีดำของนางน่ากลัวกว่าเปลวไฟธรรมดามาก มันสามารถหลอมละลายหินและเหล็กได้ นับประสาอะไรกับเนื้อมนุษย์!
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ามันจะทำอะไรกับ ‘ทารก’ เหล่านี้ไม่ได้!
ซูอันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มืดมนว่า “กุมารทองเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นผ่านการย่างด้วยไฟจนแห้ง พวกมันไม่มีทางกลัวไฟแน่นอน!”
ถึงตอนนี้กุมารทองหลายตัวคลานมาถึงพวกเขาแล้ว ซูอันแทงหนึ่งในนั้นด้วยกระบี่ไท่เอ๋อร์
แต่ทว่าร่างของกุมารทองนั้นกลับแข็งยิ่งกว่าโลหะ ปลายกระบี่ไท่เอ๋อร์ที่คมกริบอย่างยิ่งยวดกลับไม่สามารถทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่ขีดข่วน
ทั้งสองคนก้าวถอยหลังอย่างช้า ๆ และครู่ต่อมาซูอันก็ถอนหายใจ “แม้ว่ากุมารทองเหล่านี้จะแปลกมาก แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่มีความสามารถในการโจมตีที่แข็งแกร่ง ตราบใดที่เราระมัดระวังก็ไม่น่าจะเป็นอะไร”
ทั้งกระบี่ของซูอันและเปลวไฟของเพ่ยเหมียนหมานต่างใช้ไม่ได้ผลต่อเหล่ากุมารทอง แต่พวกมันยังเป็นทารกอยู่ ดังนั้นพวกมันจึงไม่รู้ว่าจะเดินอย่างไรและทำได้เพียงคลานเท่านั้น พวกมันเคลื่อนไหวได้อย่างเชื่องช้า และทำได้แต่ออกการโจมตีง่าย ๆ เท่านั้น
แต่ทว่าทันทีที่ซูอันพูดจบ เสียงของกระดูกที่เสียดสีกันก็ดังออกมาจากหลุมสังเวยรอบตัวพวกเขา
เหงื่อเย็นเริ่มผุดขึ้นตามร่างกายของคนทั้งสอง เสียงนี้คุ้นเคยอย่างยิ่ง มันเหมือนเสียงของนักรบโครงกระดูกตอนที่กำลังก้าวเดิน
พวกเขามองไปทางต้นเสียงและเห็นโครงกระดูกจำนวนมากกำลังคลานออกจากหลุมสังเวยเหล่านั้น พวกมันถือหอกขึ้นสนิมซึ่งหยิบมาจากที่ใดไม่รู้ได้ ทันทีที่ออกจากหลุมได้ พวกมันก็พุ่งเข้าใส่ทั้งสองคน
“นั่นมันบ้าอะไรกัน!?” ยามที่พวกโครงกระดูกซึ่งมีจำนวนราวหนึ่งโหลคลานออกมาจากหลุมได้ พวกมันดูเหมือนจะสามารถสื่อสารกันได้ทางกระแสจิต
จู่ ๆ พวกมันเคลื่อนตัวเข้าชิดกันก่อนจะตั้งแถวเรียงหน้ากระดานและเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกันราวกับเป็นกองทัพทหารจริง ๆ และประสานการโจมตีของพวกมันซึ่งทำให้ทั้งสองหลบหลีกอย่างยากลำบาก
“พวกนี้ไม่มีแม้แต่หัว มันเห็นเราได้ยังไง!?” ซูอันรู้สึกท้อแท้อย่างยิ่ง แม้ว่านักรบโครงกระดูกก่อนหน้านี้จะไม่มีตาแต่ก็ยังมีหัวอยู่ แสงสีแดงสองดวงที่ลุกโชนในเบ้าตาของมันทำให้เขาอนุมานได้ว่ามันคงจะเป็นดวงตา
อย่างไรก็ตาม ไอ้นักรบโครงกระดูกเหล่านี้ไม่มีอะไรอยู่เหนือคอเลยสักอย่าง แต่การเคลื่อนไหวของพวกมันกลับดูไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย!
“ดูที่หลังของพวกมันสิ!” เพ่ยเหมียนหมานมีดวงตาที่เฉียบคม และนางก็สังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น
ซูอันเพ่งมองมากกว่าเดิมและจากนั้นเขาจึงสังเกตเห็นว่าที่หลังของโครงกระดูกแต่ละโครงมีกุมารทองเกาะห้อยอยู่ที่หลัง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าโครงกระดูกเหล่านี้น่าจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเหล่ากุมารทอง ดังนั้นพวกมันจึงไม่ต้องการดวงตาอีกต่อไป!
แม้ว่ากุมารทองเองจะไม่มีความสามารถในการโจมตี แต่การยึดติดกับโครงกระดูกเหล่านี้ทำให้ขอบเขตคำว่าโจมตีของมันขยายกว้างกว่าเดิมมาก
โครงกระดูกเหล่านี้ไม่สามารถเป็นภัยคุกคามต่อซูอันและเพ่ยเหมียนหมานได้หากเป็นการสู้แบบตัวต่อตัว แต่เมื่อพวกมันใช้รูปแบบขบวนรบของกองทหารในการโจมตี กลับกลายเป็นว่าความแข็งแกร่งของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างยิ่งยวด
เคร้ง!!
ด้วยเสียงกระแทกดัง ซูอันฟันกระบี่ไท่เอ๋อร์ของเขาปะทะกับหอกยาว เขารู้สึกราวกับส่วนแขนถูกรถชนจนสั่นสะท้าน กระบี่ไท่เอ๋อร์เกือบจะหลุดจากมือ
ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนกลยุทธ์ทันที ชายหนุ่มใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่น่าอัศจรรย์ของตัวเองเคลื่อนที่ไปรอบกลุ่มโครงกระดูก และลอบโจมตีด้วยกระบี่ไท่เอ๋อร์เป็นครั้งคราว