“เยี่ยม!! วันนี้ก็เป็นอีกวันสินะที่ฉันทำตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ได้สำเร็จ..”
ผมพูดพึมพำออกมา
หลังจากที่ผมทำงานเสร็จผมก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องล็อคเกอร์ กลิ่นน้ำมันอันเป็นเอกลักษณ์ได้โชยออกมาจากเสื้อผ้าและร่างกายของผม
ผมทำงานที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด รายได้ก็ไม่ได้สูงมากเผลอๆต่ำกว่ามาตรฐานอีกแต่มันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับเด็กม.ปลายอย่างผมเพราะผมไม่จำเป็นจะต้องสัมภาษณ์งาน
“เอาล่ะ กลับบ้านดีกว่าเรา..”
ผมยัดเสื้อผ้าเข้าไปในกระเป๋าของตัวเองจากนั้นก็เดินออกทางประตูหลังร้านเพื่อที่จะกลับบ้านแต่สิ่งที่รอผมไม่ใช่ทิวทัศน์ซ้ำซากที่ผมมักจะเห็นเป็นประจำเพราะว่ามันมีบางอย่างที่แสนจะงดงามได้ดึงดูดสายตาผม
“ฉันกำลังรออยู่เลย โทคิวากิซัง”
“………”
ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยเพราะสิ่งที่รอผมอยู่ด้านนอกมันได้ทำให้ตัวผมยืนตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ
ฉากแบบนี้นี่มันอะไรกันอย่างกับเหล่าแฟนคลับที่ยืนรอไอดอลของตัวเองเดินออกมาจากเวที
จากที่เธอพูดออกมาดูเหมือนว่าเธอกำลังรอผม จริงๆแล้วผมอยากจะพูดสวนไปว่า “เธอมาทำอะไรที่นี่..” ด้วยซ้ำ
แต่ผมไม่เคยคิดเลยนะว่าผมจะได้รับประสบการณ์ที่มีคนอื่นยืนรออยู่แบบนี้ ตอนแรกผมคิดว่าชาตินี้คงจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรอก…แต่พอเอาเข้าจริงนี่มันน่ากลัวสุดๆ
การที่เปิดประตูออกมาแล้วเห็นคนที่ไม่คาดคิดยืนรออยู่ทำเอาผมสะดุ้งเลยละ
“เอ่อคือ ใช่โทคิวากิซัง ม.ปลายปี1 ห้อง D ใช่มั้ยคะ?”
“ไม่ครับดูเหมือนคุณจะทักผิดคน..งั้น”
ถึงผมจะตกใจที่เธอรู้ชื่อของผม แต่ผมก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาและเดินผ่านเธอ–
“ขอโทษนะคะ แต่อย่าเพิ่งไปได้มั้ยคะ”
เธอจับแขนของผม..พร้อมกับส่งสายตาที่มีความตั้งใจอันแรงกล้าที่ดูเหมือนจะไม่ปล่อยให้ผมหนีไปไหนได้ออกมา
เฮ้อ ช่วยไม่ได้ละนะ…
ผมถอนหายใจออกมาพร้อมกับหันหลังกลับไป
“ในที่สุดคุณก็ยอมที่จะคุยกับฉันแล้วสินะคะ”
“ก็เธอไม่มีท่าทีที่จะยอมปล่อยฉันไปเลยนิ”
“ขอบคุณที่ยอมเข้าใจนะคะ”
“แล้วมีเรื่องอะไรละ..”
