หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดสักพัก กับเสี่ยวอวี๋ ถึงแม้พวกเขาอาจจะยังไม่สามารถเอาชนะผู้บำเพ็ญนับแสนคนได้ แต่หากพวกเขาสามารถจัดการกับสถานการณ์ปกติได้ เมืองนี้ก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆ สำหรับพวกเขา
เขาพูดว่า “มุ่งหน้าไปที่เมืองเพื่อตรวจสอบสถานการณ์”
ในระหว่างทางกลับไปที่เมือง จางเว่ยอวี่เห็นหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดคุยกันเล็กๆ น้อยๆ นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องไม่ใช่แค่ทาสกับนายทาสแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม จางเว่ยอวี่คิดว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องของเขา หลี่ว์ซู่อาจจะมีความลับแต่ตัวเขาเองก็มีความลับมากมายเช่นกัน ในเมื่อพวกเขาทั้งสองคนผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งมากมาย เขาจึงไม่อยากจะสอบถามมากจนเกินไป
หลี่ว์ซู่เริ่มออกคำสั่งหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ในระหว่างเดินทาง “พวกเรามาช่วยกันหาทางกลับบ้านอย่างเงียบๆ กันเถอะ ถึงแม้เธอจะสามารถควบคุมวิญญาณของผู้มีพลังระดับ A ได้ แต่ที่นี่ยังมีเสินฉังจิ้งและระดับบางระดับที่อาจจะถึงขั้นสูงกว่านั้นอีก เนี่ยถิงสามารถแยกทัณฑ์สวรรค์ได้ตอนที่เขาอยู่ระดับ A จนกระทั่งตอนนี้ ฉันยังไม่เคยเห็นเขาโจมตีด้วยเสินฉังจิ้งเลย คงมีแค่เทพเจ้าที่รู้ว่าสิ่งนี้ทรงพลังแค่ไหน ดังนั้น เราต้องระมัดระวังและคอยหาทางกลับบ้านอย่างลับๆ หลังจากนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ก็ล้วนแล้วแต่ไม่เกี่ยวกับพวกเราอีกต่อไป”
จริงๆ แล้ว หลี่ว์ซู่ระมัดระวังผู้มีพลังในโลกนี้เป็นอย่างมาก เนี่ยถิงระดับ A หลี่เสียนอี และเฉินไป่หลี่ ก็น่ากลัวพอแล้ว ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้ตราแผ่นดินเพื่อควบคุมพลังจิตวิญญาณในตรอกหลิวไห่ ในท้ายที่สุด เนี่ยถิงก็สามารถคิดออกได้เพียงส่วนเล็กๆ ของตรรกะ เขาเพียงแค่ก้าวเข้าไปในประตูของเสินฉังจิ้งและไปถึงระดับที่สูงขนาดนั้นก่อนที่เขาจะถึงขั้นมีชีวิตอยู่ด้วยทัณฑ์สวรรค์ สิ่งที่ขวางกันระหว่างตราแผ่นดินและลานแตกออกเมื่อเขาเคาะโต๊ะเพียงแผ่วเบา…
ถ้าอย่างนั้นแล้วเสินฉังจิ้งเป็นอย่างไร หลี่ว์ซู่ไม่สามารถจินตนาการได้เลย
เขาอาจจะเตรียมใจได้หากเขาเคยเห็นการโจมตีที่ทำโดยใครสักคนที่อยู่ในระดับเสินฉังจิ้ง แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็น และสิ่งที่ไม่รู้นั่นก็คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
ถ้าเสินฉังจิ้งเป็นขอบเขตที่ผู้มีพลังสามารถใช้กฎของตนเองได้ แล้วกฎเหล่านั้นจะมีข้อจำกัดหรือไม่ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาไม่ควรกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะมันออกจะซับซ้อนเกินไป
ในตอนนี้เอง จางเว่ยอวี่กำลังชำเลืองมองไปทางหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และหลี่ว์ซู่ “พวกนายสองคนอยากจะไปซ่อนตัวในถ้ำกับฉันไหม”
