พลั่ก!!
“โอ๊ยๆ ”
ในขณะที่นากากำลังตกอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดในโลกอันมืดมิดอยู่นั้น ทางด้านพรีมูล่าซึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับหญิงสาวผมสีแดงก็ได้หลุดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาเมื่อเธอพลาดท่าถูกลูกถีบของคู่ต่อสู้เข้าไปจังๆ จนถึงกับกระเด็นถอยห่างออกมาไกลในขณะที่ทางด้านหญิงสาวผมสีแดงที่เมื่อสักครู่ยังดูมีท่าทีเหมือนกับว่าจะสนใจในวิธีการสร้างดาบน้ำแข็งของพรีมูล่าอยู่ก็กลับไปมีท่าทีเฉยชาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“คิดว่าลูกเล่นแบบเดิมๆ ที่คนอื่นเคยเห็นไปครั้งนึงแล้วมันจะใช้ได้ผลจริงๆ หรือไงแม่สาวน้อย… น่าเสียดายนะ ทั้งๆ ที่เธอกับเจ้าหนูนั่นดูท่าทางจะมีอนาคตแท้ๆ …”
ในขณะที่หญิงสาวผมสีแดงกำลังเอ่ยปากพูดขึ้นมาอยู่นั้นเธอก็ได้ย่างเท้าเดินเข้าไปใกล้พรีมูล่าที่กำลังยืนโซเซกุมท้องของตัวเองตรงที่โดนลูกถีบเข้าไปเมื่อสักครู่นี้อยู่ด้วยความเจ็บปวดอย่างช้าๆ และหยุดเท้าลงที่เบื้องหน้าของพรีมูล่าเพื่อจ้องมองด้ามมีดสีเงินที่เด็กสาวได้ใช้เพื่อสร้างใบดาบน้ำแข็งออกมาอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงพูดพึมพำขึ้นมาต่อ
“น่าเสียดายๆ … แต่ก็ช่างมันละกัน”
ฟวับ—
ทันทีที่หญิงสาวผมสีแดงพูดพึมพำออกมาจนจบเธอก็ได้ตวัดดาบสั้นของเธอเข้าใส่พรีมูล่าอย่างรวดเร็วจนทำให้พรีมูล่าที่ตกเป็นเป้าหมายได้แต่ต้องหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว
“พ–พี่นากาช่วย—”
แคร๊ง!!
“—!?”
ในชั่วพริบตาที่พรีมูล่าหลับตาลงไปก็ได้มีเสียงของโลหะกระทบกันอย่างรุนแรงดังขึ้นมาที่เบื้องหน้าของเธอจนทำให้พรีมูล่าต้องรีบลืมตากลับขึ้นมาดูสิ่งที่เกิดขึ้น และนั่นก็ทำให้เธอได้พบว่าพี่ชายของเธอที่ควรจะพาเด็กสาวผมสีขาวที่ได้รับบาดเจ็บหลบหนีไปตั้งนานแล้วกำลังใช้ดาบสีเทาเปื้อนเลือดยันกับดาบสั้นของหญิงสาวผมสีแดงเอาไว้อย่างยากลำบากเพราะเรี่ยวแรงที่มีเหลือล้นของอีกฝ่าย
“พรีมูล่าขอโล่!”
“อะ–อื้อ!!”
แกร๊ก—
พรีมูล่าที่ได้ยินคำสั่งของพี่ชายของเธอได้รีบส่งวิซธาตุน้ำแข็งของตนเองไปที่ถุงมือของนากาอย่างรวดเร็ว และเมื่อนากาเห็นว่ามีโล่น้ำแข็งงอกออกมาจากคริสตัลสีขาวที่ติดอยู่กับถุงมือของเขาแล้วเขาก็รีบใช้มันฟาดเข้าใส่หญิงสาวผมสีแดงในทันที
ผั่วะ!!
“หืมมม~ ก็จัดว่ากล้าดีไม่เบานี่… ฉันก็นึกว่านายจะพายัยเด็กจิ๋วหัวขาวตัวนั้นหนีไปแล้วซะอีก”
หญิงสาวผมสีแดงที่ถูกโล่น้ำแข็งบนหลังมือของนากาฟาดเข้าใส่จังๆ จนปลิวกระเด็นออกไปนั้นได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ ซะราวกับว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ได้ถูกการโจมตีของนากากระแทกเข้าใส่จนปลิวกระเด็นออกไปแต่ว่าจงใจกระโดดเว้นระยะห่างออกไปเองอย่างไรอย่างนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนากาที่สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกระแทกที่โล่ของเขาก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าหญิงสาวผมสีแดงโดนโล่ของเขากระแทกเข้าไปจังๆ อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องจับจ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาระแวดระวังจนทำให้หญิงสาวผมสีแดงที่สังเกตเห็นแบบนั้นได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“แววตาใช้ได้นี่… แล้วเรื่องฝีมือจะเทียบเท่ากับแววตานั่นได้หรือเปล่าล่ะ!?”
ฟุ๊บ—
ทันทีที่หญิงสาวผมสีแดงเอ่ยปากพูดขึ้นมาจนจบเธอก็พุ่งตัวเข้าไปหานากาอีกครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็วพร้อมกับสะบัดใบดาบสั้นของเธอไปทางด้านข้างเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเธอน่าจะพุ่งเข้ามาฟันใส่เขาตรงๆ จากทางด้านข้างอย่างแน่นอน จนทำให้นากาต้องรีบตั้งโล่น้ำแข็งของเขาขึ้นมาเพื่อรอรับการโจมตีที่รวดเร็วเกินความคาดหมายของอีกฝ่าย
แต่ทว่าในชั่วขณะที่นากาขยับแขนขึ้นมาเพื่อยกโล่น้ำแข็งของเขาขึ้นมาป้องกันนั้น ร่างของหญิงสาวผมสีแดงก็ได้หายไปจากสายตาของเขาภายในชั่วพริบตาและหลงเหลืออยู่เพียงแค่ดาบสั้นที่อีกฝ่ายใช้เป็นอาวุธที่กำลังหมุนควงตรงเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วสูง
“—-!?”
ซึ่งในขณะที่นากากำลังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้นเขาก็สังเกตเห็นร่างเงาอันพร่ามัวของอีกฝ่ายที่เขาสามารถมองเห็นทะลุได้ผ่านโล่น้ำแข็งบนหลังฝ่ามือ และนั่นก็ทำให้นากาได้พบว่าคู่ต่อสู้ของเขากำลังพุ่งไถลตรงเข้ามาหาเขากับพื้นด้วยความเร็วสูงหลังจากที่อีกฝ่ายน่าจะปาดาบสั้นเข้ามาใส่โดยใช้มุมอับที่เกิดจากโล่ในมือของเขาเองช่วยปกปิดวิธีการโจมตีของเธอเอาไว้
และเมื่อนากาได้เห็นแบบนั้นเขาก็สามารถคาดเดาได้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาคงจะกะเวลาการโจมตีอีกอย่างหนึ่งของเธอให้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับดาบสั้นที่เธอขว้างออกมาเพื่อโจมตีเข้าใส่เขาจากสองทางพร้อมๆ กันอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องรีบพลิกตัวเพื่อหลบดาบสั้นที่พุ่งเข้ามาเป็นเส้นตรงที่เขาสามารถหลบหลีกได้ง่ายกว่าเพื่อที่เขาจะได้ใช้โล่น้ำแข็งในการเข้าป้องกันการโจมตีอีกอย่างหนึ่งของหญิงสาวผมสีแดงแทน
เพล้ง!!
“อั๊ก–!?”
โล่น้ำแข็งที่นากาใช้เพื่อเข้ารับการโจมตีที่สองของหญิงสาวผมสีแดงนั้นถึงกับแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อมันสัมผัสเข้ากับลูกถีบของอีกฝ่ายที่ใช้แขนทั้งสองข้างดีดตัวเองขึ้นมาจากพื้นอย่างแรงจนมีความเร็วราวกับลูกกระสุนอีกทั้งมันยังส่งผลให้นากาถึงกับกระเด็นถอยไปข้างหลังไกลหลายเมตรอีกด้วย
“ก็ใช้ได้… แต่อย่ามาทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังไปมากกว่านี้จะได้มั้ยหะ!!”
หญิงสาวผมสีแดงที่เห็นว่าโล่น้ำแข็งของนากาแตกกระจายหายไปภายในการโจมตีครั้งเดียวได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดพร้อมกับสะบัดดาบสั้นของเธอที่เธอคว้ามันเอาไว้กลางอากาศหลังจากที่ส่งลูกถีบเข้าใส่นากาจนกระเด็นออกไปอย่างแรงเพื่อระบายความหงุดหงิด
ส่วนทางด้านนากาที่ปลิวกระเด็นออกไปนั้นก็ได้แต่ต้องหน้าซีดกับพละกำลังของอีกฝ่ายที่สามารถทำลายโล่น้ำแข็งของพรีมูล่าที่จัดว่ามีความทนทานระดับหนึ่งได้ภายในครั้งเดียวอีกทั้งยังมีเรื่องท่วงท่าการโจมตีประหลาดๆ ของอีกฝ่ายที่เขาคาดไม่ถึงนั่นอีกด้วย
วิ๊ง….
ในขณะที่นากากำลังพยายามเค้นหาวิธีการถ่วงเวลาอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อให้พรีมูล่าที่ยืนหลบอยู่ใกล้ๆ หนีกลับไปที่หมู่บ้านก่อนอยู่นั้นเอง อยู่ๆ เลือดสีแดงที่เปื้อนอยู่บนใบดาบสีเทาในมือของเขาก็ได้เรืองแสงจางๆ ออกมา ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีภาพท่วงท่าการต่อสู้ต่างๆ ของหญิงสาวผมสีแดงเบื้องหน้าผุดขึ้นมาในหัวของเขาอย่างต่อเนื่องราวกับว่าเขาเคยสู้กับอีกฝ่ายมาก่อนหน้านี้แล้วอย่างไรอย่างนั้น
การรื้อฟื้นเสร็จสิ้น ที่เหลือขึ้นอยู่กับตัวนายเองแล้ว…
ในขณะที่นากากำลังรู้สึกสับสนกับภาพที่ปรากฏขึ้นมาภายในหัวของเขาอยู่นั้นเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าจะได้ยินแว่วเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่ดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาต้องรีบเหลือบตาไปมองรอบๆ เพื่อหาต้นตอของเสียงที่ว่านั่นในทันที
“ถึงพวกแกจะเป็นแค่พวกลูกเจี๊ยบก็เถอะ… แต่ในเมื่อคิดจะเข้ามายุ่งกับภารกิจของฉันแบบนี้แล้วก็คงจะปล่อยให้รอดไปไม่ได้หรอกนะ”
ในขณะที่นากากำลังพยายามมองหาต้นตอของเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาอยู่นั้น ทางด้านหญิงสาวผมสีแดงที่สังเกตเห็นว่านากากำลังพยายามมองหาอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ จนทำให้นากาได้แต่ต้องละความสนใจไปจากเจ้าของเสียงที่เขาหาตัวไม่เจอเพื่อหันกลับไปตั้งสมาธิรับมือกับสถานการณ์เบื้องหน้าก่อน
“พรีมูล่าขอโล่หน่อย!”
“หึ… มันต้องอย่างงี้สิ! ถ้างั้นก็เข้ามา!!”