น้ำเสียงที่ผมถามเธอไปมันอาจจะดูไม่เป็นมิตรและตรงไปตรงมา
แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา ก็ผมยืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่มีออร่าที่แตกต่างจากผมโดยสิ้นเชิง…
แล้วนี่มันก็เป็นครั้งแรกด้วยที่มีผู้หญิงจ้องมาที่ผมอย่างจริงจัง นี่สินะออร่าของหญิงสาวที่เป็นดาวโรงเรียนช่างเป็นพลังที่แกร่งกล้าเสียจริง
พูดตามตรงนะผมมองไปที่เธอตรงๆไม่ได้เลยก็เธอออกจะน่ารักซะขนาดนั้นนี่นา
“ก่อนหน้านั้นช่วยบอกชื่อของคุณหน่อยได้มั้ยคะถึงฉันจะเรียกไปแบบนั้นแต่ฉันกลัวว่าจะเรียกชื่อคุณผิดแล้วมันจะเสียมารยาท”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงปกติที่เหมือนช่วงกลางวันในตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรก
“กรุณาบอกชื่อมาด้วยค่ะ”
“ทานากะ ทาโร่”
แน่นอนว่านี่น่ะคือชื่อปลอมแต่ถึงอย่างนั้นเธออยากจะรู้ชื่อของผมไปทำไมตอนนี้ในหัวของผมมีความคิดหลายอย่างพวยพุ่งเข้ามาซึ่งทำเอาผมหวั่นๆเล็กน้อย
หรือว่ามันฝรั่งอบที่ผมให้มันจะบูดเธอเลยจะมาบ่นใส่หรือวาคามิยะจะคิดว่าผมล่วงละเมิดทางเพศในตอนที่ผมมองไปที่เธอ
ในหัวผมมีแต่เรื่องแบบนี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอันไหนมันก็ไม่ใช่เรื่องดี
“คุณโกหก”
ดูเหมือนเธอจะดูออกว่าชื่อโง่ๆแบบนี้ไม่ใช่ชื่อของผม ชิ ผมน่าจะคิดให้ดีกว่านี้ในตอนที่จะใช้ชื่อปลอม..
“อยู่ๆการที่มาบอกว่าชื่อของคนอื่นเป็นเรื่องโกหก มันค่อนข้างจะเสียมารยาทเลยนะ….”
“ฉันมั่นใจในความทรงจำของตัวเองค่ะเพราะฉันพอจำรูปร่างหน้าตาคร่าวๆของทุกคนในช่วงปฐมนิเทศได้ค่ะ”
“เอ๋…ตอนนั้นเธอจำได้ด้วยเหรอ”
น่าจะเป็นช่วงที่ขึ้นไปพูดสุนทรพจน์ละมั้งเพราะตอนนั้นวาคามิยะได้ขึ้นไปบนเวทีจึงสามารถเห็นนักเรียนทุกคนได้
แต่เพราะแบบนั้นแหละจึงทำให้ผมตระหนักได้ว่าผู้หญิงคนนี้น่ากลัวสุดๆ
“ค่ะ ในตอนนั้นฉันดีใจสุดๆที่ได้มีโอกาสเจอหน้าทุกคนแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็กลัวว่าอาจจะทำอะไรผิดแปลกไปฉันจึงจำๆเผื่อเอาไว้เพราะงั้น….ฉันจำไม่ผิดแน่ค่ะ”
“ไม่สิ เธออาจจะจำฉันสลับกับใครบางคนก็ได้ คงจะเป็นแบบนั้นแหละ”
ผมพูดพลางหลบสายตาของเธอไปด้วยเพราะผมไม่สามารถพูดโกหกได้เมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาที่แสนจะงดงามแบบนั้นแต่ถึงอย่างนั้นวาคามิยะก็มองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
จิตสัมผัสของผมมันบอกมา
“คนที่รู้ว่าฉันขึ้นไปพูดบนเวทีในวันปฐมนิเทศก็มีแค่นักเรียนปี1ที่ยืนอยู่ ‘ที่นั่น’ เท่านั้นค่ะ”
“เอ่ออออ…”
“และในตอนที่เราพูดถึงหัวข้อนี้ คุณอาจจะรู้จักชื่อของฉันจากใบประกาศก็ได้ แต่ว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลยค่ะเพราะคุณควรจะไม่รู้ว่าฉันขึ้นไปพูดตอนไหนแต่คุณกลับพูดว่า ‘ตอนนั้น’ และอีกอย่างนะคะคุณไม่สามารถรู้จักหน้าฉันได้จากการแค่อ่านชื่อหรอกค่ะ”
“เข้าใจแล้วๆ….เธอแค่ได้ยินคำพูดของฉันไม่กี่คำเธอก็เดาออกเลยเหรอ”
“ฟุฟุ ถูกต้องแล้วค่ะ แล้วฉันเรียกชื่อคุณถูกมั้ยคะ โทคิวากิซัง”
“ใช่ฉันเองแหละ โทคิวากิ ผู้อยู่กลุ่ม D ตลอดกาล”
ผมยกมือขึ้นและทำท่าทางยอมแพ้ ในตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
“กลุ่ม D ตลอดกาล? ถึงคุณจะอยู่ห้อง D ก็เถอะแต่ไอ้ที่ว่า ‘ตลอดกาล’ คืออะไรคะ ไม่ใช่ว่าเรามีการเปลี่ยนห้องทุกๆปีเหรอคะ?”
“โอ้ มันแค่การเปรียบเปรยน่ะ มันไม่เกี่ยวกับท่านเทพธิดาแบบเธอหรอก”
“งั้นเหรอ? อ่ะแต่ช่วยอย่าเรียกเทพธิดาได้มั้ยคะพอดีฉันไม่ชอบค่ะ ถ้าคุณอยากจะเรียกฉัน กรุณาเรีอกชื่อของฉันแทนด้วยค่ะ”
“อา ขอโทษนะ วาคามิยะซัง”
อันที่จริงการเรียกเธอว่า เทพธิดา มันก็ไม่เกินจริงเลยเพราะถ้าเจอเธอเข้าคำๆนี้ย่อมหลุดออกมาจากปากเป็นธรรมดาและอีกอย่างนะเธอเป็นคนที่สามารถทำอะไรก็ได้และมักจะเป็นจุดศูนย์กลางของการสนทนาเสมอ….
ถ้าไม่ใช่เทพธิดาจะให้ผมเรียกเธอว่าอะไรละคำนี้แหละเหมาะสุดๆแล้ว
“ถึงคนอื่นจะเรียกฉันว่า เทพธิดา แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ฉันได้รับมาเป็นผลพวงมาจากความพยายามของฉันค่ะสิ่งที่เราจะได้รับมาก็ล้วนขึ้นอยู่กับความพยายามของตนเองแล้วการที่เรียกฉันด้วยชื่อแบบนั้นก็เหมือนกับการดูถูกฉันด้วย ฉันไม่ชอบเลยทั้งๆที่ฉันพยายามไปขนาดนั้นแท้ๆกว่าจะได้รับบางสิ่งบางอย่างมา”
“อย่างนี้นี่เอง”
คำพูดที่ออกมาจากปากของวาคามิยะนั้นทำเอาผมประหลาดใจเป็นอย่างมากตอนแรกผมก็นึกว่าเธอแค่ถ่อมตัวเฉยๆ
การที่ใครสักคนที่มีทุกอย่างอยู่ในการครอบครองพูดออกมาประมาณว่า “แหม มันก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก” หรือไม่ก็ “ไม่ต้องชมฉันแบบนั้นหรอก” มันไม่ได้ดูถ่อมตัวหรือดูดีหรอกเพราะในสายตาของคนที่ไม่มีอะไรเลยมันเหมือนเป็นการดูถูกดีๆนั่นเอง
แต่คำตอบของวาคามิยะนั้นเป็นเหมือนการบ่งบอกว่าตนเอง “ทุ่มเทแรงกายแรงใจพยายามเสมอมา” สำหรับผมแล้วคำตอบแบบนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก
ซึ่งผมไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเธอพยายามไปมากขนาดไหนแต่ถึงยังไงก็ตามผมก็มองว่าสุดยอดมากกับคำตอบที่บอกว่า ‘ทั้งๆที่พยายามไปขนาดนั้นแท้ๆกว่าจะได้รับบางสิ่งบางอย่างมา’
ผมมองไปที่ใบหน้าของวาคามิยะพร้อมกับยิ้มแห้งๆออกมาแต่การที่ผมมองหน้าเธอไปตรงๆแบบนี้เล่นเอาผมเขินเลย
“ถ้าอย่างนั้นเรามาเข้าประเด็นหลักของเรากันเถอะ ที่เธอมาหาฉันเธอมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
“พูดตรงๆเลยนะ…..ฉันอยากตอบแทนบุญคุณค่ะ”
ในสถานที่ที่เงียบสงบที่ไร้ผู้คน เสียงที่แจ่มแจ้งชัดเจนของเธอได้ดังก้องกังวาน