หลี่ว์ซู่รู้ว่าจางเว่ยอวี่กำลังคิดอะไรอยู่ จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ได้รับความทุกข์ยากเพราะพวกเขาไม่ได้ฝึกบำเพ็ญ ถ้าหลี่ว์ซู่ตามเขาไปที่ถ้ำ เขาจะต้องซื้ออาหารมากกว่านี้แน่…
จางเว่ยอวี่ที่ไม่ได้กินอาหารฟรีของคนอื่นรู้สึกว่าความคิดนั้นก็ไม่เลวเลยที่จะทำเช่นนั้น…
นอกจากนี้ ถ้าหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปกับเขา จางเว่ยอวี่และคนที่เหลือก็จะมีคนคอยปกป้อง ไม่ว่าหลี่ว์ซู่และหลี่เสี่ยวอวี๋จะอ่อนแอขนาดไหน แต่ก็ดีกว่าการไม่มีคนคอยปกป้องเลย
จางเว่ยอวี่อาจจะไม่ได้รู้จักหลี่ว์ซู่ดีนัก แต่เขารู้ว่าหลี่ว์ซู่จะไม่ทิ้งสหายไว้เบื้องหลังนยามยากอย่างแน่นอน พวกเขาสามารถบอกว่าเป็นเพื่อนกันได้ใช่หรือไม่
เมื่อพวกเขาไปถึงเมือง หลี่ว์ซู่และจางเว่ยอวี่ถึงได้รู้ว่าเมืองไม่ได้วุ่นวายอย่างที่พวกเขาคิดว่าจะเป็น ถึงแม้ว่าร้านรวงทุกร้านจะปิดประตูแน่นสนิท พวกเขาก็ยังสามารถเห็นคนจ้องมองลอดออกมาทางช่องว่างระหว่างประตูด้วยความกังวล
ทาสที่มีตราประทับอยู่บนร่างกายไม่มีใครกล้าหลบหนี ถ้าทหารเสื้อขนดำมาถึง พวกเขาก็ทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น
นายทาสเองก็รู้ว่าควรให้ความสำคัญกับสิ่งใด การสู้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถปล่อยให้เหล่าทาสหนีไปจนทำแผนของพวกเขาพังไม่เป็นท่า
เสียงฝีเท้าของหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดังก้องในเมืองที่เงียบสงัด จางเว่ยอวี่เคาะประตูที่ทำจากไม้ของร้านขายข้าว เมื่อประตูเปิดออก หลี่ว์ซู่ก็เห็นคนขายตัวสั่นเทาอยู่ที่มุมหนึ่ง ทาสระดับห้าสองคนเปิดประตูด้วยมีดในมือของพวกเขา
หลี่ว์เสี่ยอวี๋ชำเลืองมองหลี่ว์ซู่ “ต้องฆ่าพวกเขาไหม”
หลี่ว์ซู่ส่ายหัวและได้ยินเสียงทาสอุทานด้วยความประหลาดใจ “ทำไมพวกนายสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วทหารเสื้อขนดำล่ะ”
จางเว่ยอวี่ตอบว่า “ทหารเสื้อขนดำ…หายไปแล้ว…”
“ถ้างั้นพวกนายกำลังทำอะไร” ทาสถามอย่างสับสน
“พวกเรามาที่นี่เพื่อซื้ออาหาร…” จางเว่ยอวี่ตอบ
ทาสทั้งสองคนเดินออกมาจากร้านและไม่เห็นทหารเสื้อขนดำแม่แต่คนเดียว ในตอนแรก พวกเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในตอนที่พวกเขาได้ยินเสียงดังตูม แต่หลังจากเสียงนั้น เสียงควบม้าก็หายไป
ทุกอย่างดูแปลกมาก…
นี่ไม่น่าจะใช่แผนการของทหารเสื้อขนดำ เพราะสุดท้ายแล้ว หากจะให้ได้ผลดีที่สุดก็คือต้องให้กองหน้าเข้าโจมตีเมืองกำลังวุ่นวาย จะมีใครรอให้ฝ่ายตรงข้ามพร้อมก่อนจึงจะโจมตี
ทาสคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในเมืองและคนอีกหลายคนก็ออกมาดูอย่างประหม่า แต่หากพวกเขาลังเลเพียงเล็กน้อย ตราประทับที่อยู่บนคอของพวกเขาก็จะเจ็บเพราะนายทาสกำลังเร่งให้พวกเขาออกมาดูสถานการณ์
หลังผ่านไปสักพัก ทาสสองสามคนก็กลับมาพร้อมกับตะโกนว่า “พวกเราไม่เห็นทหารเสื้อขนดำแล้วจริงๆ!”
หลังจากนั้น หลี่ว์ซู่ก็เห็นทาสจำนวนมากออกมาจากตรอกซอกซอยและร้านค้าต่างๆ คงมีแค่พระเจ้เท่านั้นที่จะรู้ว่าก่อนหน้านี้คนเหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนบ้าง
พนักงานขายของแต่ละร้านเดินออกมาข้างนอก และหญิงโสเภณีก็กระซิบกระซาบกันอยู่ที่ประตูซ่อง
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ชำเลืองมองจางเว่นอวี่ และชี้ไปที่สถานที่ๆ มีหญิงโสเภณีเดินออกมาและถามว่า “นั่นคือสถานที่อะไรเหรอ”
“นั่นคือซ่อง” จางเว่ยอวี่ตกตะลึงก่อนจะพูดต่อ “เธอกำลังจะบอกว่าไม่มีซ่องในที่ๆ เธออยู่งั้นเหรอ”
“พวกเราไม่ได้เถื่อนขนากนั้น…” หลี่ว์ซู่สามารถอธิบายได้เพียงเท่านั้น
แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดจนจบประโยค เขาก็เห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เดินตรงไปที่หญิงสาวเหล่านั้นและชี้มที่หลี่ว์ซู่พร้อมกับถามว่า “เขาเคยมาที่นี่มาก่อนไหม”
[ได้แต้มจากหลี่ว์ซู่ +666!]
‘นี่มันใช่เวลามาถามคำถามแบบนี้เหรอ เห็นฉันเป็นคนแบบนั้นหรือยังไง’
เหล่าหญิงสาวชำเลืองมองมาที่หลี่ว์ซู่และพูดว่า “พวกเราไม่เคยเห็นหนุ่มหล่อคนนี้มาก่อน แต่ถ้าเขามา พวกเราจะดูแลเขาอย่างดีเลยล่ะ”
ในตอนนี้เอง มีเสียงควบม้าดังมาจากทางทิศตะวันออกของเมือง แต่หลี่ว์ซู่รู้ว่าตอนนี้คงไม่มีใครเป็นกังวลแล้ว กลับกันพวกเขากับดูมีความสุขมากกว่า
จางเว่ยอวี่พูดเบาๆ ว่า “กำลังเสริมจากเมืองหนานเกิงคงมาถึงแล้ว ฉันไม่แน่ใจว่าใครเป็นผู้นำทัพ แต่คนที่เป็นผู้นำของเมืองหนานเกิงก็คือชนชั้นสูงระดับสอง”
หลังจากเขาพูดจบ ทหารม้าที่สวมชุดเกราะสีแดงก็พุ่งเข้ามาในเมืองและเข้ายึดทางแยกทั้งหมดในเมืองทันที
พู่สีแดงที่อยู่บนหมวกของคนที่ขี่ม้าเป็นเหมือนธงสีแดง และแม้แต่ม้าก็สวมหน้ากากสีแดงเช่นกัน
พร้อมกับเสียงของม้า ชายหนุ่มอายุน้อยที่กล้าหาญและหล่อเหลาก็ขี่ม้าไปที่ป้อมป้องกันเมือง ทหารรักษาเมืองโค้งคำนับต่อหน้าเขาด้วยท่าทางประหม่า
ชายอายุน้อยคนนั้นมองลงไปที่ทหารรักษาเมืองและถามว่า “ทหารเสื้อขนดำอยู่ที่ไหน”
“ผมไม่ร…”
“นายรู้ถึงผลของการแจ้งข่าวทางทหารที่เป็นเท็จหรือเปล่า”
ทหารรักษาเมืองตัวสั่น “พวกเราได้ยินเสียงควบม้ามาจากทางด้านนอกเมือง แต่พวกเราไม่รู้ว่าทหารเสื้อขนดำหายไปไหน…”
เขารู้สึกผิดปกติอย่างมาก พวกเขาได้ยินเสียงม้าไม่ผิดแน่ แต่ทหารเสื้อขนดำหายไปไหน