หลี่ว์ซู่ยืนเงียบอยู่ด้านนอกโรงแรมที่ขบวนพ่อค้าเข้าพัก ยืนคิดอยู่นานว่าจะโน้มน้าวให้อีกฝ่ายลงทุนในธุรกิจสบู่อันยิ่งใหญ่ของเขาได้อย่างไร แต่เขายังไม่ได้เจออีกฝ่ายเลย…
ตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยิ้มแล้วจึงหยิบสร้อยคอมรกตออกมาจากแหวนมิติแล้วพูดว่า “ทำไมนายไม่เอาอันนี้จำนำดู ดูว่าได้ราคาเท่าไหร่”
หลี่ว์ซู่ตะลึงไปชั่วขณะ “ไม่เคยเห็นเธอใส่สร้อยนี้เลย”
“พี่สาวน่าหลานให้สร้อยคอนี้เพื่อให้ฉันไปบ้านของพวกเขาบ่อยๆ ฉันคิดมาตลอดว่ามันน่าจะราคาแพง” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูด
“ใช่ น่าหลานเชวี่ยเป็นสมาชิกในครอบครัวสายตรง ไม่มีทางมีของราคาถูกแน่นอน” หลี่ว์ซู่พูด “ถ้าฉันเอาของเธอไปจำนำ ฉันจะเป็นอะไร”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คว้าหลี่ว์ซู่ลากตัวไป “เห็นนายจะปฏิเสธแบบนี้ ฉันเอาสร้อยไปจำนำดีกว่า”
ถึงจะสนุกที่เห็นหลี่ว์ซู่โดนไล่แต่ปัญหาอยู่ที่เธอรู้สึกเจ็บใจที่ต้องเห็นหลี่ว์ซู่เข้าโรงแรมไปแล้วต้องอ้อนวอนคนอื่นมาลงทุน ต้องทำตัวอ้อนน่อมถ่อมตน
บำเพ็ญมาจนได้พลังขนาดนี้แล้ว เธอไม่อยากเห็นหลี่ว์ซู่ต้องก้มหัวอีก ในใจของเธอหลี่ว์ซู่ควรจะสูงส่งและร้ายกาจที่สุด
เมื่อมาถึงโรงรับจำนำ การตกแต่งภายในดูหรูหราและโอ่อ่ามาก แต่คนในร้านไม่ได้ทักทายเมื่อเห็นหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เข้ามา แต่มองไปที่หัวหน้าบาทหลวงที่อยู่ข้างหลังพวกเขาอยู่หลายครั้ง
ไม่ใช่เพราะเขารับรู้ถึงความแข็งแกร่งของหัวหน้าบาทหลวงแต่เป็นเพราะผ้าพันคอสีชมพูบนใบหน้าของหัวหน้าบาทหลวงมันแสบตาไป…
เจ้าของโรงรับจำนำเหลือบมองทั้งคู่จากด้านหลังเคาน์เตอร์สูง “ธนบัตร 2,000 ใบ”
ในโลกของจักรวาลหลี่ว์ ข้าวครึ่งโลเท่ากับธนบัตรหนึ่งใบ ดังนั้นธนบัตร 2,000 ใบจึงมีมูลค่าประมาณ 2,000 หยวน
หลี่ว์ซู่ไม่พอใจ ถ้าน่าหลานเชวี่ยมอบของที่มีมูลค่า 2,000 หยวน นั้นคงไม่ใช่น่าหลานเชวี่ยแล้ว เธอแค่ประหยัดกับหลี่อีเสี้ยวเท่านั้น…
“ดูอีกทีซิ” หลี่ว์ซู่พูด
เจ้าของร้านยิ้ม “ไม่ว่าฉันจะดูยังไง มันก็มีค่าแค่ 2,000 ธนบัตรเท่านั้น ครึ่งหนึ่งค่างานฝีมือ”
ทันใดนั้นมีเสียงควบม้าดังขึ้นด้านนอกประตูและเสียงนั้นมีจำนวนเยอะมาก หลี่ว์ซู่ผงะไปชั่วขณะใครกันขี่ม้าในเมืองอวิ๋นอาน
เมื่อเสียงควบม้าดังเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ หลี่ว์ชูได้ยินเสียงร้องของผู้คนมากมายราวกับว่ามีบางคนกำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด!
วินาทีต่อมาเสียงม้ามาหยุดอยู่ที่ประตูโรงรับจำนำและมีชายดุร้ายคนหนึ่งพุ่งเข้ามา “สวัสดี เถ้าแก่หลิน พวกเรามาจากหมู่บ้านชิงหลง ภูเขาอาน อย่าชักช้า มีของมีค่าอะไรเอาออกมาให้หมด!”
เจ้าของร้านเหมือนจะไม่แปลกใจอะไร เห็นเขาถอนหายใจและโบกมือให้กับชายคนหนึ่ง คนที่อยู่ข้างหลังเขาหันหน้าไปถือถาดแล้วยื่นส่งให้ เถ้าแก่หลินพูดอย่างสุภาพว่า “พ่อหนุ่ม ช่วงนี้ค้าขายไม่ค่อยดี เงินเตรียมไว้ให้แล้ว ท่านเชิญเอาไปได้เลย”
ชายผู้นำมองหน้ากันกับพี่น้องทางซ้ายขวาและยิ้ม “เถ้าแก่หลินช่างใจกว้างจริงๆ พี่น้องรับเงินแล้วกลับ”
ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นสร้อยคอมรกตที่เถ้าแก่หลินถืออยู่ เขาหันหน้ากลับมาและพูดว่า “เถ้าแก่หลินไม่จริงใจเลย ของดีๆ แบบนี้ทำไมเก็บไว้คนเดียวล่ะ”
เถ้าแก่หลินรีบผลักสร้อยคอออก “เชิญเอาไปเลย…”
พูดยังไม่ทันจบ เถ้าแก่ก็เห็นโจรป่าพวกนั้นนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น…ในกลุ่มโจรป่าพวกนี้มีคนเร่ร่อนที่มีพลังระดับ 4 อยู่ด้วย แต่ทำไมชายชราที่มีผ้าพันคอสีชมพูขยับตัวทีเดียว ทุกคนก็ล้มไปกองที่พื้นกันหมด!
ทันใดนั้นเขาเห็นชายหนุ่มตรงหน้าเดินเข้าไปหยิบเงินทั้งหมดในมือของโจรเก็บเข้ากระเป๋าอย่างใจเย็น จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ขโมยเงินมันเร็วกว่าจริงๆ “
มือเถ้าแก่เริ่มสั่นเทิ้ม เขาคิดว่านี่อาจเป็นนายทาสตัวเล็กและคงครอบครัวตกต่ำจนต้องมาจำนำของ ปกติใครเขาจะจำนำของล่ะ ก็พวกหมดหนทางแล้ว ผู้มีพลังคนไหนจะมาแลกเงินกัน
หลี่ว์ซู่มองเถ้าแก่ “โจรพวกนี้เข้ามาในเมืองได้อย่างไร”
“พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับทหารอู่เว่ย จะเข้ามาเก็บค่าคุ้มครองทุกเดือน จากนั้นก็แบ่งให้กับทหารอู่เว่ย จากนั้นกองทัพก็จะมาขูดรีดภาษีพวกเราอีก นี่เป็นวิธีที่พวกเขาหาเงิน…” เถ้าแก่บ่นเป็นเรื่องเป็นราว
หลี่ว์ซู่พยักหน้า “อย่างนี้นี่เอง”
เถ้าแก่ครุ่นคิดสักพักและพูดว่า “ขอบคุณทั้งสามคนที่ช่วย…”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น
“ไม่ๆๆ ต้องขอบคุณ…” เถ้าแก่ร้านพูดอย่างสุภาพ
“ฉันบอกว่าไม่ต้องขอบคุณหมายถึงตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ค่าคุ้มครองของเมืองอวิ๋นอานฉันจะเป็นคนเก็บเอง” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น
[ได้แต้มจากหลินกุ้ย +666!]
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าทุกเรื่องไม่ราบรื่น เขาอยากจะเข้าร่วมกองทัพอู่เว่ยแท้ๆ แต่เมื่อเรื่องราวมาถึงก็ถูกบีบบังคับให้กลายเป็นโจร ทั้งหมดเพราะถูกชีวิตบีบคั้น…
“ขอถามหน่อยว่า หมู่บ้านชิงหลง ภูเขาอานอยู่ที่ไหน” หลี่ว์ซู่ถาม
“อยู่ทางเหนือ……”
“ขอบคุณ ฉันหวังว่าคุณจะรู้ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด” หลี่ว์ซู่หันหลังเดินออกไป หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กระหยิ่มยิ้มย่องเดินตามหลี่ว์ซู่ไป
ตอนนี้เถ้าแก่เห็นหลี่ว์ซู่ทำตัวสุภาพและจากไปแล้ว เขาคิดว่าหลี่ว์ซู่คงล้อเล่นที่บอกว่าเขาจะเก็บค่าคุ้มครอง จนกระทั่งเย็นวันนั้นเขาได้ยินเรื่องการบุกทำลายหมู่บ้านชิงหลง…
เถ้าแก่หลินเริ่มสงสัยในชีวิต หมู่บ้านชิงหลงที่ปักหลักข้างเมืองอวิ๋นอานมาแปดปี ทำไมถูกทำลายง่ายๆ แบบนี้!
ชาวบ้านและร้านค้าจำนวนมากในเมืองต่างยินดีปรีดาแต่พวกเขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ
แน่นอนว่าหลินกุ้ยรู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีพลังมากขนาดนี้ ผู้นำหมู่บ้านชิงหลงมีพลังระดับสามไม่ใช่เหรอ โจรพวกนั้นมีพลังพอๆ กับผู้บัญชาการอู่เว่ยไม่ใช่เหรอ
ในเวลานี้ หลี่ว์ซู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในหมู่บ้านชิงหลงและมองกลุ่มโจรที่เหลือรอดไม่กี่คนที่อยู่รอบๆ และพูดว่า “จงมีระเบียบวินัย ตั้งธรรมเนียมใหม่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกนายจะเป็นโจรที่มีระเบียบวินัย รู้ไหม ถ้ามีระเบียบวินัย ฉันจะพาพวกนายร่ำรวยและอยู่ดีกินดี”
โจรที่ดูแข็งแรงคนหนึ่งถามเสียงค่อยว่า “ทำอย่างไรถึงจะร่ำรวยและอยู่ดีกินดี…”
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ดีกินดีหมายความว่าอะไร
คำถามนี้ทำหลี่ว์ซู่เงียบไปครู่หนึ่ง “มีลูกให้น้อยลง ทำงานให้มากขึ้น!”
[ได้แต้มจากหลี่เฮยทั่น +666…]
[ได้แต้ม…]
หลี่เหยทั่นลังเลอยู่นานและพูดว่า “ท่านทำเช่นนี้เกรงว่าจะกลายเป็นอริของผู้นำอีกสิบกว่าเขา ทัพอู่เว่ยก็จะล้อมปราบท่าน …”
แววตาของหลี่ว์ซู่เป็นประกาย “จริงเหรอ งั้นก็ฉันก็จะได้ไม่ต้องไปหาพวกเขา”
หลี่เฮยทั่นสงสัยว่าสมองเจ้าของคนใหม่ของเขามีปัญหาหรือเปล่า..
แต่หลี่ว์ซู่กลับรู้สึกว่าถอนถอนใจ ฉันหันดวงใจไปหาดวงจันทร์ที่สว่างไสว แต่จะพูดคุยกับจันทร์สว่างได้เช่นไร ตอนแรกเป็นทหารอู่เว่ยก็ดีอยู่แล้ว เพราะยังไงก็เป็นตำแหน่งที่เป็นทางการ ทำไมไม่ระวังตัวกลายมาเป็นผู้นำโจรภูเขาซะได้!