ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 835 อาณาจักรมืด

ตอนที่ 835 อาณาจักรมืด

“ทุกท่านโปรดตั้งใจฟัง เรามาที่นี่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการรับเอาสมบัติหรือความลับของเผ่าโบราณอี๋และการทำให้เครือข่ายฟ้าดินอ่อนกำลังลง ไม่ใช่มาเพื่อบังคับให้เนี่ยถิงจนตรอกจนต้องใช้ทางเลือกสุดท้ายของเขา พวกเราไม่มีทางแบกรับผลที่ตามมาได้อย่างแน่นอน” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นในความมืด

“ซาตาน อาการบาดเจ็บของคุณเป็นอย่างไรบ้าง” หัวหน้าบาทหลวงถามด้วยท่าทางเป็นกังวล

แต่ใบหน้าของซาตานกลับดูเยือกเย็น จากนั้นหัวหน้าบาทหลวงจึงกล่าวต่อไปว่า “ตอนนี้เรามั่นใจได้แล้วว่าคนที่ทำร้ายคุณคือราชันฟ้าคนที่เก้าของเครือข่ายฟ้าดิน คุณมีแผนที่จะแก้แค้นรึเปล่า เท่าที่ผมรู้ คุณไม่มีผู้สืบทอด…และในอนาคตก็คงจะไม่มีเช่นกัน”

นักบุญที่นั่งหลับตานิ่ง เคาะโต๊ะ และพูดอย่างทนไม่ไหวว่า “พวกเราต้องได้ข้อสรุปในวันนี้ อย่ามัวแต่เสียเวลาอีกเลย”

ทั่วทั้งเต็นท์ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง มีเพียงนักบุญเท่านั้นที่มีสิทธิ์กล่าวว่าการสนทนาระหว่างซาตานและหัวหน้าบาทหลวงเป็นเรื่องเสียเวลา

และเหมือนอย่างเคย นักบุญแต่งกายด้วยชุดผ้าลินินเรียบง่ายเช่นเดียวกับพระนักพรต ผมสีเงินของเขาสั้นและเรียบร้อย เขาแสดงท่าทางอย่างคนมีอำนาจในขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของโต๊ะยาว

จากนั้นนักบุญก็มองไปยังที่นั่งตรงหัวมุม เขาถามว่า “คุณเป็นตัวแทนของมูลนิธิ…หรือเป็นตัวแทนของอาณาจักรมืด”

“นั่นไม่สำคัญ” ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ ในความมืด น้ำเสียงของเขาฟังดูเยาว์วัย แต่ก็แฝงไว้ด้วยร่องรอยความผันแปรของชีวิตมนุษย์ ราวกับว่าเขามีชีวิตอยู่มานานพอที่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายของโลกใบนี้ เขากล่าวว่า “มูลนิธิต้องการการปฏิวัติ เป้าหมายสูงสุดของพวกเราก็เหมือนกับของพวกคุณ นั่นก็คือการทำให้พลังของเครือข่ายฟ้าดินอ่อนแอลง ถึงแม้ว่าเบื้องหน้าอาจจะดูไม่ค่อยชัดเจนก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาณาจักรมืดไม่นับเป็นสิ่งใด ก็แค่ของเล่นเท่านั้น แต่น่าแปลกใจไม่น้อยที่ของเล่นสามารถนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นนี้ ดังนั้นคงไม่ผิดที่จะกล่าวว่าทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็มีเจตนาแอบแฝงกันทั้งนั้น ซึ่งนี่ก็ช่วยอธิบายได้ว่าทำไมพวกเราถึงชื่นชอบสถานที่มืดๆ เช่นนี้”

ไม่มีใครปริปากสักคำ ทุกคนในเต็นท์กำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด

อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้สึกตกใจไม่น้อย เมื่อรู้ว่าอาณาจักรมืดแท้จริงแล้วเป็นเพียงผลผลิตภายในของมูลนิธิเท่านั้น!

