“คุณน่ะนะ… ทั้งกล้าหาญ ทั้งอ่อนโยน แถมยังเป็นคนดีที่คอยห่วงใยคนอื่นเขาไปทั่วอีก…”
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เซซิลกำลังเริ่มต้นเล่าเรื่องของอาจารย์ของเธอออกมานั้น ที่ทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งห่างไกลออกไปจากเมืองรีมินัสทางตะวันออกหลายร้อยกิโลเมตรบนเนินที่ราบสูงที่มีต้นไม้ที่ผลิใบเป็นสีชมพูอ่อนๆ ยืนต้นอยู่โดดๆ เพียงแค่ต้นเดียวเองก็มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาเช่นเดียวกัน
ซึ่งหญิงสาวคนนั้นก็คืออิซานางิ หญิงสาวผมชมพูที่เคยบุกมาพยายามจับตัวเซซิลถึงทุ่งราบใกล้กับเมืองรีมินัสนั่นเอง โดยที่ในเวลานี้ชุดผ้าสีขาวสะอาดของเธอได้เปรอะเปื้อนคราบเลือดสีแดงจำนวนมากที่ไหลรินออกมาจากบาดแผลถูกฟันเล็กๆ น้อยๆ และลูกธนูดอกหนึ่งที่ปักคาอยู่บนไหล่ของเธอ
“ฉันเองก็อยากจะทำให้ได้แบบคุณซะจริง…”
แต่ว่าอิซานางิก็ดูท่าทางเหมือนกับว่าจะไม่สนใจบาดแผลของตัวเองเลยแม้แต่น้อยและเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับปลดอุปกรณ์แขนกลบนไหล่ของเธอที่เสียหายยับเยินกับแผ่นเกราะเหล็กบนไหล่อีกข้างหนึ่งลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี
เคล๊ง!
“คิกคิก… จะให้ฉันมาสำนึกผิดตอนนี้มันก็คงจะสายเกินไปแล้วล่ะมั้งคะ…แต่ว่าอาจารย์ก็ไม่ต้องห่วงไปหรอกค่ะ… สถานที่ของพวกเรามีคนรู้อยู่แค่ไม่กี่คนหรอก…”
อิซานางิหัวเราะคิกคักพร้อมกับพูดออกมาอีกครั้งอย่างอารมณ์ดีจนดูราวกับว่าบาดแผลบนร่างกายของเธอเป็นเรื่องโกหกอย่างไรอย่างนั้นก่อนที่เธอจะวางดาบยักษ์ของเธอลงไปพิงเอาไว้กับโคนต้นไม้และเอนตัวลงไปนอนพิงกับต้นไม้ที่มีใบสีชมพูสวยงามพร้อมกับมองออกไปยังเนินทุ่งหญ้าเบื้องหน้าที่มีแนวป่าอยู่ห่างออกไปไม่ไกลด้วยแววตาเหม่อลอย
“ในตอนนั้นที่ฉันได้เผลอสบตาคุณเป็นครั้งแรก… มันราวกับว่าโลกทั้งใบของฉันได้หยุดหมุนไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น…”
อิซานางิพูดพร้อมกับยกฝ่ามือที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดของตัวเองจนเป็นสีแดงขึ้นมาเบื้องหน้าก่อนที่จะมีรอยยิ้มบางๆ ที่ดูอ่อนโยนปรากฏขึ้นมาบนในหน้าของเธอราวกับว่าเธอกำลังเห็นภาพของใครบางคนอยู่ที่กลางทุ่งหญ้านั้น แต่ว่าทันใดนั้นเองรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ได้จางหายไปและถูกแทนที่ด้วยความโศกเศร้าแทน
“ขอแค่ให้ฉันได้เห็นเศษเสี้ยวของความทรงจำนั้นอีกสักครั้ง… ต่อให้มันจะเป็นเพียงแค่ความฝันก็ตาม… ขอเพียงแค่นั้น… ฉันก็พอใจแล้วล่ะค่ะ…”
หญิงสาวผมชมพูพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าดาบยักษ์ของเธอมากอดเอาไว้แน่นโดยไม่สนใจว่าคมดาบอาจจะทำให้เธอได้รับบาดเจ็บขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย
“ถ้าเกิดว่าในตอนนั้นเป็นคุณหรือว่าเป็นฉันที่เลือกทางเดินที่ต่างไปจากนี้… พวกเราจะยังคงได้ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขเหมือนสมัยก่อนหรือเปล่าคะ…”
“ถ้าเกิดว่าในตอนนั้นคุณเอ่ยปากรั้งฉันเอาไว้… ฉันก็คงจะไม่กลับไปยังที่แห่งนั้น…”
“ถ้าเกิดว่าในตอนนั้นคุณยอมทำตามคำสั่งของพวกเขาไป… พวกเราก็คงจะไม่ต้องมาฟาดฟันกันแบบนั้น…”
“ถ้าเกิดว่าในตอนนั้นคุณยังใช้ดาบเล่มนั้นอยู่… คุณก็คงจะไม่พ่ายแพ้ให้กับฉันได้ง่ายดายขนาดนั้น…”
เสียงที่เคยฟังดูอบอุ่นและอ่อนโยนของอิซานางิในยามที่พูดถึงบุคคลที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยกันกับเธอนั้นค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นเมื่อมีใบหน้าของคนๆ หนึ่งผุดขึ้นมาในห้วงความคิดก่อนที่เธอจะกอดดาบยักษ์ในอ้อมแขนแน่นขึ้นจนเลือดเริ่มไหลซึมออกมาพร้อมๆ กับที่ดาบยักษ์ในอ้อมแขนของเธอเริ่มแผ่ไอร้อนออกมา
กรึก….
“เป็นเพราะยัยนั่น… ยัยเซซิลนั่น… ถ้าเกิดไม่ใช่เป็นเพราะว่าคุณยกดาบให้กับมันล่ะก็คุณก็คงจะไม่มาพลาดท่าให้กับฉันง่ายๆ แบบนี้อยู่แล้ว…”
“เป็นเพราะยัยนั่น… เพราะยัยนั่นมันรั้งตัวคุณเอาไว้ที่หมู่บ้านนี้… ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นคนระดับคุณล่ะก็จะไปที่เมืองไหนก็มีแต่คนพร้อมจะอ้าแขนต้อนรับอยู่แล้ว…”
“ใช่… ถ้าเกิดไม่ใช่เป็นเพราะว่าคุณเป็นห่วงยัยนั่นจนเสียสมาธิล่ะก็ ต่อให้จะมีฉันสักร้อยคนบุกเข้าไปพร้อมกันก็เอาชนะคนระดับคุณไม่ได้อยู่แล้ว… เป็นเพราะมัน… เป็นเพราะยัยเซซิลนั่น!!”
แซ่ก
“…..”
เสียงของฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้นั้นทำให้อิซานางิหลุดออกจากห้วงความคิดของตัวเองและเอ่ยปากพูดขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นไปมองผู้มาเยือนเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอรู้ดีว่าสภาพร่างกายที่บอบช้ำของตัวเองไม่มีทางที่จะสลัดอีกฝ่ายให้พ้นได้อยู่แล้ว
“แต่ในหมู่คนไม่กี่คนที่รู้จักที่นี่ก็ดันเป็นคนที่ตามล่าฉันอยู่ซะได้… จริงมั้ยล่ะคะ พี่อิซานามิ…”
ร่างที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของอิซานางินั้นคือหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีชมพูยาวสลวยและมีใบหน้าที่เหมือนกับเธอไม่ผิดเพี้ยน จะมีแตกต่างกันก็เพียงแค่นัยน์ตาสองสีของอีกฝ่ายที่ข้างขวาเป็นสีแดงและข้างซ้ายเป็นสีเขียวมรกตสลับกับนัยน์ตาสองสีของเธอจนดูราวกับว่าร่างตรงหน้าเป็นภาพสะท้อนจากเงาในกระจกของตัวอิซานางิเองอย่างไรอย่างนั้น
ซึ่งเครื่องแต่งกายของหญิงสาวที่ถูกอิซานางิเรียกว่าพี่นั้นก็เป็นชุดผ้าสีขาวสะอาดกับเกราะไหล่ที่ถูกสานขึ้นมาจากแผ่นเหล็กสีแดงประดับลวดลายสีทองเช่นเดียวกับของน้องสาวของเธอ โดยจะมีแตกต่างไปก็ตรงที่ว่าที่เอวของอิซานามิได้คาดดาบคาตานะจำนวนหนึ่งเอาไว้ด้วย
“ไม่คิดจะพูดอะไรส่งท้ายกันสักหน่อยหรอคะพี่…”
อิซานางิพูดขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่เธอจะนำดาบยักษ์ในอ้อมกอดของเธอไปวางพิงเอาไว้กับต้นไม้ที่มีใบสีชมพูสดใสเบื้องหลังตามเดิมและยันร่างที่บาดเจ็บของตัวเองลุกขึ้นมาจ้องหน้าพี่สาวฝาแฝดเพื่อที่จะรอฟังคำพูดทักทายของพี่สาวของเธอ
“หยิบดาบของเธอขึ้นมา… อิซานางิ…”
“…….”
