“ฟู้ว~~”
หลังจากที่จบคาบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ผมก็ขีดเส้นใต้ในส่วนที่ผมเรียนไม่เข้าใจเพราะวาคามิยะได้บอกผมเอาไว้ว่า
[ถ้าคุณไม่เข้าใจส่วนไหนก็ขีดเส้นใต้เอาไว้นะคะถึงมันจะเป็นอะไรที่ดูง่อยๆแต่ถ้าคุณไม่เข้าใจก็ขีดได้เลยค่ะไม่ต้องกังวลว่ามันจะเยอะเกินไปรึเปล่าเพราะฉันไม่แคร์ค่ะขีดเต็มที่เลยฉันจะได้ช่วยคุณได้]
และนี่ก็คือคำสั่งของวาคามิยะ ริน ไม่สิตอนนี้ผมควรจะเรียกเธอว่าอาจารย์วาคามิยะมากกว่า แต่ว่านะ…
“ฉันเล่นขีดเส้นใต้ทุกที่เลยเนี่ยสิ….ไม่น่าทิ้งการเรียนเลยเรา”
ก็อย่างที่เห็นผมไม่เข้าใจอะไรเลยเพราะตั้งแต่เข้า ม.ปลายมาเรียกได้ว่าความรู้เป็น 0 หรือก็คือตูไม่ตั้งใจเรียนนั่นเอง…
“โทวะ!?”
ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนเรียกผมพร้อมกับตบไหล่ของผมจากด้านหลังนั่นทำเอาผมตกใจไม่ใช่น้อยๆเลยละ
หลังจากนั้นผมก็หันไปจ้องที่ต้นตอของเสียงก่อนที่จะบ่นออกไป
“….อย่าตะโกนแบบนั้นสิฟระ ฉันตกใจนะเฟ้ย”
“อา…อื้ม โทษที”
ซึ่งคนๆนั้นก็คือเคนอิจิและในตอนนี้เขาก็กำลังเกาแก้มของตัวเองพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างใสซื่อ
รอยยิ้มนั่นมันอะไรกันโคตรจะหล่อบาดไตเลยนี่หว่าถ้าต้องให้คะแนนแล้วละก็มันผมให้เต็ม100เลยละ นี่สินะที่มาของคำว่าคนมันจะหล่อทำอะไรมันก็หล่อไปหมด
“แล้วมีอะไรล่ะ”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ฉันต่างหากที่อยากถามนาย?”
“ห๊ะ?”
ผมเอียงศรีษะด้วยความสงสัย นี่ผมทำอะไรแปลกๆไปงั้นเหรอ?
“ก็วันนี้นายไม่ได้หลับในคาบเรียนนี่นา”
“อ่ะอ๋อ..คือว่านั่นมัน..”
จากที่เคนอิจิพูดมาผมก็พอจะเข้าใจคร่าวๆแล้วล่ะ
เพราะโดยปกติแล้วผมนั้นมักจะหลับในคาบเรียนอยู่เสมอนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามาถามผมแบบนี้สินะ
“นายไม่สบายงั้นเหรอ? หรือนายโดนข่มขู่?”
“ไม่ว้อยยย ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ ที่ฉันไม่หลับก็เพราะฉันนั่งเรียนอยู่ไง”
“บ้าน่ะเป็นไปไม่ได้…ฉันว่าวันนี้คงจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นแหงๆ..”
เคนอิจิเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
คุณเมิงก็พูดแรงเกินไปเปล่า
“ฉันก็แค่เรียนมันเป็นสิ่งที่นักเรียนควรทำอยู่แล้วไม่เห็นจะมีอะไรแปลกเลย”
“แปลกสิแปลกสุดๆเลย ฉันแปลกใจจนหายใจไม่ทันแล้วเนี่ย”
หลังจากพูดจบเคนอิจิก็เอาน้ำขึ้นมาดื่มก่อนที่จะหายใจเข้าออกลึกๆอยู่แบบนั้นสองสามครั้ง
…เวอร์เกินไปแล้วมั้งง
“แล้วอีกอย่างนะช่วงนี้ผิวพรรณของนายมันก็ดูดีขึ้นเยอะเลยด้วย….”