นั่นสามารถอธิบายกลไกการดำเนินงานที่สมบูรณ์แบบของอาณาจักรมืดได้ตั้งแต่เริ่มต้น และความจริงที่ว่าผู้ค้ามนุษย์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจสีเทาภายใต้การคุ้มครองของอาณาจักรมืดให้ห่างไกลจากสายตาของมูลนิธิ…ความจริงแล้วอาณาจักรมืดอยู่ร่วมกับมูลนิธิ เปรียบเสมือนด้านมืดและด้านสว่างขององค์กรหนึ่ง

อาณาจักรมืดเป็นเหมือนเนื้องอกที่เติบโตอยู่ในมูลนิธิ มันกลืนกินพลังของมูลนิธิและอาจทำลายมูลนิธิลงในสักวันหนึ่ง

ถ้าหลี่ว์ซู่อยู่ที่นี่ เขาคงจะเข้าใจในสิ่งที่หลี่อีเสี้ยวเคยบอกเขาว่าอันที่จริงแล้วมีความขัดแย้งภายในมูลนิธิ และความไม่ลงรอยกันนั้นก็หยั่งรากลึก

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้หลี่ว์ซู่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับมูลนิธิ

สิ่งเดียวที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในโลกใบนี้ก็คือการเปลี่ยนแปลง เราจะคาดหวังให้คนกลุ่มเดิมๆ ต่อสู้เพื่อสิ่งที่เป็นนามธรรมมาเป็นเวลาหลายศตวรรษได้อย่างไร

“คุณไม่กลัวหลี่เสียนอีหรือ” ใครคนหนึ่งถามขึ้น

ชายคนนั้นหัวเราะอย่างพึงพอใจ “หลังจากสงครามครั้งนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว”

คำตอบของเขารวบรัด แต่กลับแฝงไปด้วยความหมายมากมาย แต่ก็ไม่มีใครจริงจังกับคำพูดของเขานัก เพราะพวกเขาเรียนรู้วิธีซ่อนความคิดและแผนการของตัวเองมานานแล้ว

ชายผู้ก่อตั้งอาณาจักรมืดภายใต้การดูแลของมูลนิธิ เขาไม่ควรจะเป็นคนสบายๆ เช่นนี้

หัวหน้าบาทหลวงเหลือบมองเขาอย่างดูถูก “คุณนี่ขี้โม้จริงๆ อาณาจักรมืดของคุณไม่มีพวกระดับ A แม้แต่คนเดียวด้วยซ้ำ อย่าทำเป็นอวดดีหน่อยเลย”

ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง “หากจะพูดถึงพวกระดับ A ผมก็สงสัยเหลือเกินว่าเราจะมีพวกระดับ A ไว้ทำไม ในเมื่อกลุ่มแก่นความเชื่อเพิ่งจะสูญเสียเสบียงทั้งหมดไป อ้อ ไม่ใช่สิ สูญเสียเสบียงไปแปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ และอาวุธพร้อมที่เก็บทั้งหมด ทั้งๆ ที่ของเหล่านั้นอยู่ใต้จมูกของทีมที่มีพวกระดับ A อยู่ด้วยแท้ๆ”

ฟรานเชสโกซึ่งยืนอยู่ด้านหลังหัวหน้าบาทหลวงตอบว่า “พวกเราได้ส่งพวกระดับ B เจ็ดคนไปตามล่าเจ้านั่นแล้ว มันไม่มีทางรอดชีวิตได้”

“โอ้? จริงเหรอ” ชายคนนั้นหัวเราะ “ผมขอแนะนำให้พวกคุณลองตรวจสอบดูหน่อยนะ”

ฟรานเชสโกหันไปหาหัวหน้าบาทหลวง และฝ่ายหลังก็ทำท่าให้เขาทำการโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมทันที ฟรานเชสโกโทรศัพท์หาสมาชิกสี่คนแต่ไม่มีใครรับสายของเขา เป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากพวกเขาจะสูญเสียคนไปสักหนึ่งหรือสองคนในการต่อสู้ แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด

“ผมคิดว่าพวกคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูแบบไหน” ชายในความมืดกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แต่ไม่ต้องกังวล อาณาจักรมืดได้เตรียมเสบียงไว้ให้สำหรับพวกคุณทุกคนแล้ว เรือบรรทุกสินค้าสามลำจะมาถึงท่าเรืออาร์เตมในอีกแปดชั่วโมง อย่างไรก็ตาม เราสามารถเติมอาวุธวิเศษที่กลุ่มแก่นความเชื่อสูญเสียไปได้ ดังนั้นตอนนี้ ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย พวกเราอาณาจักรมืดจะสามารถได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกับทุกองค์กรที่นี่ได้หรือไม่”

ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดอีกครั้ง ในอดีต อาณาจักรมืดไม่เคยมีส่วนร่วมไม่ว่าในความขัดแย้งรูปแบบใดๆ ก็ตาม แต่พวกเขากลับสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการปรากฏตัวครั้งแรก!