หญิงสาวผมแดงที่เห็นว่านากายังคงมีใจสู้อยู่ได้ยืนรออยู่เฉยๆ เพื่อให้พรีมูล่าสร้างโล่น้ำแข็งให้นากาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เธอจะมองดูการตั้งท่าของนากาที่ยกโล่น้ำแข็งเอาไว้เบื้องหน้าแล้วจึงตั้งท่าแบบเดียวกันทั้งๆ ที่ตัวเธอเองไม่ได้ถือโล่เอาไว้จนดูแล้วราวกับว่าเธอกำลังอ่อนข้อให้หรือไม่ก็กำลังเล่นสนุกอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาที่เห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทางราวกับว่ากำลังดูถูกเขาอยู่ได้ตัดสินใจที่จะพุ่งเข้าไปฟาดดาบเปื้อนเลือดในมือของเขาเข้าใส่อีกฝ่ายก่อนอย่างรวดเร็ว
เคร๊ง! เคร๊ง!
หญิงสาวผมสีแดงที่ตั้งใจตกเป็นฝ่ายตั้งรับการโจมตีในครั้งนี้ได้ใช้ดาบสั้นของเธอเข้ารับดาบเปื้อนเลือดของนากาอย่างใจเย็นโดยไม่ได้ใช้ท่วงท่าอะไรประหลาดๆ ออกมาอีกราวกับว่าเธอกำลังทดสอบฝีมือของเขาอยู่
ซึ่งหลังจากที่ทั้งสองคนใช้ดาบในมือของตัวเองฟาดฟันเข้าใส่กันได้สักพักหนึ่งหญิงสาวผมสีแดงก็ได้ขยับเท้าของตัวเองเล็กน้อยจนทำให้นากาเห็นช่องว่างที่เกิดขึ้นที่เขามั่นใจว่าจะสามารถโจมตีเข้าใส่อีกฝ่ายได้อย่างจังๆ อย่างแน่นอน
“….!!”
แต่ทว่าในชั่วขณะที่นากากำลังจะเหวี่ยงดาบเข้าใส่ช่องว่างที่เกิดขึ้นมานั้น เขาก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับการขยับตัวที่ตามมาของคู่ต่อสู้ของเขาอย่างน่าประหลาดใจเข้าซะก่อน และนั่นก็ทำให้นากาตัดสินใจที่จะหยุดยั้งการโจมตีของเขาเอาไว้และรีบเหวี่ยงโล่น้ำแข็งของเขาออกไปเบื้องหน้าอย่างแรงในทันที
เพล้ง! ปึ๊ก!!!
ทันใดนั้นเองโล่น้ำแข็งที่นากาเหวี่ยงออกไปเบื้องหน้าก็ได้ปะทะเข้ากับกำปั้นที่หญิงสาวผมสีแดงกำลังจะปล่อยออกมาอย่างรุนแรงจนทำให้มันแตกสลายกลายเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตา แต่ถึงอย่างนั้นตัวนากาเองก็แทบไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยแม้แต่น้อยเพราะว่าการที่เขาสะบัดโล่ออกไปก่อนนั้นได้ทำให้หมัดของหญิงสาวผมสีแดงไม่ได้อยู่ในระยะที่สามารถแสดงพลังของมันได้ออกมาได้อย่างเต็มที่นั่นเอง
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตานั้นได้ทำให้หญิงสาวผมสีแดงเบิ่งตาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะแสยะยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจพร้อมกับพูดตะโกนขึ้นมาเสียงดังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ฮ่า… นั่นแหล่ะ! แบบนั้นแหล่ะ!! ทำให้ฉันตื่นเต้นมากกว่านี้อีกสิ!!! ทำให้มันเร็วกว่านี้! รุนแรงกว่านี้!!”
“อะไรของยัยนี่เนี่ย!?”
นากาที่ได้เห็นท่าทางตื่นเต้นของหญิงสาวผมสีแดงถึงกับผงะไปด้วยสีหน้าแหยงๆ และพยายามที่จะปลีกตัวถอยออกมาจากอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวผมสีแดงก็กลับพุ่งตัวตามเข้ามาเพื่อหวังที่จะโจมตีเข้าใส่นากาในระยะประชิดอย่างต่อเนื่อง
แต่ว่าก่อนที่ทั้งสองคนจะได้ปะทะอาวุธกันอีกครั้งนั้นเองก็ได้มีเสียงร้องตะโกนของโมโกะดังขึ้นมาให้พวกเขาได้ยินเข้าซะก่อน
“นากานายอยู่ตรงไหนน่ะ! ฉันตามอารอนมาให้แล้วนะ!!”
“โมโกะจัง!! รีบพาพี่อารอนมาทางนี้เร็วเข้า!!”
“ชิ— ไหนยัยพวกนั่นบอกว่าหมอนั่นกลับรีมินัสไปแล้วไง…”
ในทันทีที่หญิงสาวผมสีแดงได้ยินเสียงของโมโกะดังขึ้นมานั้นเธอก็ถึงกับเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจและพุ่งตัวถอยออกห่างจากนากาไปทางดาบสั้นเล่มแรกของเธอที่ถูกพรีมูล่าแช่แข็งไปก่อนหน้านี้พร้อมก้มลงไปเก็บมันกลับขึ้นมา
“น่าเสียดายนะ… แต่ดูเหมือนว่าพวกเราจะหมดเวลาสนุกกันซะแล้วสิเจ้าหนู”
“ด–เดี๋ยว—”
นากาที่คลาดสายตาจากหญิงสาวผมสีแดงไปชั่วขณะเพราะว่าความเร็วในการเคลื่อนที่ของอีกฝ่ายรวดเร็วกว่าตอนที่เธอกำลังต่อสู้กับเขามากนั้นได้รีบหันไปทางทิศที่เสียงของเธอดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“……..”
แต่ทว่าเมื่อเขาหันมองไปทางนั้นเขาก็กลับไม่พบอะไรอย่างอื่นนอกจากแอ่งน้ำที่เกิดจากการที่น้ำแข็งของพรีมูล่าละลายลงไปเลยแม้แต่น้อยจนทำให้เขาได้แต่ต้องรีบวิ่งกลับไปดูอาการของเด็กสาวผมสีขาวที่นอนสลบไปแล้วพร้อมกับเอ่ยปากร้องเรียกอารอนไปด้วย
“อารอน! รีบมาทางนี้เร็วเข้า ทางนี้มีคนเจ็บอยู่!!”
“ไหนคนเจ็บอยู่ที่ไหน…!?”
หลังจากที่สิ้นเสียงร้องเรียกของนากาไปเพียงแค่ไม่นานสักเท่าไหร่นัก อารอนก็ได้โผล่พรวดออกมาจากพุ่มไม้ใกล้ๆ กันและเอ่ยปากถามหาคนเจ็บจากเด็กหนุ่มผมดำในทันที
“ก็นอนอยู่ตรงนี้นี่ไง เห็นยัยพรีมูล่าบอกว่าทำแผลให้แล้วน่ะ แต่ว่านายรีบตรวจดูอีกทีน่าจะดีกว่าล่ะมั้ง”
“อื้ม….. ห้ามเลือดได้ดีมากพรีมูล่า… นากาฉันฝากนายเรื่องเคลื่อนย้ายตัวคนเจ็บด้วย… ส่วนโมโกะ… ฉันฝากเธอหิ้วตัวพรีมูล่ากลับไปที่หมู่บ้านให้หน่อยสิ…”
อารอนที่ได้ทราบเรื่องราวคร่าวๆ จากโมโกะมาก่อนแล้วก็ได้ก้มลงไปตรวจดูอาการเบื้องต้นให้กับเด็กสาวผมสีขาวที่นอนสลบอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดสั่งงานขึ้นมาจนทำให้ทุกๆ คนต้องรีบขานตอบเขากลับไป
“อ่า เข้าใจแล้ว โมโกะ ฉันฝากพรีมูล่าด้วยนะ!”
“อื้อ! มานี่เลยยัยตัวแสบ!”
“เอ๋~ ไหงงั้นอ้ะโมโกะจัง หนูเดินเองได้นะ”
ในขณะที่เหล่าเด็กๆ กำลังจัดการทำสิ่งที่อารอนพูดสั่งขึ้นมากันอยู่นั้น ทางด้านนายแพทย์หนุ่มร่างเล็กก็ได้หันไปเลิกคิ้วมองสำรวจดูพื้นที่รอบๆ ที่เต็มไปด้วยเศษซากเหล็กสีดำชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ที่กำลังลุกไหม้อยู่ทั่วบริเวณและพูดพึมพำขึ้นมาด้วยความสงสัย
“แล้วนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่กันล่ะเนี่ย…”
ถึงแม้ว่าสภาพของเศษเหล็กต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณจะทำให้อารอนรู้สึกสงสัยอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ว่าเขาก็ไม่ได้มีเวลาให้สำรวจดูพวกมันมากนักเมื่อทางด้านนากาได้อุ้มร่างของเด็กสาวผมสีขาวขึ้นมาและออกเดินตามหลังโมโกะที่จับแขนของพรีมูล่าเอาไว้แน่นเพื่อเดินทางกลับไปที่หมู่บ้านกันแล้วจนทำให้เขาต้องละสายตาออกมาจากเศษเหล็กต่างๆ เพื่อรีบเดินตามพวกเด็กๆ กลับไปรักษาตัวคนไข้ที่หมู่บ้านด้วยเช่นเดียวกัน
“เตรียมห้องฉุกเฉิน! นากาเอาตัวคนเจ็บไปนอนที่เตียงนั่นแล้วเดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการเอง!”
ทันทีที่พวกเขาเดินทางกลับไปถึงคลินิกของอารอนที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของหมู่บ้านแล้ว อารอนก็ได้ผลักประตูเข้าไปด้านในและเอ่ยปากพูดสั่งพยาบาลผมบลอนด์ที่นั่งอยู่ที่ด้านหลังเคาน์เตอร์ต้อนรับและนากาขึ้นมา
ซึ่งนั่นก็ทำให้นางพยาบาลผมบลอนด์ต้องรีบวิ่งหายเข้าไปด้านในห้องฉุกเฉินที่ตั้งอยู่ไม่ห่างไปจากประตูทางเข้าคลินิกมากนักด้วยความรวดเร็วในขณะที่ทางด้านนากาก็ได้พาตัวเด็กสาวผมสีขาวไปนอนลงบนเตียงคนไข้ติดล้อเลื่อนที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กันก่อนที่อารอนจะเข็นมันหายเข้าไปด้านในห้องฉุกเฉินในทันทีโดยไม่ได้พูดสั่งอะไรนากาเอาไว้อีกจนทำให้นากาได้แต่ต้องเดินไปนั่งพักที่บริเวณเก้าอี้รับแขกด้วยกันกับโมโกะในขณะที่ทางด้านพรีมูล่านั้นก็กลับทำตาเป็นประกายและเดินไปนั่งบนเก้าอี้ด้านหลังเคาน์เตอร์ต้อนรับที่ปกติแล้วจะมีคุณพยาบาลผมบลอนด์นั่งประจำอยู่ตลอดเวลาด้วยความตื่นเต้น
“เฟเบิ้ล ดรีมเมอร์งั้นหรอ…”
นากาที่นั่งว่างงานอยู่ได้หยิบเอาดาบเปื้อนเลือดที่เขาใช้มันในการต่อสู้กับหญิงสาวผมสีแดงออกมาจ้องมองอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ จนทำให้โมโกะที่นั่งอยู่ข้างๆ กันหันมาพูดถามเขาด้วยความประหลาดใจในสิ่งที่เธอได้ยิน
“อะไรหรอนากา? นายคิดจะเริ่มเรียนภาษาโบราณขึ้นมาบ้างแล้วหรือไง?”
“หะ–? อ้อ เปล่าหรอก แค่ว่าอยู่ดีๆ คำคำนี้มันก็ผุดขึ้นมาในหัวเฉยๆ น่ะ… มันเป็นภาษาโบราณงั้นหรอโมโกะ เธอพอจะรู้หรือเปล่าว่ามันแปลว่าอะไรน่ะ?”
คำพูดของโมโกะที่อยู่ๆ ก็พูดถามขึ้นมาถึงกับทำให้นากาสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามอีกฝ่ายกลับไป เพราะว่าถ้าเขาจำไม่ผิดเพื่อนสาวหูแมวของเขาก็เหมือนจะสนใจเรื่องที่เกี่ยวกับอะไรโบราณๆ จำพวกนี้อยู่บ้าง
“เรื่องที่ว่ามันเป็นภาษาโบราณน่ะใช่แต่มันแปลว่าอะไรฉันก็ไม่รู้หรอกนะ… ถ้าฟังจากรูปแบบคำที่นายพูดขึ้นมาแล้วฉันคิดว่ามันน่าจะอยู่ในหมวด อ. ที่อยู่คนละที่มากับชื่อของยัยพรีมูล่าเขาน่ะ ถ้านายอยากจะรู้จริงๆ ก็ต้องไปคุ้ยหาเอาจากหนังสือในเมืองแล้วล่ะมั้งเพราะในหมู่บ้านของพวกเราไม่มีหนังสือที่เกี่ยวกับภาษานั่นให้หาอ่านนักหรอก”
โมโกะที่เคยถูกพรีมูล่าพูดถามเกี่ยวกับที่มาของชื่อของตัวเองอยู่บ่อยๆ นั้นก็ได้พูดตอบนากากลับไปด้วยความเหนื่อยใจ เพราะว่าก่อนหน้านี้กว่าที่เธอจะตอบคำถามให้ยัยตัวแสบได้เธอก็แทบจะต้องไปคุ้ยหนังสือที่เกี่ยวข้องกับภาษาโบราณที่มีนับสิบนับร้อยภาษาจนกระทั่งได้คำตอบไปให้ยัยเด็กตัวแสบนั่นล่ะอีกฝ่ายถึงจะเลิกมาตอแยกับเธอ
“เออนี่ แล้วนายรู้มั้ยว่าก่อนหน้านี้ที่ยัยพรีมูล่ามาตื๊อถามฉันเกี่ยวกับที่มาของชื่อของเธอจนฉันต้องเสียเวลาไปคุ้ยหาหนังสือเกี่ยวกับภาษาโบราณที่โรงเรียนจนได้คำตอบนั่นน่ะ ยัยบ้านั่นดันลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นคนพูดถามขึ้นมาเองแล้วก็มาโกรธฉันหาว่าฉันมัวแต่ทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้จนไม่ยอมไปเล่นกับเธอเป็นสัปดาห์ด้วยล่ะ”
“หา…? ไอที่เธอมาบ่นให้พี่ฟังว่าโมโกะไม่ยอมไปเล่นกับเธอเมื่อตอนนั้นนั่นน่ะนะพรีมูล่า?”
“ฟรี๊~~~”
“เฮ้อ… ให้ตายสิยัยตัวแสบนี่ พอจบเรื่องแล้วก็นอนสบายใจเฉิบเลยนะ…”
เสียงกรนเบาๆ ของพรีมูล่าที่ดังขึ้นมาแทนคำตอบของเธอได้ทำให้นากาได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจในขณะที่ทางด้านโมโกะที่ไม่ได้คิดอะไรมากนักเพราะว่าปกติพรีมูล่าก็มักจะทำตัวประหลาดๆ แบบนี้อยู่แล้วก็ได้พยายามพูดแก้ตัวขึ้นมาแทนให้เธอ
“น่าๆ ปกติแล้วยัยพรีมูล่าก็ทำแบบนี้อยู่บ่อยๆ จนฉันชินแล้วนั่นแหล่ะ… อีกอย่างนึงคราวนี้พวกเราก็ต้องขอบคุณพรีมูล่าเขาด้วยล่ะนะที่ทำให้พวกเราช่วยเด็กผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ได้น่ะ”
“เฮ้อ… ก็นั่นสินะ…”
“แล้วก็… ฉันเองก็ต้องขอโทษเรื่องที่ฉันทิ้งพวกนายเอาไว้ในป่าเมื่อกี้นี้ด้วยเหมือนกันนะนากา…”
“ทิ้ง? เธอก็แค่รีบวิ่งกลับมาตามอารอนไปรักษาเด็กคนนั้นเองไม่ใช่หรอ?”
นากาที่ได้ยินคำพูดของโมโกะได้แต่เอ่ยปากถามเพื่อนของเขากลับไปด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าเมื่อสักครู่นี้มันก็เป็นเขาเองนี่ล่ะที่เป็นคนสั่งให้โมโกะวิ่งกลับมาตามอารอนไปรักษาเด็กผู้หญิงผมสีขาวที่พวกเขาเจอในป่านั่น
“ก็… ที่จริงแล้วตอนอยู่ในป่านั่นฉันรู้สึกเหมือนกับว่าถูกอะไรสักอย่างจ้องมองอยู่ก็เลยหาโอกาสรีบวิ่งหนีออกมาคนเดียวก่อนน่ะ…”
“หมายถึงตอนที่เธอยืนเหม่ออยู่ในป่านั่นน่ะหรอ? นี่เธอรู้สึกอะไรแบบนั้นได้ด้วยหรอเนี่ย?”
“อ..อื้อ… มันให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังถูกสัตว์ป่าจ้องจะล่าอยู่เลยน่ะ…”
“เห… สุดยอดไปเลยไม่ใช่หรอน่ะ ฉันเองก็อยู่ที่นั่นด้วยแท้ๆ แต่ก็ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรสักนิดเลยนะนั่น”
คำพูดอธิบายของโมโกะได้ทำนากาพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจโดยไม่มีท่าทีว่าจะต่อว่าโมโกะที่ไม่ยอมเอ่ยปากเตือนพวกเขาและหนีไปก่อนคนเดียวเลยแม้แต่น้อยจนทำให้เป็นทางด้านโมโกะบ้างที่ต้องรู้สึกประหลาดใจจนอดไม่ได้ที่จะพูดถามขึ้นมา
“นายไม่โกรธหรอ…?”
“หือ…? ก็ไม่เห็นจะต้องโกรธอะไรเลยนี่ เพราะเธอเองก็รีบไปตามอารอนกลับมาช่วยพวกฉันจริงๆ ไม่ใช่หรือไงน่ะ แล้วถ้าเกิดว่าตอนนั้นเธอหิ้วพรีมูล่ากลับไปด้วยมันก็คงจะไม่เร็วเท่ากับตอนเธอวิ่งตัวคนเดียวใช่มั้ยล่ะ”
“งั้นหรอ…”
“ก็ใช่น่ะสิ เพราะงั้นเธอไม่ต้องคิดมากหรอกนะ”
นากาที่เห็นว่าโมโกะยังคงมีท่าทางหงอยๆ อยู่ได้ยกมือขึ้นมาลูบหัวเธอเบาๆ ก่อนที่เขาจะเอนหลังลงไปกับพนักเก้าอี้และพูดบ่นขึ้นมาเบาๆ
“เฮ้อ… แต่พอได้นั่งพักแบบนี้แล้วมันก็เริ่มจะรู้สึกง่วงเหมือนกันนะเนี่ย…”
“อ้าว… อ๋อ จะว่าไปแล้วเมื่อเช้านี้นายก็ตื่นเช้ากว่าปกตินี่นะ ถ้างั้นตอนนี้นายนอนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวถ้ามีอะไรฉันจะปลุกนายเอง”
“อืม…”
นากาพูดตอบโมโกะกลับไปสั้นๆ ก่อนที่สติของเขาจะหลุดลอยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้ฟังเสียงร้องโวยวายอะไรบางอย่างของโมโกะจนจบ
“อ่ะ— ด–เดี๋ยวก่อนสิ….นาก….”
“อ่ะ เสร็จเรียบร้อยแล้วหรออารอน อาการของเด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“อื้ม…?”
หลังจากที่นากาตกอยู่ในห้วงนิทราคาเก้าอี้มาเป็นเวลานานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบนั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของโมโกะดังขึ้นมาให้เขาได้ยินพร้อมๆ กับที่อะไรสักอย่างหนึ่งที่เขาใช้มันพิงเป็นหมอนหนุนได้หายไปอย่างกะทันหันจนทำให้นากาจำเป็นต้องลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความสงสัย และนั่นก็ทำให้นากาได้พบเข้ากับโมโกะที่กำลังยืนคุยอยู่กับอารอนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลสักเท่าไหร่นัก
“ก็พ้นขีดอันตรายแล้วล่ะ… แต่ว่าเอาจริงๆ แล้วดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นเขาจะอายุมากกว่าเธอกับนากาอีกนะโมโกะ…”
อารอนพูดอธิบายออกมาให้โมโกะฟังสั้นๆ ก่อนที่เขาจะหันไปหานากาที่กำลังนั่งขยี้ตาอยู่ด้วยความงัวเงียและเอ่ยปากทักทายเขาขึ้นมา
“ว่าไง… ตื่นแล้วหรอนายน่ะ…”
“อ—อ่า มีอะไรหรือเปล่าหรออารอน?”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก… ฉันแค่อยากจะรู้ที่มาที่ไปของเด็กผู้หญิงคนนั้นสักหน่อยน่ะว่าพวกนายไปเจอตัวเธอนอนเจ็บอยู่อย่างงั้นได้ยังไง… แล้วไหนจะยังมีดาบเปื้อนเลือดเล่มนั้นอีก… นี่นายเอามันไปฟันอะไรมาหรือไงน่ะ…?”
“อ่า… คือว่าหลังจากที่ฉันวิ่งตามพรีมูล่าเข้าไปข้างในป่าแล้วมันก็……..”
ถึงแม้ว่าอารอนจะเอ่ยปากพูดถามขึ้นมาด้วยท่าทีที่ดูราวกับว่าเขาเป็นผู้ปกครองของนากาแต่ว่าทางด้านตัวนากาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากนักและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาออกไปให้นายแพทย์หนุ่มฟังแต่โดยดี เนื่องจากว่าอารอนได้มาคอยช่วยดูแลตัวเขาและพรีมูล่ามาตั้งแต่สมัยก่อนตามคำขอของคุณแม่ของพวกเขาที่ออกไปทำงานในเมืองจนไม่ได้เจอหน้ากันมาเป็นเวลานานแล้ว
ซึ่งถึงแม้ว่าตัวอารอนเองจะมีคลินิกเปิดอยู่ที่เมืองรีมินัสอันเป็นหนึ่งในสี่เมืองหลวงที่ตั้งอยู่ในทวีปนี้อยู่แล้วก็ตามแต่ว่าเขาก็ยังคอยหาโอกาสกลับมาหาพวกเขาสองพี่น้องอยู่เป็นประจำจนทำให้ทั้งนากาและพรีมูล่าคิดกับเขาไม่ต่างไปจากพี่ชายแท้ๆ เลยซะด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องที่นากาเล่าก็กลับไม่ได้เล่าระบุไปถึงรายละเอียดของผู้หญิงผมสีแดงที่มาโจมตีพวกเขาในป่าอย่างละเอียดมากนักโดยบอกไปเพียงแค่ว่าอยู่ดีๆ ก็มีคนเข้าโผล่มาจะทำร้ายพวกเขาเพราะเขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญสักเท่าไหร่นัก
“นายจ้องเข้าไปในตาของเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วอยู่ๆ ก็มีดาบเล่มนี้โผล่มางั้นหรอ… ขอฉันดูเจ้าดาบนั่นหน่อยสิ…”
“เอ๋ะ? อื้ม ได้สิ”
นากาที่ได้ยินคำขอของอารอนได้ยื่นดาบสีเทาเปื้อนเลือดในมือของเขาไปให้อีกฝ่ายแต่โดยดี ซึ่งอารอนก็ได้นำมันไปส่องดูใกล้ๆ และลองพยายามที่จะเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่บนใบดาบออกอยู่สักพักหนึ่งจนกระทั่งเขาสังเกตเห็นว่าตัวคราบเลือดเหมือนจะฝังแน่นติดอยู่กับใบดาบจนไม่สามารถเช็ดออกได้เขาจึงส่งมันคืนให้กับนากาไปและเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“แปลกจังแฮะ… แต่ก็เอาเถอะ… นายได้อาวุธอะไรดีๆ แบบนี้มาใช้งานมันก็ดีแล้วล่ะ… ว่าแต่แล้วนายจะเอายังไงหลังจากนี้ล่ะ… ตอนนี้ทั้งนายทั้งพรีมูล่าก็เรียนจบชั้นต้นกันแล้วนี่…”
คำถามที่อารอนพูดถามขึ้นมาได้ทำให้นากาชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอนหลังไปกับพนักพิงของที่นั่งแล้วจึงเอ่ยปากพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงกลุ้มใจ
“เฮ้อ… นายเองก็รู้นี่ว่าพอฉันใช้วิซไม่ได้แบบนี้ทางเลือกงานที่จะทำมันก็น้อยลงไปด้วยน่ะ… เอาจริงๆ ต้องบอกว่ามันแทบจะไม่เหลืองานอะไรที่ฉันน่าจะไปสมัครได้เลยซะด้วยซ้ำล่ะมั้ง… ส่วนทางด้านยัยพรีมูล่านี่ฉันเคยได้ยินพวกอาจารย์เขาพูดกันราวๆ ว่าอยากจะให้เธอได้ไปเรียนต่อในเมืองเพราะว่าเธอมีวิซธาตุน้ำแข็งน่ะ…”
“หะ— พี่นากาเรียกหนูหรอ….?”
ในทันทีที่มีชื่อของพรีมูล่าหลุดออกมาจากปากของนากานั้น เด็กสาวผมชมพูผู้ที่เป็นเจ้าของชื่อที่กำลังนั่งฟุบหลับอยู่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับก็ได้เงยหน้าขึ้นมาพูดถามพี่ชายของเธออย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงงัวเงียจนทำให้นากาได้แต่ต้องโบกมือไล่เธอกลับไปนอนต่ออีกครั้งหนึ่ง
“ไม่มีใครเรียกสักหน่อย เธอกลับไปนอนต่อก่อนเถอะ”
“งื้ม….”
พรีมูล่าที่ได้ยินคำพูดของพี่ชายของเธอได้ฟุบลงไปกับโต๊ะอีกครั้งหนึ่งในขณะที่ทางด้านโมโกะที่ได้ยินนากาพูดถึงคำว่าอาจารย์ขึ้นมาก็นึกถึงอะไรบางอย่างที่พวกเธอจะต้องไปทำกันในวันนี้ขึ้นมาได้
“เดี๋ยวนะนากา— ไม่ใช่ว่าวันนี้พวกอาจารย์เขานัดพวกเราไปคุยเรื่องนี้กันที่โรงเรียนหรอกหรอน่ะ?”
“อ่ะ—!! นั่นสิ! นี่หนูอุตส่าห์ปลุกพี่นากาตั้งแต่เช้าเพื่อให้พี่นากาได้มีเวลาเตรียมตัวเลยนะเนี่ย!”
คำพูดของพรีมูล่าที่เงยหน้ากลับขึ้นมาพูดอีกครั้งนั้นถึงกับทำให้นากาที่รู้สึกว่ามันฟังดูคุ้นๆ หูเหมือนกับว่าเขาเพิ่งจะได้ยินมันไปเมื่อเช้านี้คิ้วกระตุกเล็กน้อย แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้มีโอกาสได้เข้าไปจัดการเล่นงานยัยน้องสาวตัวแสบอีกครั้งหนึ่งเขาก็กลับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิ— นี่มันกี่โมงแล้วเนี่ย?”
“เลยเที่ยงมาได้สักพักนึงแล้วล่ะ… ก็ทั้งนายทั้งพรีมูล่าเล่นหลับเป็นตายกันแบบนั้นนี่นะ…”
อารอนที่ได้ยินคำถามของนากาได้พูดตอบเขากลับไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ เหมือนกับทุกทีก่อนที่เขาจะคว้าตัวนากาเอาไว้ก่อนเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังทำท่าเหมือนกับกำลังจะพุ่งไปหิ้วตัวพรีมูล่าเพื่อมุ่งตรงไปยังโรงเรียนกัน
“แต่ฉันว่านายไม่ต้องไปปรึกษาเรื่องนั้นกับอาจารย์ที่โรงเรียนแล้วล่ะ… ฉันคิดว่าฉันมีแผนที่ดีกว่านั้นให้กับพวกนายแล้ว…”
“แผนที่ดีกว่างั้นหรอ?”
“อื้ม… ถ้าเกิดว่ามันสำเร็จอย่างน้อยๆ มันก็น่าจะทำให้ทั้งนายทั้งพรีมูล่าได้มีโอกาสเรียนต่อหรือว่ามีงานการทำที่ดีกว่าที่หาได้ภายในหมู่บ้านนี้แน่ๆ ล่ะ… เพราะว่ายังไงแล้วอาจารย์พวกนั้นก็คงจะไม่มีคำแนะนำอะไรดีๆ ให้นายสักเท่าไหร่หรอกใช่มั้ยล่ะ… เอาเป็นว่านายนั่งรอฉันจัดการเอกสารให้เสร็จอยู่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน…”
อารอนพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่เขาจะเดินหายกลับเข้าไปในห้องพักที่อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ต้อนรับอีกครั้งหนึ่งจนทำให้นากาได้แต่นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้พลางก้มหน้าลงเพื่อใช้ความคิดอยู่คนเดียว
ซึ่งเมื่อเขาได้ลองนั่งคิดดูแล้วสิ่งที่อารอนได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้นั้นก็นับว่าเป็นความจริง เพราะว่าพวกอาจารย์ที่โรงเรียนที่รู้ว่าเขาไม่สามารถใช้วิซได้และแทบจะมองว่าเขาไม่ได้ต่างไปจากคนพิการแขนขาขาดสักเท่าไหร่นักต่างก็มีท่าทีลำบากใจเหมือนกับไม่รู้ว่าพวกเขาจะแนะนำนากายังไงดีนอกจากจะบอกว่าให้เขาไปเป็นกรรมกรใช้แรงงานก่อสร้างหรือว่ายามเฝ้าหมู่บ้านอะไรจำพวกนั้น
“เฮ้อ…”
และเมื่อนากาคิดได้แบบนั้นเขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนจะหันไปทางด้านพรีมูล่าและโมโกะที่กำลังนั่งคุยเล่นกันอยู่ที่แถวๆ เคาน์เตอร์ต้อนรับและเอ่ยปากพูดถามออกไป
“ว่าแต่สรุปแล้วเธอจะเอายังไงล่ะพรีมูล่า เห็นพวกอาจารย์เขาชอบพูดอยู่บ่อยๆ ว่าถ้าเธออยากจะไปเรียนต่อที่โรงเรียนในเมืองก็ให้ไปบอกพวกอาจารย์เขานี่พวกอาจารย์เขาจะได้เขียนจดหมายแนะนำให้น่ะ”
“ไม่เอาอ่ะ! ที่พวกอาจารย์เขาพูดกันเขาหมายถึงแค่ตัวหนูคนเดียวไม่ใช่หรอ ถ้าเกิดว่ามีแค่หนูที่ได้ไปเรียนต่อในเมืองคนเดียวแล้วมันจะมีความหมายอะไรอ่ะ!!”
“อย่าเพิ่งโวยวายสิพรีมูล่า… ถ้าเกิดว่าเธอได้ไปเรียนต่อในเมืองจริงๆ เดี๋ยวพี่ก็จะหาวิธีตามไปด้วยให้ได้เองนั่นแหล่ะ”
“ม่ายยยยยเอาาาาาา!! ถ้าหนูได้ไปเรียนในเมืองพี่นากาก็ต้องได้ไปเรียนด้วยกันด้วยสิ!!”
พรีมูล่าที่ได้ยินคำพูดของนากาได้แหกปากร้องออกมาเสียงดังจนทำให้ทั้งนากาและโมโกะได้แต่หันไปยิ้มแห้งๆ ให้แก่กันเพราะว่าพวกเขาเองก็รู้ดีกันอยู่แล้วว่าพรีมูล่าเป็นเด็กที่ติดทั้งเพื่อนทั้งครอบครัวขนาดไหน และนั่นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องเดินเข้าไปลูบหัวของพรีมูล่าเพื่อให้เธอหยุดการงอแงลงก่อน
แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้พูดเกลี้ยกล่อมอะไรออกมาคุณพยาบาลสาวผมบลอนด์ก็ได้เปิดประตูเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับถุงขยะจำนวนหนึ่งและเอ่ยปากเรียกนากาขึ้นมา
“อ่ะ— พวกเธอยังอยู่กันหรอ คนไข้เขาได้สติแล้วนะจ๊ะพวกเธอไม่ต้องกังวลแล้วล่ะ แล้วก็นากาคุงช่วยเข้าไปข้างในห้องฉุกเฉินหน่อยสิ พอดีว่าคนไข้เขายืนยันว่าอยากจะคุยกับเธอให้ได้น่ะ”
“เอ๋ะ? ผมหรอครับ?”
“จ้ะ ส่วนพรีมูล่าจังก็ไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเอาเลือดพวกนั้นออกก่อนเถอะจ้ะแล้วเดี๋ยวฉันจะเตรียมชุดใหม่ไปให้เปลี่ยนเอง”
“อ่ะ…หนูลืมไปซะสนิทเลยอ่ะ แฮะๆ”
คำพูดของพยาบาลสาวผมบลอนด์ได้ทำให้พรีมูล่าก้มลงมองดูสภาพของตัวเองก่อนที่เธอจะพบว่าตามเนื้อตัวของเธอนั้นยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดของเด็กสาวผมสีขาวอยู่อีกทั้งชายกระโปรงที่เธอฉีกออกมาทำเป็นผ้าพันแผลให้กับเด็กสาวผมสีขาวเองก็ขาดแหว่งจนดูแทบไม่ได้ และนั่นก็ทำให้พรีมูล่าได้แต่ต้องเดินตรงไปยังห้องอาบน้ำที่อยู่ส่วนด้านในของคลินิกอย่างรวดเร็ว
ส่วนทางด้านนากาที่ได้ยินคำพูดของพยาบาลสาวผมบลอนด์เรื่องที่ว่าเด็กสาวผมสีขาวต้องการจะพบเขาเองก็ได้แต่ต้องเดินตรงไปทางห้องฉุกเฉินด้วยเช่นกัน
และเมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปด้านในห้องฉุกเฉินแล้วเขาก็ได้พบเข้ากับเด็กสาวผมสีขาวที่ในขณะนี้ได้มีผ้าพันแผลพันอยู่แทบจะทั้งตัวโดยเฉพาะตรงบริเวณไหล่ซ้ายที่ทะลุเป็นรูของเธอ ซึ่งเมื่อเด็กสาวผมสีขาวเห็นว่านากาเดินเข้ามาในห้องแล้วเธอก็ได้สะบัดนัยน์ตาสีแดงที่ดูเหมือนจะหงุดหงิดตลอดเวลาของเธอมาจับจ้องที่ใบหน้าของเขาโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาจนทำให้นากาได้แต่ต้องเอ่ยปากทักทายขึ้นมาอย่างหวาดๆ
“ว—ว่าไง…”