“มะไม่เห็นจะเป็นงั้นเลย..ฉันว่ามันก็ปกตินะ”
“หืมมม หรือว่านาย…จะมีผู้หญิงงั้นเหรอ?”
ถ้าผิวของผมเป็นอย่างที่เคนอิจิพูดมาจริงๆแล้วละก็มันอาจจะเป็นเพราะช่วงนี้ผมได้รับสารอาหารครบถ้วนละมั้ง
ก็ว่าล่ะทำไมเคนอิจิเอาแต่มองมาที่ผมด้วยท่าทางสงสัย
การที่เคนอิจิเดาต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงได้แม่นขนาดนี้ทำเอาผมเหงื่อตกเลยละ พวกหล่อๆก็เป็นซะอย่างเงี่ย…ฉันละเกลียดพวกที่เซนส์ดีแบบแกเป็นบ้า
“ถ้ามีคนมาบอกฉันว่าพวกเรียจูมีพลังจิตฉันก็เชื่อนะเนี่ย”
“ห๊ะ? นายพูดอะไรน่ะ?….หรือว่าฉันจะเดาถูกเหรอ?”
“ไม่ถูกแล้วก็ไม่ผิดนั่นแหละ แต่ว่านะเคนอิจิเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันมันไม่ใช่เรื่องดีๆอะไรหรอก”
ถึงผมจะพูดออกไปอย่างคลุมเครือแต่เคนอิจิก็ยังคงยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
“อื้ม หรือก็คือมีอะไรบางอย่างมาเปลี่ยนชีวิตของนาย…ไม่สิควรจะพูดว่าใครบางคนมากกว่าสินะ”
“อื้ม อะไรทำนองนั้นนั่นแหละ”
“ฉันละดีใจจริงๆ ในที่สุดก็มีใครบางคนเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของผู้ชายที่มีชื่อว่า โทวะ ให้ดีขึ้นสักที”
“ครับๆ”
ผมตอบกลับเคนอิจิไปแบบผ่านๆ
“โทวะ~~พอผิวดีขึ้นนายเนี่ยก็เปลี่ยนเหมือนคนละคนเลยน้า~~”
“เลิกพูดแบบนั้นเถอะขนลุกนะเฟ้ย..แต่ว่านะเคนอิจิแต่ก่อนฉันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“นี่นายไม่รู้ตัวเลยเหรอ”
เคนอิจิพูดอย่างไม่ลังเลพร้อมกับมองมาที่ผมด้วยความประหลาดใจ
“ก็แต่ก่อนนายเนี่ยอย่างกับพวกอดอะไรตายอยากดูไร้ชีวิตชีวาสุดๆเลยละ ถึงฉันอยากจะชมนายแค่ไหนมันก็ไม่ไหวจริงๆ”
“อ๊ากก เงียบไปเลยฉันไม่อยากได้ยินมันแล้ว”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เอาน่าๆอย่างอนฉันเลย ก็เหมือนคำๆนึงที่ว่า ทุกๆอย่างสามารถเปล่งประกายได้หากถูกขัดเกลามาอย่างดี”
“แต่ไอ้คำแบบนั้นมันก็ใช้กับทุกคนไม่ได้อยู่แล้ว”
ถ้าไม่มีใครบอกผมตรงๆแบบนี้ผมเองก็ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย
แสดงว่าในสายตาของวาคามิยะผมเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันสินะ
และด้วยนิสัยชอบช่วยเหลือคนอื่นของวาคามิยะพอมาเจอผมก็คงจะไม่สามารถปล่อยผ่านได้
ผมก็พอรู้อยู่นะว่าตัวเองดูไม่แข็งแรงแต่พอได้มาคุยกับเคนอิจิแบบนี้ผมก็มั่นใจเลยละว่าตัวเองเป็นหนักกว่าที่คิด