ในขณะนั้น พลังของพวกเขาได้รับการยอมรับถึงแม้ว่าจะยังไม่แน่ใจว่าพวกเขามีนักสู้ระดับสูงกี่คน

หัวหน้าบาทหลวงหัวเราะเยาะ “ฟรานเชสโก ไปเอาหัวมันมาให้ฉัน”

เขาส่งฟรานเชสโกไปฆ่าหลี่ว์ซู่ด้วยตัวเอง!

ชายในความมืดหัวเราะคิกคัก “อย่าฆ่าตัวตายน่า”

ฟรานเชสโกเดินออกจากเต็นท์มืดโดยไร้ซึ่งความลังเล เขาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนลูกธนูหลุดจากสาย และบินไปยังป่าทางเหนือราวกับขีปนาวุธ!

ทุกคนในที่ประชุมต่างตกตะลึง ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่กันที่ฟรานเชสโกก้าวขึ้นสู่ระดับ A!

ทันใดนั้นผู้นำจากองค์กรอื่นๆ ก็ตระหนักได้ว่ากลุ่มแก่นความเชื่อเป็นองค์กรเดียวในการประชุมนี้ ที่มีพวกระดับ A ถึงสองคน!

ฮาเวิร์ดเคยเป็นสมาชิกที่มีแววดีที่สุดในกลุ่มฟีนิกซ์ แต่ตอนนี้เขาตายไปแล้ว

หัวหน้าบาทหลวงหัวเราะ “คุณยังกังวลเรื่องความปลอดภัยของฟรานเชสโกอยู่หรือเปล่า”

ทุกคนหันมองไปที่ปลายโต๊ะยาวที่มีนักบุญนั่งอยู่อย่างเคร่งขรึม ถึงแม้ว่ากลุ่มแก่นความเชื่อจะมีระดับ A อยู่ถึงสองคน แต่นักบุญก็ยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในห้อง

แต่ก็ไม่มีใครชอบเขา เพราะเขาหยิ่งผยองเกินไป

นักบุญพูดอย่างสงบว่า “เราจะบุกโจมตีในวันพรุ่งนี้ บอกให้ผู้บำเพ็ญลับสู้อย่างสุดชีวิต พวกเขาทั้งหมดจะหนีไป ถ้าเราไม่ส่งพวกเขาไปยังเงื้อมมือแห่งความตายในตอนนี้”

ในตอนนั้นเองที่ผู้บำเพ็ญลับหลายคนได้เข้าใจว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์ต่อรอง พวกองค์กรขนาดใหญ่เอาเปรียบพวกเขาเกือบทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาหนีไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีคนอยู่เป็นจำนวนมากจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะจับทุกคนที่พยายามหนีไว้ได้ ดังนั้นจึงมีผู้บำเพ็ญลับประมาณสองพันคนคนที่หลบหนีได้สำเร็จในแต่ละวัน

องค์กรขนาดใหญ่ได้บรรลุข้อตกลงกันมานานแล้วว่าพวกเขาจะใช้ผู้บำเพ็ญลับในการตัดกำลังของเครือข่ายฟ้าดิน หลังจากที่เครือข่ายฟ้าดินถูกทำลายโดยคลื่นลูกแรกของการโจมตี องค์กรต่างๆ จะส่งกองกำลังชั้นยอดของพวกเขาเข้าร่วมการต่อสู้ในระลอกสุดท้าย

ในตอนนี้ที่เครือข่ายฟ้าดินใช้ช่วงเวลาสั้นๆ สร้างป้อมปราการที่ไม่สามารถทะลวงได้จนเสร็จสิ้นแล้ว เหล่าองค์กรทั้งหลายก็รู้ได้ว่าเวลาของพวกเขาหมดลงแล้ว!

ในขณะเดียวกันนี้ หลี่ว์ซู่กำลังเร่งเดินทางผ่านป่า

เขากำลังไล่ตามระดับ B คนสุดท้ายอยู่ บทบาทของนักล่าและเหยื่อได้ถูกสลับกันภายในเวลาเพียงวันเดียว!

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

Status: Ongoing

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น!

ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท