บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ – ตอนที่ 6

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

ครืดดดดดด…..

 

หลังจากที่รถกระบะที่พวกนากานั่งโดยสารออกมาจากหมู่บ้านได้ออกเคลื่อนตัวมาสักพักใหญ่ๆ อยู่ๆ รถกระบะของพวกเขาก็ได้ค่อยๆ ลดความเร็วลงอย่างช้าๆ แล้วจึงจอดหยุดนิ่งอยู่กับที่จนทำให้ทุกคนได้แต่ต้องหันไปมาสังเกตดูรอบๆ ด้วยความแปลกใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

 

แต่ทว่าก่อนที่ทุกคนจะได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกติ กระจกของห้องโดยสารที่อยู่ทางฝั่งคนขับก็ได้ถูกเลื่อนเปิดออกก่อนที่จะมีหญิงสาวผมสีแดงที่มีหูจิ้งจอกฟูฟ่องห้อยหัวออกมาพูดบอกทุกคนด้วยท่าทีอ่อนแรง

 

“ไม่ไหวแล้วค่าาาาา~~ ถ้ายังไงขอฉันพักที่นี่ก่อนได้หรือเปล่าคะคุณอารอน~”

 

“ให้ตายสิ… เดี๋ยวก็เจอคนเจ็บเดี๋ยวก็มีคนบุกเข้ามาแล้วไหนยังจะมีคนหมดแรงเพิ่มอีก… นี่จะอยู่กันแบบสงบๆ สักหน่อยไม่ได้เลยใช่มั้ยเนี่ย…”

 

“อ่ะๆ — ที่ฉันหมดแรงนี่มันเป็นเพราะว่าคุณอารอนเร่งรีบออกเดินทางก่อนกำหนดจนพวกฉันไม่มีเวลาได้พักฟื้นไม่ใช่หรอคะ~”

 

หญิงสาวหูจิ้งจอกผมสีแดงได้พูดเถียงอารอนกลับไปเล็กน้อยแล้วจึงเปิดประตูรถออกมานั่งพิงกับต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ถนนในขณะที่ทางด้านอารอนนั้นก็ได้คุ้ยหาหลอดยาขนาดเล็กๆ ที่มีของเหลวสีใสถูกบรรจุเอาไว้ภายในออกมาโยนให้กับเธอไป

 

ซึ่งหญิงสาวหูจิ้งจอกที่ได้รับหลอดยาไปจากอารอนก็ได้เปิดจุกฝาของมันออกแล้วจึงนำมันไปจ่อที่จมูกของเธอเพื่อสูดกลิ่นมันเข้าไปจนทำให้นากาที่เคยเห็นยาตัวนี้ของอารอนมาก่อนจนรู้ว่ามันคือยาสำหรับดมแก้วิงเวียนอดไม่ได้ที่จะกระโดดลงมาจากกระบะหลังรถและพูดถามคนขับรถของพวกเขาขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

 

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ…เอ่อ…”

 

“หืมมม~~”

 

หญิงสาวหูจิ้งจอกที่ได้ยินคำถามของนากาได้เอียงคอจ้องมองเขาด้วยท่าทีสนอกสนใจอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะยิ้มแป้นพร้อมกับพูดแนะนำตัวเองขึ้นมา

 

“ฉันชื่อว่า เอริซาเบธ จ้ะ~ แต่ถ้าเธอคิดว่ามันยาวไปก็เรียกฉันว่า เอริ เฉยๆ เลยก็ได้~”

 

“อ่า—ครับ แล้วคุณเอริซาเบธอาการเป็นยังบ้างหรอครับ”

 

“อุ้ยแหม่~ เธอเองก็คิดว่าชื่อของฉันมันยาวไปใช่มั้ยล่ะ จะเรียกว่าเอริเฉยๆ ก็ได้นะ~”

 

“เอ่อ… คุณเอริอาการเป็นยั—”

 

“อ่ะๆ — ฉันบอกว่าให้เรียกฉันว่าเอริเฉยๆ ก็ได้แต่ไม่ได้บอกว่าให้เรียกว่าคุณเอริสักหน่อยนะ~”

 

“อ–เอ่อ….”

 

นากาที่พยายามจะพูดจาสุภาพกับหญิงสาวผมสีแดงหูจิ้งจอกที่มีชื่อว่าเอริซาเบธที่ดูแล้วน่าจะมีอายุมากกว่าเขาเกือบสิบปีได้แต่ทำตัวไม่ถูกเมื่ออีกฝ่ายได้พูดตอบกลับมาน้ำเสียงทีเล่นทีจริงจนเขาดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายอยากจะให้เขาเรียกชื่อของเธอด้วยชื่อเล่นสั้นๆ นั่นจริงๆ หรือไม่

 

ซึ่งท่าทางกระอักกระอ่วนของนากาและท่าทีสนุกสนานของเอริซาเบธนั้นก็ได้ทำให้อารอนที่ดูเหมือนว่าจะรู้จักกับหญิงสาวหูจิ้งจอกคนนี้มาก่อนแล้วอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นขึ้นมา

 

“เธอก็อย่าไปแกล้งนากาเขาสิเอริ… ส่วนนากานายก็เรียกเอริซาเบธเขาว่าเอริไปเลยก็ได้นะเอริเขาไม่ถือหรอก… แล้วฉันเองก็ต้องขอโทษที่พวกเราต้องรีบออกเดินทางแบบนี้ด้วยละกันนะเอริ… แต่มันก็อย่างที่เธอเห็นว่ามันเป็นเหตุฉุกเฉินน่ะ…”

 

“แหม่~ ถ้าเกิดว่ามันเป็นเหตุฉุกเฉินทางฉันกับเดรคก็ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะคุณอารอน~”

 

“เดรคหรอครับ?”

 

ในขณะที่เอริซาเบธกับอารอนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง ทางด้านนากาที่ได้ยินชื่อที่เขาไม่คุ้นเคยดังขึ้นมาก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย ซึ่งท่าทีของนากาที่ยังคงพูดคำสุภาพออกมาอยู่นั้นก็ได้ทำให้เอริซาเบธเบ้ปากเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบเขากลับไปพร้อมกับยื่นมือออกไปขยี้หัวของนากาไปด้วย

 

“ก็หมายถึงพี่เบิ้มที่กระโดดออกไปช่วยพวกเธอที่หน้าคลินิกนั่นไงเขาชื่อว่าเดรคน่ะ แล้วก็เรื่องคำสุภาพนั่นน่ะช่างมันไปเถอะน่า ฉันยังไม่ได้แก่ถึงขนาดที่อยากจะให้คนอื่นมาพูดจาสุภาพใส่ตลอดเวลาหรอกนะ”

 

“โอ๊ยๆ โอเคครับๆ ถ้างั้นจะเรียกว่าเอริเฉยๆ ก็ได้”

 

นากาที่ถูกเอริซาเบธจับไปขยี้หัวเล่นได้แต่ต้องรีบพูดตอบเธอกลับไปก่อนที่ทางด้านอารอนจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามหญิงสาวหูจิ้งจอกขึ้นมาบ้าง

 

“แล้วตอนนี้พวกเราจะเอายังไงกันต่อล่ะเอริซาเบธ… ถึงเธอจะบอกว่าขอพักก่อนก็เถอะแต่ว่าอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงมันก็จะมืดแล้วนะ…”

 

“เฮ้อ… ฉันก็อยากจะเสนอให้เดรคเขาขับรถให้แทนอยู่หรอกนะคะ แต่ดูท่าทางว่าคุณอารอนจะไม่ยอมอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะคะเพราะว่าเดรคเขาเป็นคนขับรถตอนขามานี่นะ… ถ้างั้นคืนนี้พวกเราก็คงจะต้องพักกันที่นี่ก่อนแล้วล่ะค่ะเพราะถ้าให้ฉันฝืนขับต่อไปเดี๋ยวก็คงจะได้วิซหมดตัวจนล้มพับกันไปพอดี”

 

“เอ๋ะ? วิซนี่มันมีหมดกันได้ด้วยหรอ?”

 

“หืม~? มันก็ต้องมีอยู่แล้วสิ ถึงการเรียนการสอนในโรงเรียนจะไม่มีวิชาอะไรที่ต้องใช้วิซหนักๆ ก็เถอะแต่ว่าพวกเธอก็น่าจะเคยเผลอใช้วิซเล่นสนุกจนหมดแรงอยู่บ้างไม่ใช่หรอ~”

 

เอริซาเบธที่ได้ยินคำถามของนากาได้หันไปพูดถามเขากลับไปด้วยความประหลาดใจเพราะว่าในวัยเด็กนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็มักจะเผลอเล่นสนุกกับคริสตัลวิซจนต้องนอนหมดแรงกันอยู่สักครั้งสองครั้งจนเริ่มที่จะรู้ขีดจำกัดการใช้พลังของตัวเองกันอยู่แล้วทั้งนั้น ซึ่งคำพูดของเอริซาเบธนั้นก็ได้ทำให้นากาผงะไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกัก

 

“อ—เอ่อ… ฉันไม่เคยหรอก…. พอดีว่าฉันใช้วิซไม่ได้…น่ะ…”

 

“หะ…?”

 

คำตอบของนากาได้ทำให้เอริซาเบธหันกลับมาจ้องหน้าของเขาด้วยความประหลาดใจในสิ่งที่เธอได้ยินก่อนที่เธอจะเลิกคิ้วหันไปมองทางอารอนที่ดูเหมือนว่าจะสนิทกับเด็กๆ กลุ่มนี้ดีราวกับว่าอยากจะขอคำยืนยันจากเขา ซึ่งอารอนที่เห็นแบบนั้นก็ได้พยักหน้าให้กับเธออย่างเงียบๆ จนทำให้เอริซาเบธได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาเกาหัวของตัวเองและพูดพึมพำกับตัวเองออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะพูดถามนากาขึ้นมาตรงๆ

 

“ถ้าขนาดคุณอารอนก็ยังยืนยันแบบนั้นงั้นก็คงจะเป็นเรื่องจริงงั้นสินะเนี่ย… แต่ถ้าเกิดว่าเธอใช้วิซไม่ได้แบบนี้แล้วทำไมคนพวกนั้นถึงเข้ามาโจมตีพวกเธอถึงข้างในหมู่บ้านล่ะ… คือถ้าจะให้ฉันพูดตรงๆ แล้วพวกทหารรับจ้างแบบนั้นไม่น่าจะมาให้ความสนใจคนที่ใช้วิซไม่ได้แบบเธอเลยนะ”

 

“เธอก็พูดตรงเกินไปแล้วนะเอริซาเบธ…”

 

“โอ๊ยๆๆๆ คุณอารอนอย่าหยิกหูสิคะ!!”

 

คำพูดของเอริซาเบธนั้นได้ทำให้อารอนปีนลงมาจากหลังรถและจับหูข้างหนึ่งของเอริซาเบธบิดอย่างแรงจนทำให้เธอถึงกับต้องร้องโอดครวญออกมา ในขณะที่ทางด้านนากาพอจะทำใจกับเรื่องอะไรแบบนี้ได้แล้วก็ได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำเป็นเหมือนกับไม่ได้คิดอะไรมาก

 

“เอาน่าๆ ฉันไม่คิดอะไรมากหรอกน่าอารอน”

 

“ขอโทษเขาซะเอริซาเบธ”

 

ในขณะที่นากากำลังพยายามพูดจาไกล่เกลี่ยออกมาอยู่นั้นก็ได้มีเสียงนิ่งๆ ของชายหนุ่มร่างยักษ์ที่ชื่อว่าเดรคดังออกมาจากห้องโดยสารที่ถูกเปิดประตูทิ้งเอาไว้จนทำให้เอริซาเบธที่กำลังโวยวายอยู่ด้วยท่าทีทีเล่นทีจริงชะงักไปเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยปากพูดขอโทษนากาออกมา

 

“แฮะๆ ขอโทษทีนะนากาคุง”

 

“อื้ม… ไม่เป็นไรหรอกฉันไม่คิดอะไรมากอยู่แล้วล่ะ ส่วนนายก็ปล่อยหูเอริซาเบธเขาก่อนเถอะอารอน”

 

“ฮึ่ม…”

 

อารอนที่ได้ยินคำพูดของนากาได้แต่ต้องยอมปล่อยมือของเขาออกจากหูจิ้งจอกฟูๆ ของเอริซาเบธแต่โดยดีเพราะว่าในเมื่อขนาดเจ้าตัวยังไม่ถือโทษแบบนี้เขาเองก็คงจะทำอะไรไม่ได้เช่นเดียวกัน ส่วนทางด้านเอริซาเบธที่ได้หลุดพ้นออกมาจากการลงโทษของอารอนแล้วก็ได้พูดถามขึ้นมาใหม่ด้วยความสงสัย

 

“แต่ถ้าเกิดว่าทหารรับจ้างพวกนั้นไม่ได้สนใจเธอถ้างั้นเป้าหมายของพวกนั้นก็น่าจะเป็นคนอื่นๆ ในกลุ่มของเธอหรือเปล่าน่ะ?”

 

“อื้ม… ถ้าเกิดว่าจะมีใครที่พวกนั้นให้ความสนใจล่ะก็คงจะเป็นอลิซล่ะมั้ง”

 

“อลิซงั้นหรอ? ใช่เด็กผมสีชมพูคนที่ดูเหมือนว่าสารอาหารจะไหลไปลงที่อื่นนอกจากสมองจนหมดแล้วนั่นหรือเปล่า?”

 

“หนูได้ยินนะ!!”

 

“อุ๊บ—”

 

คำพูดของเอริซาเบธได้ทำให้พรีมูล่าที่มีผมสีชมพูเพียงคนเดียวในหมู่พวกเขาร้องโวยวายขึ้นมาในทันทีในขณะที่ทางด้านโมโกะที่นั่งคุมพรีมูล่าอยู่บนรถนั้นก็ได้แต่ต้องพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายจนทำให้พรีมูล่าได้แต่ต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อนของเธอ

 

“ขำอะไรกันหะโมโกะจัง!!”

 

“เด็กผมชมพูนั่นชื่อว่าพรีมูล่าน่ะเป็นน้องสาวของนากาเขา… ส่วนอลิซนั่นคือเด็กผมสีขาวที่ออกไปลุยกับพวกทหารรับจ้างจนแผลฉีกกลับมาแล้วก็มาโวยวายอยู่บนหลังรถตอนที่ฉันทำแผลให้เมื่อกี้นี้… แล้วก็เด็กหูแมวผมสีน้ำตาลอีกคนนั่นชื่อว่าโมโกะน่ะ…”

 

ในขณะที่พรีมูล่ากำลังร้องโวยวายออกมาอยู่นั้นทางด้านอารอนก็ได้พูดอธิบายออกมาให้เอริซาเบธฟังจนทำให้เอริซาเบธพยายามชะเง้อคอขึ้นไปมองดูอลิซที่นอนสลบอยู่ที่หลังรถกระบะอยู่สักพักหนึ่ง แต่ว่าด้วยความที่ตัวรถมีความสูงมากเกินไปนั้นเธอก็เลยมองไม่เห็นเด็กสาวผมสีขาวที่ชื่อว่าอลิซที่อารอนและนากาพูดถึงสักทีเธอจึงได้แต่หันกลับไปหานากาแล้วพูดบอกเขาไป

 

“อื้ม… ถ้ายังไงก็ขอโทษทีนะนากา ดูเหมือนว่าฉันจะเผลอว่าน้องสาวของนายไปซะแล้วสิ”

 

“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก เอาจริงๆ ฉันก็นึกว่าจะมีแต่พวกฉันที่คิดแบบนั้นซะอีกนะนั่น”

 

“พี่นากาาาาาา!!”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า!!”

 

คำพูดตอบของนากาได้ทำพรีมูล่าร้องโวยวายขึ้นมาเสียงดังในขณะที่ทางด้านโมโกะเองก็ได้กลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้ไม่ไหวและระเบิดเสียงหัวเราะของเธอออกมาจนทำให้พรีมูล่าที่ได้ยินแบบนั้นหันกลับไปจัดการเล่นงานเพื่อนสาวหูแมวของเธอในทันที

 

“แล้วทำไมโมโกะจังถึงไปขำกับพวกพี่นากาด้วยกันเล่า!?”

 

“ด–เดี๋ยวก่อนสิพรีมูล่า! ด–เดี๋—กรี๊ดดดดด”

 

เสียงพยายามพูดห้ามของโมโกะนั้นได้เปลี่ยนไปเป็นเสียงกรีดร้องสุดเสียงแทนเมื่อเด็กสาวผมชมพูได้จัดการพุ่งมือไปขยุ้มหูกับหางแมวของเธอแบบไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งในขณะที่เหล่าเด็กสาวบนหลังรถกระบะกำลังจัดการกลั่นแกล้งกันเองอยู่นั้น ทางด้านนากากับอารอนก็ได้หันกลับไปคุยกับเอริซาเบธต่อด้วยท่าทางเหมือนกับว่าไม่สนใจเรื่องที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำแบบนั้นสักเท่าไหร่นักอยู่แล้ว

 

“แต่ว่ามันก็อย่างที่ฉันบอกนั่นแหล่ะเอริซาเบธ ดูเหมือนว่าคนที่ทหารรับจ้างพวกนั้นสนใจน่าจะเป็นอลิซเขาซะมากกว่าน่ะ เพราะว่าตอนที่ฉันเข้าไปเจอตัวอลิซในป่าเองก็มีคนบุกเข้ามาโจมตีอยู่ด้วยเหมือนกัน”

 

“เห… แล้วแม่หนูน้อยคนนั้นไปทำอะไรมาถึงได้มีคนมาตามล่าเยอะขนาดนี้กันล่ะเนี่ย… ว่าแต่ที่พวกเธอพาอลิซจังเขาหนีมาด้วยกันแบบนี้แทนที่จะให้เธอพักฟื้นที่หมู่บ้านก็เพราะเผื่อว่าทหารรับจ้างพวกนั้นอาจจะกลับไปที่หมู่บ้านอีกรอบก็ได้งั้นสินะ อื้มๆ ดีแล้วล่ะๆ”

 

“เอ๋ะ? เอ่อ… มันก็ราวๆ นั้นล่ะมั้ง… แต่เอาจริงๆ แล้วพวกฉันก็แค่มีแผนจะไปเมืองหลวงอยู่แล้วเพื่อเอาจดหมายแนะนำตัวที่อารอนเขียนให้ไปยื่นให้กับเพื่อนของอารอนที่เมืองหลวงน่ะ…”

 

“โห~ จดหมายแนะนำตัวที่คุณอารอนเขียนให้งั้นหรอ ไหนๆ ขอฉันดูหน่อยสิ”

 

คำพูดของนากาได้ทำให้เอริซาเบธดีดตัวขึ้นมาจากต้นไม้ที่เธอนั่งพิงอยู่และพูดขอดูตัวจดหมายที่นากาพูดถึงด้วยความตื่นเต้นจนทำให้นากาได้แต่ต้องหันไปมองดูอารอนที่เป็นผู้ออกจดหมายเล็กน้อยเป็นเชิงขออนุญาตก่อนจะหยิบจดหมายของเขาออกมาส่งให้เอริซาเบธลองอ่านดู

 

“หืมๆ ~~”

 

เอริซาเบธที่ได้รับจดหมายจากนากาไปลองอ่านดูได้ส่งเสียงออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเผยรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายออกมาแล้วจึงเดินไปเคาะที่ตัวรถเบาๆ เพื่อเรียกความสนใจของเดรคที่นั่งอยู่ข้างในและส่งจดหมายของนากาไปให้เขาลองอ่านดูบ้าง

 

“……..ฮึ่ม”

 

เดรคที่ยื่นมือออกมารับจดหมายจากเอริซาเบธไปลองอ่านดูได้พ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหัวไปมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะพับจดหมายกลับลงใส่ซองและยื่นมันกลับออกมาให้เอริซาเบธจนทำให้นากาที่เห็นท่าทางแปลกๆ ของทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัยปนกังวล

 

“เอ่อ… ทำไมทั้งสองคนถึงทำท่าทางแบบนั้นกันล่ะ…?”

 

“เอ๋~ ก็เปล่านี่~ เอาเป็นว่าไม่ต้องเป็นห่วงไปนะคะคุณอารอน เดี๋ยวเอาไว้พอไปถึงเมืองกันแล้วฉันจะพาพวกนากาคุงไปส่งให้ถึงที่เลยล่ะค่ะ~”

 

เอริซาเบธพูดตอบนากากลับไปด้วยความอารมณ์ดีเหมือนกับว่าเธอเพิ่งจะได้อ่านอะไรสนุกๆ มาพร้อมกับส่งจดหมายกลับคืนไปให้นากาในขณะที่ทางด้านอารอนเองก็ได้เอ่ยปากพูดถามขึ้นมา

 

“พูดแบบนี้หมายความว่าเธอขับรถไหวแล้วสินะเอริ… ถ้างั้นเอาเป็นว่าพวกเรารีบออกเดินทางต่อกันเถอะ…”

 

“ไหวก็แย่แล้วล่ะค่ะคุณอารอนนนน~ ถ้าจะให้ฉันขับต่อตอนนี้จริงๆ ก็น่าจะไปได้แค่สักหนึ่งในสี่ของระยะทางที่เหลือก่อนจะร่วงอีกรอบล่ะมั้งคะ”

 

“งั้นหรอ… แต่ว่าจะให้เดรคขับแทนก็คงจะไม่ได้เพราะว่าเขาแทบจะเป็นคนขับคนเดียวตอนขามาเลยนี่นะ… แบบนี้จะเอายังไงดีนะ…”

 

“จุ๊ๆ ถึงฉันจะไม่รู้ว่าทำไมคุณอารอนถึงได้รีบขนาดนั้นก็เถอะนะคะ แต่ว่าเอาจริงๆ แล้วมันก็มีวิธีดีๆ ที่จะทำให้ทั้งฉันทั้งเดรคไม่ต้องฝืนออกแรงขับรถแต่พวกเราก็ไปถึงเมืองรีมินัสกันได้ไวๆ อยู่เหมือนกันนะคะ~”

 

คำพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อยของอารอนได้ทำให้เอริซาเบธกระดิกหูจิ้งจอกฟูๆ ของเธอเล็กน้อยพร้อมกับพูดเสนอขึ้นมาด้วยน้ำเสียงลับลมคมในจนทำให้อารอนที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่ต้องเลิกคิ้วมองเธอด้วยความสงสัยว่ายัยจิ้งจอกสาวผมสีแดงคนนี้คิดแผนการออกอะไรออกมาได้

 

“วิธีที่เธอพูดถึงมันคืออะไรล่ะเอริ…? แล้วถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้มันไม่ทำให้เดือดร้อนในภายหลังด้วยก็แล้วกัน…”

 

“ก็ถ้าเกิดว่าทุกคนเงียบๆ เอาไว้แล้วก็ไม่มีใครปากโป้งมันก็ไม่มีใครเดือดร้อนหรอกค่ะ~”

 

“ถ้าเธอพูดแบบนั้นงั้นก็ปัดตกไปก่อนเลยก็แล้วกัน…”

 

“แหม่~ อย่างน้อยๆ ก็ฟังกันก่อนสิคะ~ ที่จริงแล้วมันก็แค่ขอให้คุณอารอนอนุญาตให้ฉันหาอาสาสมัครจากพวกเด็กๆ มาขับรถคันนี้สักพักหนึ่งจนกว่าฉันจะฟื้นตัวแล้วก็ค่อยให้ฉันขับต่อไปจนถึงเมืองก็แค่นั้นเอง~”

 

เอริซาเบธที่ได้ยินคำพูดของอารอนได้รีบพูดแผนการของเธอออกมาให้เขาฟังแบบไม่สนใจคำพูดบอกปัดเลยแม้แต่น้อย ซึ่งคำพูดของเอริซาเบธนั้นก็ได้ทำให้พรีมูล่าที่กำลังกลั่นแกล้งโมโกะอยู่หยุดมือของเธอและพูดอาสาขึ้นมาเสียงดัง

 

“หนูอยากขับ!!”

 

“อื้อ ได้อยู่แล้วสิ~ แต่ยังไงเธอต้องรอให้ฉันขึ้นไปปลดวิซที่คาอยู่ข้างในตัวรถก่อนนะเธอถึงจะติดเครื่องมันได้น่ะ~ อ่ะ—ว่าแต่เธอมีวิซธาตุอะไรหรอพรีมูล่าจัง?”

 

“เอ๋? ก็ธาตุน้ำแข็งอ่ะ ทำไมหรอพี่เอริ?”