“โทวะ ถ้านายเลิกทำหน้าปลาตายแล้วลองยิ้มเหมือนในตอนที่ทำงานพาร์ทไทม์ละก็ฉันว่านายเองก็ดูดีใช่เล่นเลยนะ”
“หน้าฉันมันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วและการที่จะให้ยิ้มตลอดฉันไม่เอาด้วยหรอก”
“เอาน่าๆ ฉันก็ไม่ได้บังคับอะไร แต่ลองยิ้มสักหน่อยก็ไม่เสียหายนิ”
“ไม่ได้เงินฉันไม่ทำหรอก”
“โทวะ นายเนี่ยเรื่องมากจริงๆเลยน้า~~ “
เคนอิจิพูดออกมาอย่างเหนื่อยใจ
ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็ทำเป็นเมินเขาโดยมองออกไปที่นอกหน้าต่าง
เมินๆไปดีกว่าตอนนี้หิวแล้วโว้ย
“เคนอิจิแทนที่นายจะแหกปากอยู่แบบนี้เอาเวลาไปกินข้าวไม่ดีกว่าเหรอ”
“โหดร้าย…ที่ฉันอยู่ที่นี่ก็เพราะอยากกินข้าวด้วยกันกับนายไงละ”
“ไม่ต้องก็ได้…ไปกินกับแฟนเถอะ”
“ฉันกลัวนายเหงาอะโทวะ~~”
“ไม่โว้ยตูกินคนเดียวได้”
จากนั้นผมก็นำข้าวกล่องของวาคามิยะขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะซึ่งขนาดของมันก็เหมาะสำหรับผู้ชายอย่างผมเลย
ถึงจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆวาคามิยะก็ยังคงเอาใจใส่สินะ
พอรู้แบบนั้นผมก็เผลอยิ้มออกมา
“นั่นมัน….ข้าวกล่องงั้นเหรอ?”
“ใช่”
“เดี๋ยวๆอย่างพึ่งกิน…เออ…เราย้ายที่กันก่อนเถอะ”
เคนอิจิเอาข้าวกล่องผมไปพร้อมกับคว้าแขนของผมไปด้วย
…ใจคอไม่ดีเลยแฮะ
“ไปกันเถอะ ดูเหมือนว่าวันนี้นายจะเอาข้าวกล่องมาด้วยเพราะงั้นเราไปกินที่ลานกว้างกันเถอะ”
“ไม่ไป..แถวนั้นคนเยอะจะตาย”
“มาเถอะน่า~~”
“ด-เดี๋ยวสิ..”
เคนอิจิพยายามพาผมที่กำลังขัดขืนออกจากห้องเรียนไม่สิควรจะพูดว่าลากผมออกจากห้องคงจะเข้าท่ากว่า
ทำไมถึงแรงเยอะขนาดนี้ฟะ..นี่เขาจะลากผมไปทั้งอย่างนี้จริงดิ..?
“เอาล่ะ…พวกเรามาถึงแล้ว!!”
“เฮ้ออ….เจ็บแขนเป็นบ้า”
ซึ่งในตอนนี้ผมก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา
ตูว่าแล้ว…ที่นี่มันถ้ำของพวกกลุ่ม A ชัดๆ
เพราะรอบข้างของผมนั้นมันเต็มไปด้วยพวกคู่รักหน้าตาดีเรียงรายกันเต็มไปหมด..
“อ่ะ..”
หลังจากที่ผมเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่โคตรจะโดดเด่นในลานกว้างผมก็เผลอส่งเสียงแปลกๆออกไป
“โทคิวากิ…ซัง?”
แสงแดดที่เล็ดลอดผ่านต้นไม้เข้ามาได้ส่องไปที่คนๆนั้นราวกับว่าเขาเป็นคนที่ลงมาจากสวรรค์
ใช่แล้วครับ
คนๆนั้นก็คือท่านเทพธิดาของพวกเรานั่นเอง