อพาร์ทเมนท์ที่ผมอาศัยอยู่ถูกสร้างขึ้นมาประมาณ30กว่าปีแล้ว เวลาที่ผมเดินก็มักจะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดเพราะวัสดุในการสร้างก็คือไม้อีกทั้งแสงแดดก็แทบจะส่องไม่ถึงห้องของผมด้วย
ห้องของผมเป็นรูปแบบ 1DK ค่าเช่าก็อยู่ที่ราวๆ6หมื่นเยนซึ่งที่พักของผมอยู่ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 15นาทีหากนับจากการเดิน
(**1DK 1ห้อง+ ห้องครัวกับที่กินข้าว)
ส่วนอพาร์ทเม้นท์ที่สูงตระหง่านของท่านเทพธิดานั้นก็สามารถมองเห็นได้จากอพาร์ทเม้นท์ของผมซึ่งจะใช้เวลาเดินทางเพียง 5 นาทีหากขี่จักรยานไป
…คิดแล้วมันก็แซดสภาพความเป็นอยู่ระหว่างผมกับเธอมันต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย
และในที่สุดพวกเราทั้งสองคนก็ได้มาถึงหน้าอพาร์ทเม้นท์ของผม หากดูสีหน้าของวาคามิยะในตอนนี้เธอดูค่อนข้างที่จะประหม่าเลยละ ถ้าคิดในแง่ปกติก็คงไม่แปลกอะไรหรอกแต่ความคิดแบบนี้มันใช้กับเทพธิดาเรียจูของเราไม่ได้เนี่ยสิ—
“นี่เป็นครั้งแรกเลยค่ะที่ฉันจะได้ทักทายพ่อแม่ของคนอื่น ฉันรู้สึกประหม่าสุดๆเลยค่ะ”
“เฮ้อออ ว่าแล้วเชียว”
ผมถอนหายใจออกมา
อย่างน้อยก็ช่วยกังวลเรื่องเข้าห้องของผู้ชายหน่อยสิฟะ…ผมชักเริ่มเป็นห่วงแล้วสิ
“อพาร์ทเมนท์ของคุณอยู่ใกล้ฉันจริงๆด้วย แถมยัง……….อืมมม เป็นอพาร์ทเม้นท์ที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์เลยค่ะ”
“ใช่มันค่อนข้างอยู่ใกล้เลยแหละ แล้วอีกอย่างนะเธอไม่ต้องถนอมน้ำใจฉันหรอก เมื่อเทียบกับของเธอแล้วเรียกได้ว่าอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้เป็นเหมือนอพาร์ทเม้นท์ร้างๆนั่นแหละ”
วาคามิยะฝืนยิ้มออกมาพร้อมกับค่อยๆสังเกตอพาร์ทเม้นท์ของผม
จากนั้นเธอก็เอียงศีรษะด้วยความสงสัย
“โทคิวากิซังคุณอาศัยอยู่คนเดียวงั้นเหรอคะ?”
“อะไรดลใจให้คิดอย่างนั้นล่ะ?”
“ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่อีกทั้งตรงหน้าทางเข้าห้องฉันก็เห็นร่มเพียงคันเดียวด้วย”
“งี้นี่เอง เธอเดาได้ใกล้เคียงมากแล้วละ สมกับเป็นเธอจริงๆ”
“ขอบคุณค่ะ”
“คำตอบที่ถูกต้องก็คือ จริงๆฉันอาศัยอยู่กับพ่อน่ะแต่เขาไม่ค่อยที่จะกลับบ้านมาหรอกเพราะต้องออกไปทำงานเพราะงั้นก็ไม่ต่างอะไรจากอยู่คนเดียว”
“แบบนี้เองสินะ เพราะงั้นคุณก็ต้องทำงานบ้านทุกอย่างเอง…ลำบากแย่เลยนะคะ ก็ว่าทำไมคุณถึงไม่มีเวลาอ่านหนังสือ”
“อ-อืมม ก็คงงั้น” ผมตอบกลับ
แต่พูดตามตรงนะงานบ้านผมไม่ได้ทำเลย
ไม่สิต้องพูดว่าไม่เคยคิดที่จะทำเลยมากกว่าเพราะงั้นผมไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะถ่อมตัวได้หรอก
สิ่งเดียวที่ผมทำในบ้านก็คือ นอน ส่วนถ้าจะกินข้าวผมก็จะออกไปซื้อขนมปังที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆแต่ถ้าเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็จะกลับมากินที่บ้าน
ถึงผมจะใช้ชีวิตแบบนี้แต่ผมก็ยังแข็งแรงปึ๋งปั๋งอยู่นะ
ส่วนเทพธิดาเรียจูที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย เธอก็ทำสีหน้าจริงจังก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆจากนั้นเธอก็มองมาที่ผมราวกับว่าตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว
……รู้สึกใจคอไม่ดีเลยครับพี่น้อง
“นี่ต้องเป็นพรหมลิขิตแน่ๆค่ะ…โทคิวากิซัง ฉันจะช่วยคุณเองค่ะฉันจะทำให้คุณมั่นใจว่าจะมีสมาธิกับการเรียน!!”
“เอาจริงดิ!! เธอไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก”
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”
“อีหรอบนี้อีกแล้วเหรอ เธอ—“
“ฉันรู้ค่ะ ฉันจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครแน่นอนค่ะ”
“เธอไม่เข้าใจเลยเฟ้ย”
“งั้นเราก็มาเริ่มกันดีกว่า ขออนุญาตนะคะ”
“อ๊ะ เดี๋ยวสิ”
ลืมไปเลย เพราะไม่ค่อยมีคนเข้ามาในห้องของผม
ทำให้ตอนนี้ในห้องไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเชื้อเชิญใครได้
“โทคิวากิซัง…นี่…มีโจรแอบย่องเข้ามารึเปล่าคะ?”
หลังจากที่ได้เห็นสภาพห้องของผม วาคามิยะก็เบิกตากว้างจากนั้นก็ขยี้ตาอยู่หลายครั้งราวกับว่าไม่เชื่อในฉากที่อยู่ตรงหน้า
“ถึงขยี้ตาไปมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอกนะ..”
“อะเออ โทคิวากิซัง คุณเนี่ยสุดยอดเลยนะที่สามารถอาศัยในที่แบบนี้ได้…ตอนนี้ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเดินไปทางไหน”
“เธอเห็นเสื้อผ้าของฉันมั้ยที่มันกองๆอยู่นั่นแหละเธอสามารถเหยียบมันเข้าไปได้มันเหมือนกับพรมเลยใช่มั้ยล้า”
“ไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นเลยค่ะ..”
“ครับ..”
“เอาเถอะ ตอนนี้เราจะเลื่อนเรื่องอื่นออกไปก่อนเพราะงั้นเรามาเริ่มทำความสะอาดกันเถอะค่ะ”
“เธอไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ไปได้เพราะงั้นเรามาเก็บกวาดกันเถอะค่ะอย่างน้อยก็ให้มันดูเหมือนห้องของคนปกติหน่อยก็ดี”
“แต่ฉันไม่มีถุงขยะเลยนะ”
“ไม่ต้องห่วงฉันมีค่ะ”
“แล้วเธอพกมันเอาไว้ทำซากไรเนี่ย!!”
ผมรู้สึกทึ่งในตัวเธอเป็นอย่างมากส่วนทางของวาคามิยะนั้นก็ได้เริ่มเก็บกวาดโดยโนสนโนแคร์ผม
ท้ายที่สุดพวกเราก็สามารถทำความสะอาดทั้งห้องจนเอี่ยมหมดจดภายในเวลา 3ทุ่ม