 

พรีมูล่าที่ได้ยินคำถามของเอริซาเบธได้พูดตอบกลับไปด้วยความสงสัยจนทำให้เอริซาเบธที่ได้ยินว่าเด็กสาวผมสีชมพูมีวิซธาตุน้ำแข็งที่จัดว่าเป็นธาตุที่น้อยคนนักจะมีมันได้แสดงอาการตกใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบพรีมูล่ากลับไป

 

“เอ๋? ธาตุน้ำแข็ง? เธอพูดจริงหรอน่ะพรีมูล่าจัง!? อ่ะ—แต่ว่ารถคันนี้มันจำเป็นต้องใช้วิซธาตุไฟในการขับน่ะ เพราะงั้นต่อให้เธอจะมีวิซธาตุน้ำแข็งก็เถอะแต่ว่ามันก็คงจะ…”

 

“เอ๋!?!?”

 

“อ้ะ—ถ้าเป็นวิซธาตุไฟล่ะก็ฉันใช้ได้นะ”

 

ในขณะที่พรีมูล่ากำลังแหกปากร้องออกมาด้วยความผิดหวังนั้น ทางด้านโมโกะที่แอบคลานไปหลบอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของตัวรถก็ได้โผล่หัวขึ้นมาจากกระบะหลังรถพร้อมกับร้องบอกขึ้นมาเสียงใสก่อนที่เธอจะกระโดดลงไปจากตัวรถเพื่อยืนเตรียมความพร้อมสำหรับการทดลองขับรถยนต์เป็นครั้งแรกในทันที

 

“ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวฉันจะให้เธอเป็นคนขับสักพักนึงก็แล้วกันนะ… เอ่อ.. โมโกะจังสินะ?”

 

“อื้ม ใช่แล้วล่ะ! แหม่~ ช่วยไม่ได้ล่ะนะพรีมูล่า ถ้างั้นเดี๋ยวเอาเป็นว่าฉันจะไปเล่าให้เธอฟังทีหลังก็แล้วกันนะว่าการขับรถมันสนุกขนาดไหนน่ะ~”

 

“งื๊อออ..!”

 

“อ๊ายย!?”

 

ในขณะที่โมโกะกำลังพูดจาหยอกล้อพรีมูล่าขึ้นมาอยู่นั้น ทางด้านพรีมูล่าที่พลาดโอกาสได้ทดลองขับรถยนต์ก็ได้ส่งเสียงด้วยความไม่พอใจออกมาก่อนที่เธอจะพุ่งมือไปคว้าหางแมวของโมโกะที่กำลังส่ายไปส่ายมาด้วยความอารมณ์ดีเอาไว้และบีบมันอย่างแรงไปทีหนึ่งแล้วจึงสะบัดหน้าหนีไปนั่งกอดเข่าอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของตัวรถแทน

 

“ไม่รู้ด้วยแล้ว!!”

 

“ยัยบ๊องนี่! บอกไปตั้งกี่ทีกันแล้วหะว่าอย่ามาบีบหางกันน่ะ!?”

 

โมโกะที่ถูกพรีมูล่าคว้าหางไปบีบเมื่อสักครู่นี้ได้พูดต่อว่าพรีมูล่าออกมา แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเด็กสาวผมชมพูก็กลับสะบัดหน้าหนีไปอีกทางหนึ่งจนทำให้เอริซาเบธที่กำลังปีนขึ้นไปไล่เดรคออกมาจากห้องคนขับอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขำขัน

 

“พวกเธอนี่ก็สนิทกันดีจังเลยนะ~ เอาล่ะ นายย้ายไปนั่งข้างหลังก่อนไป๊ ชิ่วๆ”

 

“……..”

 

เดรคที่ได้ยินเอริซาเบธเอ่ยปากไล่เขาออกมาจากห้องโดยสารได้หันไปจ้องหน้าเอริซาเบธอย่างเงียบๆ อยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงยอมเปิดประตูลงมาจากห้องโดยสารแต่โดยดีก่อนที่เขาจะกระโดดขึ้นไปด้านหลังกระบะรถแล้วจึงนั่งลงที่ข้างๆ พรีมูล่าที่กำลังนั่งกอดเข่าทำหน้ามุ่ยอยู่อย่างเงียบๆ

 

“…….”

