หลังจากที่แผนการค้นหานอกสถานที่ของไดเอน่าได้รับการอนุมัติจากท่านผู้อำนวยการแล้วเวลาก็ได้เลยผ่านไปอีกสองวัน จนในที่สุดทั้งทางโรงเรียนและทางเอริกะก็ได้จัดเตรียมอุปกรณ์ ยานพาหนะ และกำลังคนให้กับกลุ่มค้นหาอาจารย์อารอนของพวกนากาจนพร้อมเดินทางได้เป็นที่เรียบร้อยและกำหนดการออกเดินทางก็คือตอนช่วงเช้ามืดของวันนี้นี่เอง
“เธอแน่ใจนะว่าจะไปไหวน่ะโมโกะจัง การเดินทางรอบนี้ต้องออกจากเมืองไปหลายวันอยู่นะ”
และในขณะที่ทุกคนกำลังยืนรอรถกระบะที่จะมาถึงในไม่ช้านี้อยู่นั้นเอง ไดเอน่าที่เห็นว่าบนใบหน้าและศีรษะของโมโกะยังคงถูกพันผ้าพันแผลเอาไว้ก็ได้เอ่ยปากพูดถามเด็กสาวหูแมวขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง เพราะเธอรู้ว่าแผลไฟไหม้แบบนั้นจำเป็นจะต้องได้รับการรักษาอย่างดีเพื่อที่จะได้ทำให้มันหลงเหลือรอยแผลเป็นทิ้งเอาไว้ให้น้อยที่สุด และการรักษาอย่างดีที่ว่านั้นก็ฟังดูไม่ค่อยจะเข้ากับการออกเดินทางไปยังหมู่บ้านของรีซาน่าที่อยู่ในป่าลึกทางทิศเหนือเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งโมโกะที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แอบสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบกลับไปแบบตะกุกตะกักเนื่องจากว่าเธอยังไม่สนิทกับไดเอน่ามากนักจนยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่าประธานนักเรียนสาวจะรู้สึกรังเกียจคนที่เต็มไปด้วยแผลแถมยังหูแมวแหว่งหายไปข้างหนึ่งแบบเธอหรือเปล่า
“อ…อื้ม… ฉันไหวแหล่ะ… เพราะยังไงก็ต้องมีคนคอยช่วยพาอีฟเดินป่าอยู่แล้วนี่…”
“…..!”
ในทันทีที่มีชื่อของอีฟดังขึ้นมาจากปากของโมโกะนั้นเอง ทางด้านเด็กสาวผมสีขาวผู้ไม่เคยลืมตาที่กำลังวิ่งไล่ผีเสื้อตัวหนึ่งอยู่ในสนามหญ้าจนเริ่มจะห่างออกไปไกลคนนั้นก็ได้หันกลับมาหาโมโกะก่อนจะรีบวิ่งตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเธอพร้อมกับเอียงคอด้วยท่าทีสงสัย และนั่นก็ทำให้โมโกะต้องรีบพูดอธิบายออกมาให้เด็กสาวฟัง
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะอีฟ เมื่อกี้นี้ฉันแค่พูดถึงเธอเฉยๆ น่ะ ไม่ได้เรียกหาหรอก เธอไปวิ่งเล่นต่อเถอะ”
“……”
อีฟที่ได้ยินคำพูดอธิบายของโมโกะไปแล้วนั้นไม่ได้กลับไปวิ่งเล่นในสนามหญ้าเหมือนดั่งที่เธอทำอยู่เมื่อสักครู่นี้ แต่ว่ากลับเดินแทรกตัวเข้าไปยืนขวางอยู่ระหว่างโมโกะและไดเอน่าราวกับว่ากำลังจะปกป้องโมโกะที่รู้สึกลำบากใจอยู่จนทำให้ไดเอน่าถึงกับหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย
“…..!!”
แต่ว่าทันใดนั้นเอง อยู่ๆ รีซาน่าที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันและไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องความลำบากใจของโมโกะก็ได้ยกตัวอีฟขึ้นมาขี่คอเมื่อเธอเห็นว่าเด็กสาวได้เข้าไปแทรกการพูดคุยของคนอื่นพร้อมกับเอ่ยปากพูดเตือนออกมาด้วย
“อย่าเข้าไปกวนตอนคนอื่นคุยกันสิจ๊ะอีฟ มาเล่นกับฉันก่อนนี่มา~”
“~~~♪”
อีฟที่ถูกยกขึ้นไปขี่คอของรีซาน่านั้นดูเหมือนว่าจะละความสนใจออกมาจากโมโกะและไดเอน่าอย่างสิ้นเชิงก่อนที่เธอจะจับไปที่เขาของรีซาน่าเพื่อกระตุ้นให้เด็กสาวร่างยักษ์เดินตรงไปข้างหน้าราวกับว่ากำลังขี่สัตว์ใหญ่อยู่
ส่วนทางด้านนากาที่เห็นว่ามีคนไปเล่นกับอีฟแทนแล้วก็ได้เข้ามาร่วมวงพูดคุยของสาวๆ ด้วยอีกคนหนึ่ง โดยหัวข้อการพูดคุยของเขานั้นก็คือท่าทางหวาดระแวงของมายะที่พักนี้ดูอาการหนักกว่าที่เขาจำได้มากนัก
“ว่าแต่พักนี้มายะเขาเป็นอะไรไปน่ะไดเอน่า? ถึงปกติเขาจะดูตื่นๆ แบบนั้นอยู่แล้วก็เถอะ แต่พักนี้ขนาดอยู่ในห้องเรียนก็ยังทำท่าทางแบบนั้นอยู่เลยนะ”
“หมายถึงท่าทางแบบนั้นน่ะหรอ…”
ไดเอน่าที่ได้ยินคำถามของนากาได้ยกมือขึ้นมาเกาศีรษะก่อนจะชี้ไปทางด้านห้องพยาบาลให้นากาได้เห็นมายะที่กำลังเกาะกระจกห้องพยาบาลที่เธอคิดว่าปลอดภัยอยู่เพื่อสาดส่องสายตาออกมาภายนอกด้วยท่าทีหวาดระแวงโดยมีร่างของคาร์เทียร์โผล่มาให้เห็นเป็นระยะๆ เพื่อพยายามพูดปลอบมายะให้ใจเย็นลงก่อน
และในทันทีที่มายะสังเกตเห็นว่านากาและไดเอน่ากำลังหันมามองทางเธออยู่นั้นเองเธอก็ได้รีบผลุบหน้าหายเข้าไปหลังผ้าม่านก่อนจะยื่นมือออกมาโบกให้พวกเขาเล็กน้อยในขณะที่ทางด้านไดเอน่าก็ได้เอ่ยปากพูดอธิบายออกมาให้นากาฟัง
“เห็นมายะจังเขาบอกว่าพักนี้เธอกำลังโดนเคนซากิคุงแอบตามมองอยู่น่ะจ้ะ เธอก็เลยไม่ค่อยจะกล้าอยู่คนเดียวสักเท่าไหร่เพราะกลัวว่าจะมีเคนซากิคุงโผล่ออกมาจนแทบจะขนของไปนอนที่บ้านฉันแทนอยู่แล้วเนี่ย… เอาจริงๆ มายะจังเขาอยากจะมาส่งพวกเธอเหมือนกันนะ แต่ฉันเห็นว่าไหนๆ ก็มีโอกาสแล้วทั้งทีก็เลยส่งมายะจังเขาไปให้คาร์เทียร์จังตรวจดูเลยน่ะ”
“เคนซากิ? คนผมสีเบจที่อยู่ห้องเดียวกับฉันแล้วก็มายะน่ะนะ? เขาอยากจะตีสนิทกับมายะเฉยๆ หรือเปล่า เพราะฉันเห็นหมอนั่นเข้าหาพวกผู้หญิงแทบจะทุกคนเลยนี่”
“ฉันว่าไม่ใช่อยากจะตีสนิทหรอกนะ เพราะเห็นมายะจังบอกว่าเห็นเคนซากิคุงเขายิ้มแบบแปลกๆ แล้วก็แอบตามมายะไปทุกที่เลยน่ะ แต่ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเหมือนกันเพราะว่าถ้าจะให้เข้าไปถามเคนซากิเขาตรงๆ เลยมันก็คงจะดูแปลกๆ ใช่มั้ยล่ะ”
“อื้ม มันก็จริงนั่นแหล่ะ… เดี๋ยวนะ ว่าแต่เมื่อกี้เธอบอกว่าเคนซากิเขา ‘แอบตาม’ มายะไปทั่วเลยงั้นหรอ?”
ในขณะที่นากากำลังพยักหน้าให้กับคำพูดของไดเอน่าอยู่นั้นเองเขาก็ต้องชะงักไปเมื่อคิดไปถึงคำพูดของไดเอน่า เพราะถ้าเกิดว่าเป็นเรื่องโดนแอบตามล่ะก็ โมโกะเองก็เคยพูดเหมือนกับว่าเธอเคยเจอปัญหาแบบเดียวกันนี้อยู่ด้วยเช่นกัน
“จะว่าไปยัยนั่นก็เคยบอกว่าโดนคนแอบตามอยู่ด้วยเหมือนกันนี่นา…”
“เอ๋? หมายถึงโมโกะจังเขาน่ะหรอ?”
“อื้อ… มันเรื่องตั้งแต่สมัยที่พวกฉันเพิ่งจะย้ายเข้ามาในเมืองใหม่ๆ น่ะ แต่ว่าไม่ใช่ฝีมือของเคนซากิหรอกนะ เห็นโมโกะบอกว่าคนที่แอบตามเธอเป็นเด็กผู้หญิงผมสีเหลืองๆ น่ะ แต่พักนี้ไม่เห็นพูดถึงเลยเพราะงั้นก็น่าจะเลิกแอบตามไปแล้วล่ะมั้ง”
“หืม… เด็กผู้หญิงผมสีเหลืองงั้นหรอ…?”
ไดเอน่าที่ได้ยินคำพูดของนากาได้เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไรมากนัก เพราะถ้าเกิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงผมสีเหลืองที่มีนิสัยชอบแอบตามคนอื่นจากมุมมืดนั้นตัวเธอเองก็รู้จักอยู่คนหนึ่ง เพราะว่าเด็กนักเรียนคนนั้นเป็นที่กล่าวขานอยู่ในหมู่ภารโรงรวมถึงครูอาจารย์และนักเรียนบางส่วนอยู่เรื่อยๆ และเธอก็มั่นใจด้วยว่าเด็กนักเรียนคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเคนซากิอย่างแน่นอน
“อื้ม… แต่ฉันว่าเรื่องของเด็กผมสีเหลืองคนนั้นไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องของเคนซากิหรอกจ้ะ”
“งั้นหรอ ฉันแค่เห็นว่ามันฟังดูคล้ายๆ กันก็เลยลองเล่าให้เธอฟังดูเฉยๆ น่ะ ถ้าเกิดว่ามันไม่เกี่ยวข้องกันก็ดีแล้วล่ะ อีกอย่างนึงพักนี้โมโกะเขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้แล้วด้วย เพราะงั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก”
“หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเธอมีเรื่องอื่นให้กลุ้มใจมากกว่าเรื่องที่ว่ามีคนแอบตามก็ได้นะ…”
ไดเอน่าเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับชำเลืองมองไปทางด้านโมโกะที่กำลังเล่นอยู่กับอีฟและรีซาน่าด้วยแววตาเศร้าๆ ก่อนที่เธอจะลดเสียงลงเพื่อระวังไม่ให้เด็กสาวหูแมวที่กำลังตกเป็นเป้าสนทนาได้ยิน
“เอาเป็นว่าถ้าฉันสืบเรื่องของเคนซากิกับมายะเขาได้ความว่ายังไงจะรีบมาบอกนายก็แล้วกัน ตอนนี้พวกนายตั้งสมาธิไปกับเรื่องการค้นหาร่องรอยของอาจารย์อารอนที่หมู่บ้านของรีซาน่าจังเขาก่อนเถอะ”
“อ่า… ถ้าเธอว่างั้นล่ะก็นะ”
นากาพยักหน้าตอบไดเอน่ากลับไปสั้นๆ และเมื่อไดเอน่าเห็นว่านากายังคงมีท่าทีสบายๆ แบบนั้นเธอจึงได้ตัดสินใจที่จะเอ่ยปากพูดเตือนเขาขึ้นมา เพราะดูท่าทางว่านากาจะยังคงคิดว่าการไปยังหมู่บ้านของรีซาน่าในครั้งนี้เป็นการออกเดินทางไปยังหมู่บ้านของเพื่อนของเขาแบบธรรมดาๆ ไม่ใช่การเดินทางไปยังหมู่บ้านลึกลับที่แม้แต่เธอก็ยังหาข้อมูลอะไรไม่ได้แบบนี้
“แต่ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องหมู่บ้านของรีซาน่าจังเขานี่ ถึงพวกนายจะไปที่นั่นในนามของทางโรงเรียนก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่ามีอะไรน่าเป็นห่วงหรือว่าดูอันตรายก็ให้รีบพาคนอื่นๆ หนีกลับออกมาก่อนได้แบบไม่ต้องกลัวว่าจะเสียมารยาทเลยนะเข้าใจมั้ย… คือถึงจะบอกว่ามันเป็นหมู่บ้านของรีซาน่าจังเขาก็เถอะ แต่ขนาดฉันเองก็ยังหาข้อมูลอะไรเกี่ยวกับหมู่บ้านของเธอไม่ได้เลยนะ”
“ถึงฉันจะเคยได้ยินมาว่าหมู่บ้านของรีซาน่าเขาอยู่ในป่าลึกก็เถอะ แต่ว่ามันอยู่ลึกขนาดไหนถึงทำให้แม้แต่เธอก็ยังหาข้อมูลไม่ได้เลยเนี่ย?”
“อื้ม… ถ้าดูจากแผนที่ชุดปัจจุบันแล้วตรงจุดที่รีซาน่าบอกว่าเป็นหมู่บ้านของเธอมันไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากผืนป่าน่ะ แล้วถึงพวกหมู่บ้านที่ตั้งอยู่แถวๆ นั้นจะมีเรื่องเล่าว่ามีหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในป่าจริงๆ ก็เถอะ แต่พวกเขาก็ไม่เคยติดต่อกันมาก่อนเลย เพราะงั้นฉันก็เลยคิดว่ามันอาจจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้พวกเขาไม่ยอมติดต่อกับโลกภายนอกแบบนี้เลยก็ได้… ถึงจะไม่แน่ใจว่าเป็นเหตุผลในด้านดีหรือว่าร้ายก็เถอะนะ”
“เข้าใจแล้วล่ะ เอาเป็นว่าพวกฉันจะระวังตัวก็แล้วกัน”
บรื่นนนนนน—
“ดูเหมือนว่ารถของพวกนายจะมาแล้วล่ะ”
ในระหว่างที่ไดเอน่ากำลังพูดคุยกับนากาอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงเครื่องยนต์หนักๆ ของรถกระบะดังกระหึ่มตัดความเงียบในช่วงเช้ามืดดังขึ้นมาให้พวกเขาได้ยิน ซึ่งเสียงของเครื่องยนต์ที่ดังไม่ใช่น้อยนั้นก็ได้ทำให้อีฟที่ขี่คอของรีซาน่าอยู่หันไปมองทางต้นเสียงด้วยความสนใจจนทำให้รีซาน่าต้องร้องเตือนขึ้นมาเกี่ยวกับการขยับตัวอย่างกะทันหันของเด็กสาว
“อ่ะ— ระวังหน่อยสิคะอีฟจัง เดี๋ยวก็หล่นลงมาหรอก”
“…..!!”
ถึงแม้ว่าอีฟจะได้ยินคำเตือนของรีซาน่าไปแล้วก็ตามแต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะถูกยานพาหนะแปลกตาอย่างรถกระบะคันใหญ่ที่ขับเข้ามาจอดใกล้ๆ ดึงดูดความสนใจไปเสียหมดจนไม่ได้สนใจจะฟังคำเตือนของรีซาน่าเลยแม้แต่น้อย
“……..”
และในขณะที่อีฟกำลังให้ความสนใจกับรถกระบะที่ขับมาจอดใกล้ๆ กันอยู่นั้นเอง ประตูของรถกระบะก็ได้ถูกเปิดออกก่อนที่จะมีร่างสูงใหญ่ของชายผมสั้นผิวสีขาวซีดก้าวลงมาอย่างเงียบๆ
ซึ่งตัวตนของชายร่างยักษ์ผิวสีขาวซีดนั้นก็ถึงกับทำให้รีซาน่าต้องมองอีกฝ่ายตาค้าง เนื่องจากว่าตัวเธอที่มีร่างกายค่อนข้างจะใหญ่โตกว่าชาวบ้านชาวช่องนั้นไม่ค่อยจะได้มีโอกาสเจอคนที่สูงกว่าเธอแบบนี้สักเท่าไหร่นัก และการกระทำของรีซาน่านั้นก็ได้ทำให้ชายร่างยักษ์ผิวสีขาวซีดจำเป็นที่จะต้องพูดแนะนำตัวขึ้นมา
“เดรค… เอริกะบอกให้มาขับรถให้…”
“อ–เอ๋— อะไรนะคะ?”
ในขณะที่รีซาน่ากำลังรู้สึกสงสัยกับคำพูดของชายร่างยักษ์ผิวสีขาวซีด หรือก็คือ เดรค ชายหนุ่มร่างยักษ์ที่เป็นหนึ่งในคนของเอริกะอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ประตูของรถกระบะอีกฝั่งหนึ่งก็ได้ถูกเปิดออกก่อนที่จะตามมาด้วยร่างของหญิงสาวผมสีขาวที่ก้าวลงมาจากรถเพื่อพูดอธิบายให้เด็กสาวฟัง
“พี่เบิ้มคนนั้นเขาชื่อว่าเดรคน่ะจ้ะ เป็นคนที่คุณเอริกะไหว้วานให้มาช่วยขับรถให้พวกเธอในการเดินทางน่ะ”
“เอ๋—? อาจารย์เทีย?”
หน้าตาของหญิงสาวผมสีขาวคนที่ก้าวลงมาจากรถเพื่อพูดอธิบายนั้นได้ทำให้รีซาน่าชะงักไปอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาเหมือนกับ อาจารย์เทีย อาจารย์สาวคนที่มักจะพูดจาตะกุกตะกักอย่างไม่มีผิดเพี้ยน และนั่นก็ทำให้หญิงสาวคนที่เพิ่งจะก้าวลงมาจากรถต้องพูดอธิบายออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ฉันชื่อว่า มีอา เป็นน้องสาวของอาจารย์เทียเองจ้ะ ที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณพวกเธอที่คอยช่วยดูแลพี่สาวของฉันด้วยนะจ๊ะ ว่าแต่ไดเอน่าจังที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มคือเธอหรือเปล่า?”
หลังจากที่มีอาพูดอธิบายให้รีซาน่าฟังเสร็จแล้วเธอก็หันไปทางไดเอน่าที่เป็นหัวหน้ากลุ่มและเอ่ยปากพูดถามขึ้นมา และนั่นก็ทำให้ไดเอน่าต้องรีบพูดตอบกลับไปเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
“ใช่แล้วค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณมีอา คุณเดรค ถ้ายังไงฉันต้องขอฝากสมาชิกกลุ่มของฉันไว้กับพวกคุณด้วยนะคะ”
“คนนำทางไปนั่งข้างหน้า…”
ในขณะที่ไดเอน่ากำลังเอ่ยปากพูดฝากฝังความปลอดภัยของเพื่อนของเธอไว้กับผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่เอริกะส่งมาอยู่นั้นเอง ทางด้านเดรคที่ดูเหมือนว่าจะแผ่รังสีความเย็นชาออกมามากกว่าที่นากาจำได้มากนักก็ได้เอ่ยปากพูดสั่งขึ้นมาสั้นๆ พร้อมหันไปมองรีซาน่าจนทำให้เธอถึงกับสะดุ้งไป
“อ่ะ—ค่ะ!!”
หลังจากที่รีซาน่าพูดตอบรับกลับไปจบแล้วเธอก็รีบปล่อยตัวอีฟลงจากหลังก่อนจะคว้าขวานศึกขนาดยักษ์คู่ใจของเธอขึ้นมาถือเอาไว้และมุดเข้าไปภายในห้องโดยสารอย่างรวดเร็ว แต่ว่าทันใดนั้นเองเธอก็ต้องชะงักไปเมื่อได้พบว่าตนเองไม่สามารถยัดขวานศึกขนาดยักษ์เข้าไปภายในห้องโดยสารได้
“ฮึ่ม…”
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้เดรคพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาหนึ่งทีจนรีซาน่าถึงกับหน้าซีดเพราะไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจหรือเปล่า เธอจึงได้ลนลานโยนขวานศึกคู่มือเข้าไปในกระบะหลังรถจนเกิดเสียงดังลั่นและรีบมุดเข้าไปนั่งในห้องโดยสารอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ… เดรคเขาอารมณ์ไม่ดีอยู่หรือเปล่าน่ะ?”
ในขณะที่ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบเพราะไม่มีใครกล้าพูดอะไรอยู่นั้นเอง ทางด้านนากาก็ได้ชะโงกหน้าเข้าไปถามมีอาที่เขาเคยพบตัวมาแล้วครั้งสองครั้งที่บ้านของเอริกะขึ้นมาเบาๆ เพราะถึงแม้ว่าในทุกครั้งที่เขาได้พบกับเดรค ชายหนุ่มร่างยักษ์จะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ทุกครั้งก็ตาม แต่ว่าในครั้งนี้ท่าทีของเดรคดูราวกับว่าเขากำลังรู้สึกหงุดหงิดอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ
ซึ่งทางด้านมีอาที่ได้ยินคำถามของนากาก็ได้แต่แอบส่ายหน้าไปมากับท่าทีของเพื่อนร่วมงานของเธอด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะรีบเร่งให้นากาและคนอื่นๆ ขึ้นรถไปก่อน
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ล่ะมั้ง แต่เรื่องนั้นฉันว่าเอาไว้คุยกันทีหลังน่าจะดีกว่านะ ตอนนี้พวกเธอขนของขึ้นรถกันก่อนเถอะ”
“อ่ะ ได้ครับ โมโกะมาช่วยฉันหน่อย ส่วนอีฟเธอปีนขึ้นรถไปเองไหวมั้ย”
“อ–อื้อ…”
“…….!!”
ในขณะที่โมโกะได้พยักหน้าตอบนากากลับมาเบาๆ นั้น ทางด้านอีฟก็ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นขึ้นมาก่อนที่เธอจะยกขาขึ้นเพื่อพยายามปีนขึ้นเข้าไปด้านในกระบะท้ายรถจนทำให้มีอาต้องเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาด้วยความเอ็นดูแล้วจึงเข้าไปช่วยอุ้มเด็กสาวขึ้นไปนั่งดีๆ
และเมื่อทุกคนขนข้าวของและขึ้นไปนั่งบนกระบะหลังรถกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดรคผู้เป็นคนขับก็ไม่รอช้าที่จะออกรถไปในทันที จนทำให้ไดเอน่าต้องรีบพูดบอกลาพวกเขาออกมาก่อนที่พวกนากาจะได้เคลื่อนตัวพ้นเขตโรงเรียนไป
“ถ้างั้นก็ขอให้โชคดีนะทุกคน กลับมาแล้วอย่าลืมมารายงานตัวกันด้วยล่ะ!”
“โอ้! ไว้เจอกันนะไดเอน่า!”
“……!”
นากาที่ได้ยินคำพูดบอกลาของไดเอน่าได้ป้องปากตะโกนพูดกลับไป ในขณะที่ทางด้านอีฟก็ได้ลุกขึ้นยืนเพื่อโบกมือลาไดเอน่าด้วยท่าทีร่าเริงจนทุกๆ คนต้องช่วยกันจับตัวเธอให้นั่งลงตามเดิมเพื่อความปลอดภัย
“….พวกนากาไปกันแล้วหรอ?”
“อ—อาจารย์อลิซรอผมด้วยสิครับ!!”
และในขณะที่ไดเอน่ากำลังมองไล่หลังรถกระบะของพวกนากาไปอยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงเล็กๆ ของอลิซดังขึ้นมาให้เธอได้ยินก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องโวยวายของอัศวินหนุ่มเอเว่นที่ยังคงตามติดอลิซไม่ปล่อย
ซึ่งเมื่อไดเอน่าหันไปมองทางต้นเสียงเธอก็ได้พบเข้ากับอลิซที่ดูเหมือนว่าจะมีผ้าพันแผลพันตามตัวน้อยลงไปบ้างแล้วกำลังเดินนำเอเว่นที่กลับมาสวมหน้ากากผ้าอีกครั้งหนึ่งแล้วและกำลังแบกกล่องไม้กล่องใหญ่วิ่งตามหลังของเด็กสาวมาอยู่ไม่ไกล เธอจึงได้เอ่ยปากทักขึ้นมา
“มาส่งพวกนากาคุงเขาเหมือนกันหรอคะอาจารย์อลิซ?”
“ฉันจะมาส่งพวกนั้นทำไมกันเล่า ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วสักหน่อย… ฝากเธอประกาศเรียกตัวคอนแนลกับซิลเวสให้ไปหาฉันที่ห้องพักครูตอนช่วงก่อนคาบเรียนแรกให้หน่อยสิ ฉันอยากจะให้ทั้งสองคนมาทดลองใช้ยูนิตดูอีกรอบน่ะ”
“คอนแนลคุงกับซิลเวสจังงั้นหรอคะ ได้สิคะ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันจะส่งคนไปแจ้งอาจารย์อายะให้เลยก็แล้วกันนะคะว่าสองคนนั้นอาจจะเข้าห้องเรียนสายกันสักหน่อยน่ะค่ะ”
“ได้แบบนั้นก็ดี เพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันจะมีปัญหาอะไรบ้างน่ะ เอ้า—ไปกันได้แล้ว!”
อลิซพูดตอบไดเอน่ากลับไปก่อนที่เธอจะหันไปพูดสั่งเอเว่นที่ยืนถือกล่องไม้ขนาดใหญ่อยู่รอข้างๆ กันจนทำให้อัศวินหนุ่มต้องร้องโวยวายขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอิดโรย
“อ–อาจารย์อลิซ… ข…ขอผมพักสักแป๊บนึงก่อนจะได้หรือเปล่าครับเนี่ย…”
“อย่ามาทำเป็นสำออยหน่า… ไหนนายบอกว่าตัวเองเป็นถึงอัศวินระดับสูงของทางวังหลวงไง แค่แบกของนิดหน่อยก็ไม่ไหวแล้วหรอ?”
“แต่นี่มันกล่องที่สี่แล้วนะครับ! แถมกล่องพวกนี้มันก็หนักไม่ใช่น้อยๆ เลยนะครับอาจารย์อลิซ!”
เอเว่นที่ได้ยินคำพูดเชิงดูแคลนของอลิซได้ร้องโวยวายกลับไปใส่เด็กสาวเสียงดัง ซึ่งคำพูดของเอเว่นนั้นก็ได้ทำให้ไดเอน่าเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจก่อนที่เธอจะถือวิสาสะเดินเข้าไปเปิดกล่องไม้ที่เอเว่นถือเอาไว้จนได้พบว่ามันคือกล่องไม้บรรจุยูนิตที่น่าจะเป็นของคอนแนลหรือไม่ก็ของซิลเวสนั่นเอง
“ทำไมถึงมีตั้งสี่กล่องกันล่ะคะอาจารย์อลิซ? ไม่ใช่คุณเอริกะบอกว่าเพิ่งจะสร้างเสร็จแค่สองยูนิตสำหรับคอนแนลคุงกับซิลเวสจังหรอกหรอคะ?”
“มันก็มีแค่สำหรับสองคนนั้นนั่นแหล่ะ… แค่ว่ามีกันคนละสองยูนิตน่ะ เซตแรกเป็นตัวต้นแบบที่เอริกะสร้างขึ้นมาตามข้อมูลที่ได้ไปจากการสอบครั้งแรก ส่วนอีกเซตนึงจะเอาไว้ใช้งานจริงที่จะมีการปรับแต่งอะไรไปเรื่อยตามตวามเหมาะสมอะไรประมาณนั้นน่ะ…”
“หรือก็คือจะมียูนิตสองชุดที่จะถูกเก็บเอาไว้โดยไม่มีการปรับแต่งอะไรเพิ่มเติมจะได้เอาข้อมูลไปเปรียบเทียบว่าต่างกันยังไงกับอีกสองชุดที่กะจะปรับแต่งไปเรื่อยๆ ในระหว่างการใช้งานสินะคะ?”
“ก็ราวๆ นั้นล่ะมั้ง…”
อลิซพูดตอบไดเอน่ากลับไปสั้นๆ พลางมองดูประธานนักเรียนสาวที่กำลังขมวดคิ้วน้อยๆ ให้กับสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นแผ่นเกราะและอุปกรณ์หน้าตาประหลาดหลากหลายชิ้นที่ถูกบรรจุเอาไว้ภายใน
และเมื่อไดเอน่าคิดได้ว่าตัวเองคงจะทำความเข้าใจวิธีการใช้อุปกรณ์ในกล่องไม้โดยไม่มีคู่มือหรือว่าไม่มีคนมาสอนไม่ได้แน่ๆ แล้วเธอก็ตัดสินใจที่จะปิดฝากล่องกลับไปตามเดิมและพูดถามอลิซขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่ว่าแบบนี้มันจะไม่ผิดวัตถุประสงค์แรกเริ่มที่ว่าพวกมันมีไว้เพื่อให้พวกชาวบ้านทั่วๆ ไปที่ไม่ได้รับการฝึกฝนมาก่อนก็สามารถใช้งานได้ง่ายๆ หรอกหรอคะ? คือฉันหมายถึงว่ามันดูเหมือนจะกลายเป็นยูนิตรุ่นพิเศษสำหรับนักเรียนแต่ละคนไปแล้วไม่ใช่หรอคะนั่น?”
“ก็จะว่าแบบนั้นก็ได้ล่ะมั้ง… แต่จะคิดซะว่าเจ้ายูนิตพวกนี้มันเป็นรุ่นต้นแบบเพื่อแสดงให้พวกชาวบ้านเห็นว่ามันก็สามารถปรับแต่งติดนั่นเสริมนี่ได้อย่างอิสระขนาดไหนก็ได้ได้เหมือนกันนั่นแหล่ะ… ถึงที่จริงจะต้องบอกว่าเป็นเพราะเอริกะถือโอกาสนี้สร้างนู่นนี่ออกมาเพื่อทำความคุ้นเคยกับเรื่องวิซเอาไว้ก่อน พอถึงเวลาที่จะต้องผลิตจำนวนมากจะได้ไม่มีปัญหามากกว่าก็เถอะนะ…”
“ถึงตอนที่ต้องผลิตจำนวนมาก? นี่หมายความว่าคุณเอริกะยังไม่ได้เริ่มทำการผลิตยูนิตสำหรับแจกจ่ายให้พวกประชาชนใช้กันอีกหรอคะนั่น? แบบนี้มันจะทันการหรอคะ ในเมื่อการโจมตีที่คุณเอริกะเขากลัวมันเริ่มต้นขึ้นไปแล้วแบบนี้น่ะ?”
“เอาจริงๆ มันก็ไม่เชิงว่ายังไม่ได้เริ่มผลิต…. อย่างยูนิตติดโล่พลังวิซที่พวกเธอใช้งานกันนั่นมันก็เป็นรุ่นผลิตจำนวนมากเหมือนกันนั่นแหล่ะ ตอนที่พวกเธอใช้งานมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนอกจากเรื่องที่ว่าความคงทนของโล่มันมีน้อยไปหน่อยใช่มั้ยล่ะ… เอาเป็นว่าถ้าพวกเธออยากเพิ่มอะไรใส่มันก็แจ้งมาก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะไปบอกเอริกะให้”
อลิซพูดตอบไดเอน่ากลับไป ในขณะที่ทางด้านเอเว่นนั้นก็ได้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจเมื่อเขาทำความเข้าใจในที่สิ่งเด็กสาวทั้งสองคนพูดกันอยู่ได้แล้วและเอ่ยปากพูดถามขึ้นมาบ้าง
“สรุปว่าของในกล่องนี่มันคือยูนิตโบราณที่คุณเอริกะเขาเอากลับมาปัดฝุ่นใหม่ที่ผมเคยเห็นในรายงานนั่นเองงั้นสินะครับ ถ้าเกิดว่าพวกนักเรียนมีของแบบนี้ใช้กันผมก็พอจะเข้าใจได้แล้วล่ะครับว่าทำไมพวกเขาถึงสามารถป้องกันประตูเมืองทิศตะวันตกได้แบบนั้นน่ะ”
“เฮ้อ… ก็เพราะว่าพวกอัศวินกับทหารอย่างพวกนายมัวแต่คิดแบบนั้นกันนั่นแหล่ะเอริกะเขาถึงได้ไม่ค่อยจะชอบพวกนายน่ะ… แต่ว่าเรื่องนั้นช่างมันไปก่อนเถอะ ตอนนี้นายคิดดีแล้วหรอที่ยังสวมเจ้านั่นเอาไว้น่ะ”
“เจ้านั่น…?”
“ช่างมันเถอะ ไม่ทันแล้วล่ะ”
ในขณะที่เอเว่นกำลังรู้สึกสงสัยกับคำพูดของอลิซอยู่นั้นเอง เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าคำว่า ‘เจ้านั่น’ ที่อลิซพูดถึงก็คงจะหมายถึงหน้ากากผ้าของเขาที่ผิดกฎของโรงเรียนนั่นเอง แต่ว่าด้วยความที่เขาจำเป็นต้องโอบอุ้มกล่องไม้บรรจุยูนิตเอาไว้ด้วยสองมือจนไม่สามารถถอดมันด้วยตัวเองได้ เขาจึงจำเป็นต้องรีบเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเด็กสาวทั้งสองคนขึ้นมมาด้วยความร้อนรน
“อ–อาจารย์อลิซช่วยถอดหน้ากากให้ผมหน่อยสิครับ! หรือคุณหนูไดเอน่าก็—”
“แต่งตัวแบบนั้น… ผิดกฎค่ะ…”
แต่แล้วในขณะที่เอเว่นกำลังร้องขอความช่วยเหลืออยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงดุๆ ของอาจารย์เทียดังขึ้นมาเบาๆ จนทำให้เอเว่นสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะค่อยๆ หันไปทางด้านต้นเสียงและเอ่ยปากพูดทักทายขึ้นมา
“ส…สวัสดีครับอาจารย์เทีย…”
ฟุ๊บ–
อาจารย์ที่ได้ยินคำพูดทักทายของเอเว่นนั้นไม่ได้พูดตอบอะไรกลับไปและเดินตรงดิ่งเข้าไปดึงหน้ากากผ้าที่เอเว่นสวมใส่เอาไว้ออกด้วยสีหน้าดุๆ จนทำให้อลิซที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาด้วยเหนื่อยหน่าย เพราะว่าเธอเห็นฉากแบบนี้แทบจะทุกเช้าจนขี้เกียจจะนับแล้วว่ามันเป็นครั้งที่เท่าไหร่กันแน่
“จะว่าไปนี่นายโดนอาจารย์เทียเขายึดหน้ากากไปกี่อันแล้วเนี่ยหะ? นี่อย่าบอกนะว่าที่จริงนายจงใจใส่เอาไว้เพื่อที่อาจารย์เทียจะได้มาหานายทุกวันน่ะ?”
“………”
เอเว่นที่ได้ยินคำพูดของอลิซนั้นไม่ได้พูดตอบอะไรเด็กสาวกลับไปและหลบสายตาหันไปมองทางอื่นด้วยใบหน้าที่แดงก่ำจนถึงใบหู และนั่นก็ทำให้อลิซที่หวังจะพูดหาเรื่องกัดเขาเฉยๆ ถึงกับต้องจ้องมองอัศวินหนุ่มตาค้างและพูดขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น
“หา…? นี่อย่าบอกนะว่านาย—”
“ป—ไปเอาคืนกับอาจารย์อลิซ…นะคะ…”
ในขณะที่อลิซกำลังเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจอยู่นั้นเอง ทางด้านอาจารย์เทียก็ได้ยัดหน้ากากผ้าที่เธอยึดมาจากเอเว่นเข้าใส่มือของอลิซก่อนที่เธอจะก้าวเดินจากไปในทันทีจนทำให้อลิซต้องร้องโวยวายออกมา
“ไหงเป็นฉันเล่า!? เฮ้อ.. เอาเถอะ…”
อลิซที่กำลังคิดจะร้องโวยวายออกมานั้นได้ถอนหายใจออกมาสั้นๆ เมื่อเธอสังเกตเห็นว่าอาจารย์เทียได้เดินหนีตรงไปทางด้านอาคารเรียนเสียแล้ว ส่วนทางด้านเอเว่นเองที่เห็นว่าอาจารย์เทียกำลังจะเดินจากไปเองก็ได้ตัดสินใจที่จะเอ่ยปากพูดรั้งเธอเอาไว้ก่อน
“อ่ะ— เดี๋ยวก่อนครับคุณเที—เอ้ย อาจารย์เทีย!”
“ค…คะ…?”
“ค…คือ… บ…แบบว่า…”
“บ…แบบว่า…?”
ภาพของชายหนุ่มหญิงสาวเบื้องหน้าที่อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นคนติดอ่างกันอย่างกะทันหันนั้นถึงกับทำให้อลิซต้องเหลือกตาขึ้นด้วยความหน่ายใจก่อนที่เธอจะแย่งกล่องไม้บรรจุยูนิตออกมาจากมือของเอเว่นและเอ่ยปากเรียกไดเอน่าที่กำลังยืนมองสองหนุ่มสาวอยู่ด้วยแววตาแพรวพราวให้ทั้งสองคนได้มีเวลาส่วนตัวกันก่อน
“ไดเอน่ามาช่วยฉันตรวจสอบยูนิตนี่ทีสิ…”
“อ–เอ๋ะ? อุ้ย— อ๋อ…เข้าใจแล้วค่ะ!”
ไดเอน่าที่ได้ยินเสียงเรียกนั้นได้สะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหลุดออกจากภวังค์และเดินตรงเข้าไปหาอลิซที่เปิดกล่องไม้ออกเพื่อทำเป็นตรวจสอบดูยูนิตที่บรรจุอยู่ภายใน
แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเด็กสาวทั้งสองคนก็กลับมองตรงไปยังคู่หนุ่มสาวเบื้องหน้าที่ยืนหน้าแดงก่ำอยู่ข้างสนามหญ้าโดยไม่ยอมละสายตาราวกับว่าพวกเธอกำลังรับชมเรื่องสนุกสนานอยู่อย่างไรอย่างนั้น