อิซานางิที่ถูกพี่สาวพูดสั่งขึ้นมานั้นได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอื้อมมือไปหยิบดาบยักษ์ที่ถูกวางพิงต้นไม้เอาไว้เบื้องหลังขึ้นมา แต่ว่าในทันทีที่ฝ่ามือของเธอสัมผัสเข้ากับด้ามดาบยักษ์ของตัวเองนั้น พี่สาวฝาแฝดของเธอก็ได้โยนหนึ่งในดาบคาตานะที่เธอคาดเอาไว้ที่เอวออกมาและพูดขึ้นมาอีกครั้ง
แกร๊ก….
“ถ้าเกิดว่าเธอไม่คิดจะชักมันออกมาจากฝักก็ใช้เล่มนี้แทนซะ…”
คำพูดและการกระทำของอิซานามินั้นได้เรียกรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมาบนใบหน้าของอิซานางิอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปหยิบดาบคาตานะเล่มนั้นขึ้นมาคาดเอาไว้ที่เอวและเดินถอยออกมาเล็กน้อย และหลังจากที่สองพี่น้องฝาแฝดได้ยืนจ้องกันอย่างเงียบๆ อยู่อีกสักพักหนึ่ง พวกเธอก็ได้ยื่นมือไปจับที่ด้ามดาบคาตานะของตนเองและตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ในรูปแบบเดียวกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“พวกเราคงจะได้พบกันในเร็วๆ นี้แล้วล่ะค่ะ… อาจารย์…”
เคล๊ง!! เคล๊ง!!
เสียงของดาบที่ปะทะกันอย่างรุนแรงได้ดังก้องกังวานไปทั่วเนินที่ราบสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถึงแม้ว่าอิซานางิจะได้รับบาดเจ็บถึงขั้นที่เรียกได้ว่าสาหัสมาอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่าเธอก็ยังสามารถที่จะใช้ดาบคาตานะที่ไม่คุ้นมือเข้ารับเส้นแสงที่เกิดจากการโจมตีอย่างรวดเร็วจนแทบจะมองไม่เห็นของอีกฝ่ายได้อย่างคล่องแคล่วอีกทั้งยังสามารถที่จะหาโอกาสโจมตีสวนกลับเข้าไปได้อีกด้วย
เคล๊ง—! แกร๊ง!!
ใบดาบของอิซานางิที่ถูกฟาดออกไปเบื้องหน้านั้นได้ถูกอิซานามิใช้ท่วงท่าเดียวกันฟาดฟันสวนกลับมาอย่างรุนแรงจนถึงกับทำให้เธอกระเด็นถอยกลับไปเบื้องหลังเล็กน้อยและได้ฉวยโอกาสนี้ในการหยุดพักเพื่อหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“ฮ่า…ฮ่า…”
“………”
อิซานามิที่เห็นว่าน้องสาวฝาแฝดของตัวเองยืนปักหลักโงนเงนอยู่กับที่และพยายามที่จะสูดลมหายใจเข้าออกอย่างอ่อนแรงนั้นสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายใกล้จะถึงขีดจำกัดเต็มที่แล้วและนั่นก็ทำให้เธอได้ยกดาบในมือขึ้นมาตั้งท่วงท่าเพื่อเตรียมปิดฉากอีกฝ่ายในทันที
ซึ่งอิซานางิที่เห็นว่าพี่สาวของตนได้ตั้งท่วงท่าสำหรับวิชาสังหารนั้นก็ได้หลับตาลงพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเริ่มตั้งท่าแบบเดียวกันกับอีกฝ่ายด้วยเช่นเดียวกัน
ถ้าหากว่าในวันนั้น…คุณเลือกที่จะไม่รับก้อนหินริมทางอย่างฉันมาเป็นลูกศิษย์ก็คงจะดี…
“เพราะถ้าเป็นแบบนั้น… ฉันก็คงจะได้อยู่กับคุณ…ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง…”
อิซานางิพูดพึมพำตอบแว่วเสียงที่ดังขึ้นมาในจิตใจของเธอออกมาเบาๆ พร้อมกับเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาที่มุมปากก่อนที่สรรพเสียงทุกอย่างจะเงียบสงัดลงไปชั่วขณะและตามมาด้วยเสียงของดาบที่ปะทะกันดังก้องกังวานไปทั่วเนินหญ้าแห่งนี้
เคล๊ง!! ฉั๊วะ!
ดาบคาตานะของอิซานางิที่ปะทะเข้ากับดาบของพี่สาวของเธออย่างรุนแรงนั้นได้กระเด็นหลุดออกจากมือของเธอไปและลอยละลิ่วขึ้นไปสูงเหนือฟากฟ้า ในขณะที่เจ้าของดาบคาตานะเล่มนั้นเองก็ถูกฟาดฟันลากเป็นทางยาวตั้งแต่หัวไหล่ข้างซ้ายไปจนถึงเอวฝั่งขวาจนทำให้ชุดผ้าสีขาวของเธอค่อยๆ ถูกย้อมเป็นสีแดงฉานด้วยเลือดที่ค่อยๆ ไหลรินออกมา
หมับ
ในขณะที่สติของอิซานางิกำลังจะหลุดลอยไปนั้นเธอก็ได้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ในการก้าวเท้าออกไปเบื้องหน้าและแสยะรอยยิ้มแบบเดียวกับในตอนที่เธอกำลังเล่นงานเซซิลที่ทุ่งราบใกล้กับเมืองรีมินัสออกมาก่อนที่เธอจะเอื้อมมือออกไปโอบกอดพี่สาวฝาแฝดของเธอเอาไว้พร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ
“หนูขอล่วงหน้าไปพบกับเขาก่อนละกันนะคะ… พี่สาว…”
ผลัก—
อิซานางิที่ได้ใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายในการเอ่ยปากพูดกับพี่สาวของตัวเองไปนั้นได้ผลักอีกฝ่ายออกไปก่อนที่เธอจะหันหลังกลับและออกก้าวเดินไปทางต้นไม้ที่มีใบสีชมพูด้วยรอยยิ้มที่งดงาม แต่ว่าอิซานางิก็ออกก้าวเดินไปได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าวก่อนที่เธอจะหมดแรงและค่อยๆ ทรุดตัวลงไปกับพื้นและนอนแน่นิ่งไป
ฟุบ—-
“……”
อิซานามิที่เพิ่งจะลงมือสังหารน้องสาวฝาแฝดของเธอไปนั้นได้ยืนนิ่งมองดูร่างของน้องสาวของตัวเองที่กำลังหายใจรวยรินอยู่อย่างเงียบๆ โดยที่ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อยก่อนที่เธอจะเก็บดาบคาตานะกลับเข้าไปในฝักดาบของตนและทำท่าเหมือนกับว่าจะเดินจากไปในทันที
กึก…
แต่ว่าทันใดนั้นเองสายตาของเธอก็ได้เหลือบไปเห็นดาบยักษ์ของอิซานางิที่ถูกวางทิ้งไว้ตรงโคนต้นไม้ที่ผลิใบเป็นสีชมพูเข้าซะก่อน ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอต้องหยุดยืนมองดูมันอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปใกล้มัน
“ฉันจบมันลงให้คุณแล้วนะคะ…”
อิซานามิพูดขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับยกแขนเสื้อสีขาวของเธอขึ้นมาเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่บนใบดาบอย่างอ่อนโยนก่อนที่เธอจะลุกขึ้นยืนอีกครั้งและก้าวเดินกลับไปทางชายป่าในทิศทางเดียวกับที่เธอเดินมาโดยไม่ได้หันกลับมามองเบื้องหลังอีก
ตึกตึกตึก
หลังจากที่อิซานามิเดินออกไปจากเนินราบที่มีต้นไม้ที่ผลัดใบเป็นสีชมพูยืนต้นอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ไม่นานสักเท่าไหร่นักอยู่ๆ ก็ได้มีเด็กหญิงคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีทองในชุดเสื้อสีขาวกับกระโปรงสีฟ้าวิ่งตรงมายังร่างของอิซานางิที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นไปตะโกนบอกใครบางคนที่เฝ้าจับตาดูอยู่ข้างบนนั้นขึ้นมา
“พี่ฮานะ! พวกเขาสู้กันเสร็จแล้วค่ะ รีบมาเร็ว!”
ฟุ๊บ!
ในทันทีที่สิ้นเสียงเรียกของเด็กสาวนั้นก็ได้มีร่างของหญิงสาวที่มีเส้นผมสีเหลืองทองในชุดสาวใช้เปิดไหล่ที่มีปีกแสงสีฟ้ารูปทรงเหมือนกับปีกผีเสื้อลอยตัวลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบนอย่างรวดเร็วก่อนที่สาวใช้คนนั้นจะรีบก้มลงไปมองดูอาการของอิซานางิที่ยังคงหายใจรวยรินจมกองเลือดอยู่กับพื้นข้างๆ ต้นไม้ต้นนั้นในทันที
“เป็นยังไงบ้างคะพี่ฮานะ พวกเราพอจะช่วยเขาได้หรือเปล่าคะ?”
“อื้ม…”
สาวใช้ปีกแสงสีฟ้าที่ชื่อว่าฮานะได้ใช้เวลาตรวจสอบบาดแผลของอิซานางิที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นอยู่อีกชั่วขณะก่อนที่เธอจะขมวดคิ้วแน่นจนแทบจะติดกันและร้องสั่งเด็กหญิงที่ชื่อว่าซัมเมอร์ขึ้นมา
“คมดาบฟันเฉือนโดนปอดไปบางส่วน ชีพจรเต้นอ่อนแรงแถมเสียเลือดมากขนาดนี้น่าจะเหลือเวลาอย่างมากก็แค่ไม่กี่นาที… ซัมเมอร์เธอรีบไปตามหัวหน้ามาที่นี่เร็ว!!”
ค…ใคร…?
“ร—รับทราบค่ะ!!”
ซัมเมอร์รีบเอ่ยปากรับคำของฮานะกลับไปก่อนที่เธอจะรีบวิ่งกลับเข้าไปในแนวป่าทางด้านหลัง ในขณะที่ทางด้านฮานะนั้นก็ได้ส่งละอองแสงบางส่วนออกมาจากปีกแสงสีฟ้าบนแผ่นหลังของเธอและสั่งให้มันลอยออกมากระจุกกันอยู่ที่เบื้องหน้าจนกลายเป็นกล่องสีขาวกล่องหนึ่งที่มีเครื่องหมายรูปตัวบวกสีเขียวติดเอาไว้ที่ด้านหน้ากล่องพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ฉันไม่ใช่แฟรี่พยาบาลเพราะงั้นก็คงจะช่วยยื้อชีวิตให้คุณได้ไม่นานสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดว่าคุณไม่อยากทิ้งพวกลูกน้องของคุณเอาไว้ข้างหลังก็อย่าเพิ่งชิงตายหนีพวกเขาไปก่อนละกันนะคะ!!”
ลูกน้อง…? พวกนั้นรอด…?
อิซานางิที่ได้ยินเสียงพูดของฮานะนั้นได้ขยับตัวเล็กน้อยและพยายามที่จะขยับเปลือกตาของเธอให้ลืมขึ้นมาอย่างยากลำบากซึ่งนั่นก็ทำให้ฮานะที่เห็นว่าหญิงสาวเบื้องหน้ามีปฏิกิริยาตอบสนองกับคำพูดของเธอรีบพูดขึ้นมาอีกครั้งในทันที
“ก็ต้องขอบคุณที่คุณบุกสวนทหารของเมืองซากิกลับเข้าไปด้วยตัวคนเดียวแบบนั้น ลูกน้องของคุณทั้งห้าคนก็เลยได้มีโอกาสหนีรอดมาจนเจอกับพวกฉันได้น่ะค่ะ”
ในขณะที่ฮานะกำลังเอ่ยปากพูดกับอิซานางิไปนั้นมือของเธอก็ได้ขยับไปเปิดกล่องสีขาวที่เธอเรียกออกมาเพื่อหยิบเอาเข็มฉีดยา ผ้าสะอาดและด้ายเย็บแผลออกมาจัดการบาดแผลของอิซานางิไปด้วย
แต่ถึงแม้ว่าบาดแผลเล็กๆ น้อยและรอยแผลจากลูกธนูบนไหล่ของอิซานางิจะเรียกได้ว่าไม่เกินกว่าความสามารถในการปฐมพยาบาลของเธอมากมายสักเท่าไหร่นัก ทางด้านบาดแผลถูกฟันลากยาวที่กลางลำตัวของอิซานางิที่เกิดจากฝีมือของอิซานามินั้นกลับเกินกว่าความสามารถของเธอไปมากจนฮานะได้แต่พูดจาให้กำลังอิซานางิไปเรื่อยๆ เพียงเท่านั้น
“ถึงคุณจะยอมให้เรื่องราวของคุณมาจบลงที่ตรงนี้ไปแล้วก็เถอะ แต่ไม่ใช่ว่าตัวคุณเองก็ยังคงมีเป้าหมายที่จะต้องแก้แค้นอยู่อีกไม่ใช่หรือยังไงกันคะ!”
แก้แค้น…? ใช่… ทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะเจ้าพวกนั้น…
“คุณน่ะยังไม่ได้แก้แค้นคนพวกนั้นด้วยมือของตัวเองเลยนะคะ เพราะฉะนั้นคุณจะยังมาตายตอนนี้ไม่ได้นะคะ เข้าใจมั้ย!!”
เปรี๊ยะ—
“เธอพูดมากไปแล้วนะฮานะ…”
เสียงของปีกแสงสีฟ้าที่เกิดรอยแตกร้าวเป็นทางยาวที่ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงพูดเตือนของนูลิสนั้นไม่ได้ทำให้ฮานะเปลี่ยนสีหน้าไปเลยแม้แต่น้อย แต่ว่ายังไม่ทันที่ฮานะจะได้พูดตอบอะไรสาวใช้ตัวน้อยกลับไป ซัมเมอร์ที่วิ่งนำนูลิสและเด็กสาวในชุดผ้าคลุมมาทางนี้ก็ได้รีบวิ่งเข้ามาหาเธอซะก่อน
“พี่ฮานะคะ! หนูพาพี่นูลิสกับหัวหน้ามาแล้วค่ะ!”
ในทันทีที่ซัมเมอร์พูดบอกกับสาวใช้ที่มีเส้นผมสีเหลืองทองในชุดเครื่องแบบเปิดไหล่เสร็จนั้นเธอก็ได้รีบเดินเข้าไปหลบอยู่ที่ด้านหลังของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วก่อนจะแอบชะโงกหน้าออกมามองดูนูลิซและเด็กสาวในชุดผ้าคลุมสีดำปิดหน้าปิดตาด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ เหมือนกับว่าเธอไม่กล้าที่จะอยู่ใกล้กับทั้งสองคนสักเท่าไหร่นัก
แต่ถึงแบบนั้นเด็กสาวในชุดผ้าคลุมก็ไม่ได้สนใจท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ของซัมเมอร์เลยแม้แต่น้อยและก้าวเดินเข้าไปหาอิซานางิที่นอนหายใจรวยรินอยู่กับพื้นอย่างเงียบๆ แล้วจึงยื่นมือออกไปสัมผัสกับหน้าผากของอีกฝ่ายโดยไม่พูดไม่จา
“…..”
“เป็นไงบ้างคะหัวหน้า?”
“เรียบร้อยแล้ว…นูลิส…พาร่างกลับไปซะ…”
“ค่ะ…!”
นูลิสขานตอบหัวหน้าของเธอกลับไป ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีหญิงสาวผมสีดำในชุดเครื่องแบบสาวใช้ที่สวมใส่หน้ากากสีขาวเนียนไร้ลวดลายสองคนปรากฏตัวขึ้นมาจากป่าด้านหลังและเดินตรงมาทางพวกเธอ ซึ่งนั่นก็ทำให้ซัมเมอร์ที่ยืนหลบอยู่เบื้องของฮานะเบียดตัวเข้าไปเกาะชายเสื้อของฮานะเอาไว้ด้วยสีหน้าหวาดกลัวในทันที
แต่ว่าสาวใช้สวมหน้ากากทั้งสองคนก็ไม่ได้สนใจท่าทางของซัมเมอร์เลยแม้แต่น้อยและเดินตรงเข้าไปหาอิซานางิก่อนที่หนึ่งในสองคนนั้นจะแผ่ปีกแสงผีเสื้อสีส้มออกมาและแผ่กระจายละอองแสงส่วนหนึ่งออกมาสร้างเป็นเปลสำหรับขนย้ายผู้ป่วยแล้วจึงได้ช่วยกันยกร่างของอิซานางิที่นอนแน่นิ่งไปอีกครั้งหนึ่งแล้วขึ้นมาบนเตียงก่อนจะช่วยกันขนย้ายร่างของอิซานางิหายเข้าไปในแนวป่ากันในทันที
ซึ่งในขณะที่สาวใช้สวมหน้ากากทั้งสองคนกำลังช่วยกันขนย้ายคนเจ็บกันอยู่นั้น ทางด้านร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมเองก็ได้เหลือบไปมองปีกแสงสีฟ้าของฮานะที่มีรอยแตกร้าวเล็กๆ อยู่สักครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะเอ่ยปากสั่งงานคนที่เหลือออกมา
“นูลิส ฮานะ จัดการเก็บกวาดที่นี่ซะ… ส่วนเรื่องของผู้หญิงผมชมพูคนนั้นฉันจะเป็นคนจัดการเอง…”
“ค่ะ… / รับทราบค่ะ!”
นูลิสและฮานะที่ถูกสั่งงานมานั้นได้พร้อมใจกันค้อมหัวและขานตอบเด็กสาวที่เป็นหัวหน้าของพวกเธอกลับไปสั้นๆ และเมื่อเด็กสาวในชุดผ้าคุลมได้ยินคำตอบรับจากทั้งสองคนแล้วเธอก็ได้ออกก้าวเดินตามสาวใช้สวมหน้ากากทั้งสองคนกลับเข้าไปในป่าอีกครั้งหนึ่ง
“เธอนี่ก็ขยับหางานมาเพิ่มให้หัวหน้าเขาได้จริงๆ นะ ฮานะ…”
“พูดมากน่านูลิส ถึงมันจะไม่เกี่ยวข้องกับคำสั่งที่ได้รับมาในคราวนี้แต่นี่ก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ที่หัวหน้าได้มอบหมายให้พวกเราเอาไว้ในตอนแรกไม่ใช่หรอ?”
“แต่ว่ามันก็อยู่นอกเหนือจากคำสั่งของภารกิจในคราวนี้…”
“ถ้าจะให้พูดเรื่องนั้น… ไม่ใช่ว่าตัวเธอเองก็ทำนอกเหนือจากคำสั่งบ่อยกว่าฉันอีกไม่ใช่หรอไง?”
“…..”
นูลิซที่ถูกฮานะพูดสวนกลับมาแบบนั้นได้ปิดปากเงียบไปและเหลือบไปมองรอยร้าวบนปีกแสงสีฟ้าของอีกฝ่ายที่สมานกันจนเกือบจะจางหายไปแล้วแล้วจึงเอ่ยปากพูดย้ำเตือนถึงหน้าที่ของพวกเธอขึ้นมา
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง… แต่เธอก็อย่าลืมล่ะว่าทุกการกระทำของพวกเรา—”
“ ‘ทุกการกระทำของพวกเรามีไว้เพื่อรับใช้หัวหน้าและคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมา’ ใช่มั้ยล่ะ เธอไม่จำเป็นต้องพูดย้ำเรื่องนี้ซ้ำๆ ซากๆ หรอกหน่านูลิส”
“ถ้าเธอว่าอย่างนั้นล่ะก็นะ…”
ฟุบ—
นูลิสพูดตอบฮานะกลับไปสั้นๆ ก่อนที่สาวใช้ตัวน้อยจะแผ่ปีกแสงสีฟ้าทรงกลมเหมือนกับปีกผีเสื้อออกมาจากแผ่นหลังและพุ่งตัวหายขึ้นไปบนท้องฟ้าเบื้องบนในพริบตา
“พ…พี่ฮานะคะ…”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกจ้ะซัมเมอร์ พี่นูลิสเขาก็แค่ขี้กังวลไปหน่อยแค่นั้นแหล่ะ เอาเป็นว่าเธอช่วยไปยกดาบอันใหญ่ๆ ตรงโคนต้นไม้นั่นมาให้พี่หน่อยสิ แล้วเดี๋ยวพี่จะได้แสดงตัวอย่างของการกลบร่องรอยของพวกเราให้เธอดูเอง”
“ค–ค่ะ!”