 

พรีมูล่าที่อยู่ดีๆ ก็มีคนโผล่มานั่งลงข้างๆ ได้เงยหน้าขึ้นมามองดูชายหนุ่มร่างยักษ์ที่มีเขาสีดำขนาดใหญ่งอกออกมาจากที่ข้างๆ หัวเล็กน้อยก่อนที่เธอจะก้มกลับลงไปทำแก้มป่องตามเดิม

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้เดรคที่เห็นแบบนั้นได้ยกมือขึ้นไปลูบหัวของเด็กสาวผมสีชมพูเบาๆ จนพรีมูล่าชะงักไปเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังยอมปล่อยให้เดรคลูบหัวของเธอเล่นต่อไปโดยไม่ได้ร้องโวยวายอะไรออกมาแบบที่เธอทำเวลามีคนอื่นนอกจากพี่ชายของเธอหรือว่าอารอนมาลูบหัวของเธอจนทำให้นากาที่ถูกเอริซาเบธไล่ให้กลับขึ้นมานั่งรอบนรถเห็นแบบนั้นถึงกับชะงักไปด้วยอีกคนหนึ่งด้วยความประหลาดใจ

 

“แปลกดีแฮะ… แต่ก็เอาเถอะ…”

 

บรี๊นนนนน—

 

ทันใดนั้นเองเครื่องยนต์ของรถยนต์ก็ได้ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าโมโกะที่นั่งประจำการอยู่ตรงที่นั่งของคนขับสามารถติดเครื่องยนต์ได้เป็นผลสำเร็จเรียบร้อยแล้วพร้อมๆ กับที่เอริซาเบธที่ย้ายไปนั่งอยู่แทนที่เครคจะโผล่หน้าออกมาจากห้องโดยสารและพูดบอกผู้โดยสารเบื้องหลังขึ้นมา

 

“โอ้~ ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะคะ เพราะงั้นคุณอารอนกลับขึ้นไปนั่งรถเตรียมตัวออกเดินทางต่อได้เลยค่า~~”

 

“ถ้ายังไงก็อย่าฝืนตัวเองก็แล้วกันนะโมโกะ… ถ้ารู้สึกเหนื่อยหรือว่ารู้สึกอะไรแปลกๆ ขึ้นมาก็รีบบอกเอริเขาไปเลยล่ะ…”

 

อารอนที่ได้ยินคำพูดของเอริซาเบธได้เดินเข้าไปหาโมโกะที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับพร้อมกับพูดเตือนขึ้นมาสั้นๆ แต่ว่าทางด้านโมโกะที่กำลังรู้สึกตื่นเต้นกับการได้ลองขับรถยนต์เป็นครั้งแรกก็กลับตอบเขากลับไปแบบไม่ใส่ใจอะไรมากนัก

 

“ก็แค่ขับรถเองไม่ใช่หรออารอน ไม่น่าจะถึงขั้นรู้สึกเหนื่อยหรือว่าอะไรแบบนั้นหรอกมั้ง”

 

“เฮ้อ… ตอนแรกเอริเขาก็พูดแบบนั้นเหมือนกันนั่นแหล่ะ…”

 

คำตอบของโมโกะได้แต่ทำให้อารอนถอนหายใจออกมา แต่ว่าเมื่อดูจากท่าทีตื่นเต้นเต็มที่ของโมโกะแล้วเขาก็ไม่อยากที่จะพูดห้ามปรามอะไรออกมาสักเท่าไหร่นักและปีนกลับขึ้นไปนั่งที่ด้านในสุดของกระบะท้ายรถที่มีนางพยาบาลผมบลอนด์ของเขากำลังนั่งเฝ้าอลิซอยู่อย่างเงียบๆ แล้วจึงเคาะไปที่กระจกบานเล็กๆ ที่ติดอยู่ด้านหลังห้องคนขับเป็นสัญญาณว่าทุกคนพร้อมที่จะออกเดินทางกันแล้ว

 

และหลังจากนั้นไม่นานรถกระบะของพวกเขาก็ได้ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากจุดพักและเร่งความเร็วขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่เอริซาเบธจะโผล่หัวออกมาจากห้องคนขับอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับพูดบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงร่าเริง

 

“เอาล่ะ~ ถ้างั้นเราก็เดินทางไปที่เมือง รีมินัส กันเถอะ~”

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Status: Ongoing
เมื่อคำสัญญาจากอดีตได้หวนคืนกลับมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกหยิบยืมไป การเดินทางของคนถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งเพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท