สวีซื่อจิ่นกลัวว่าพวกเขาจะวุ่นวายทำให้เรื่องที่ส่งตนไปกุ้ยโจวกลายเป็นโมฆะ “หวังเซิ้งพูดถูกแล้ว ตอนนี้ไม่สู้นิ่งไว้เสียดีกว่า” พูดจบก็เกาหัวตัวเอง “ตอนนี้เรื่องที่ยุ่งยากที่สุดคือท่านพ่อ… เมื่อวานเขาสั่งสอนข้าตั้งหนึ่งชั่วยาม ข้ายืนจนขาชาไปหมด ตอนนี้ขายังสั่นอยู่เลย”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะ
สกุลของหวังเซิ้งคือสกุลญาติกับสกุลสวี บรรพบุรุษของเขาเป็นพี่น้องกับฮองเฮา ถึงแม้ทายาทล้วนแต่เป็นผู้บัญชาการ แต่ความโปรดปรานของฮ่องเต้กลับลดน้อยลงเรื่อยๆ เขาเลยมักจะไม่พอใจบรรดาขุนนางที่มีอำนาจอยู่บ่อยๆ
เขาถามสวีซื่อจิ่นด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “ไปอยู่ที่หน่วยบัญชาการหรือหน่วยทหาร?”
“น่าจะไปหน่วยทหาร” สวีซื่อจิ่นพูดอย่างเอือมระอา “ท่านพ่อบอกว่าจะดัดนิสัยข้า”
“ไม่เป็นไร!” หวังเซิ้งปลอบใจเขา “เจ้าไปก่อนเถิด ให้ท่านป้าขอร้องท่านลุงบ่อยๆ ท่านลุงต้องใจอ่อนแน่นอน หนึ่งถึงสองปีเจ้าก็คงจะได้กลับเมืองหลวงแล้ว ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นค่ายใหญ่ซีซานหรือองครักษ์วังหลวง เจ้าก็เลือกได้ตามอำเภอใจ”
สวีซื่อจิ่นทำท่าทีไม่มั่นใจ “ขอให้เป็นเหมือนที่พี่ใหญ่หวังพูดเถิด!”
“ไปกุ้ยโจวไม่ใช่เรื่องเลวร้าย!” จู่ๆ เซี่ยเหยียนที่เงียบมาตลอดก็พูดขึ้นมา “ข้าได้ยินคนพูดว่า แค่หน่วยลาดตระเวนตรวจการณ์หนึ่งปีหาเงินได้ตั้งสามพันสี่พันตำลึง ข้าคิดว่าตอนนี้แทนที่จะเอาแต่คิดว่าจะกลับมาเช่นไร ไม่สู้คิดหาวิธีหาเงินเช่นไร เกรงว่าคงจะดีกว่าเยี่ยนจิงเสียอีก”
ถึงแม้พวกเขาจะเป็นผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการ แต่ก็ไม่มีอำนาจมากมายอะไร หากพึ่งพาแค่เงินเดือนยังไม่พอไปดื่มสุราที่หอชุนซีเลยด้วยซ้ำ
หวังเซิ้งได้ยินเช่นนี้ก็สายตาเป็นประกาย “สหายเซี่ยพูดมีเหตุผล” จากนั้นก็พูดกับสวีซื่อจิ่น “ข้าคิดว่าความคิดของสหายเซี่ยไม่เลวเลยทีเดียว ด้วยคุณสมบัติของเจ้า…” ยังพูดไม่จบก็คิดว่ามันไม่เหมาะสม เขารีบพูด “แต่ว่าเจ้ายังเด็กเกินไป…ด้วยอายุของเจ้า ถึงแม้จะไปค่ายใหญ่ซีซานหรือองครักษ์วังหลวงก็คงได้เป็นแค่องครักษ์ถือธง แต่ออกไปข้างนอกกลับไม่เหมือนกัน ไม่ว่าเช่นไรเจ้าก็มาจากเมืองหลวง แม้เราไม่ไปหาบรรดาผู้บัญชาการ ไม่สร้างปัญหาให้กงตงหนิง รองผู้บังคับกองพันคงไม่ใช่เรื่องยาก” พูดจบก็ยิ้มแล้วตบไหล่เซี่ยเหยียนเบาๆ “สหายเซี่ย มองไม่ออกว่าเจ้าจะมีกลยุทธ์เช่นนี้!”
เซี่ยเหยียนพูดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน “พี่ใหญ่หวังชมเกินไป ข้าก็แค่ไม่มีทางเลือกอื่น ออกความคิดเห็นให้จิ่นเกอก็แค่นั้น!”
“ข้าคิดว่าเป็นความคิดที่ดี!” หวังเซิ้งพูด “ข้ารู้จักเลขานุการคนหนึ่งในฝ่ายทหารกรมกลาโหม ถึงตอนนั้นเลี้ยงสุราเขา มอบเงินให้เขานิดหน่อย ให้เขาคิดหาวิธีหาตำแหน่งผู้บังคับกองพันให้เจ้า ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ก็ควรต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป ข้าไม่เชื่อว่ากงตงหนิงจะกล้ามีปัญหากับฝ่ายทหารกรมกลาโหมเพราะเรื่องนี้”
ฝ่ายทหารกรมกลาโหมรับผิดชอบการคัดเลือก แต่งตั้ง เลื่อนตำแหน่ง สืบทอดตำแหน่งและให้รางวัลตามความดีความชอบเหล่าทหาร เลขานุการเป็นเพียงขุนนางที่รับผิดชอบดูแลกิจการของแว่นแคว้น หากสวีซื่อจิ่นอยากรับตำแหน่งผู้บังคับกองพัน ไม่ไปหาอาลักษณ์กรมกลาโหมก็ต้องไปหารองเจ้ากรม ฟังจากความคิดของหวังเซิ้งก็เห็นได้ชัดว่าเขาอยากลอบทำอะไรเป็นการส่วนตัว ใช้เงินซื้อคนคนหนึ่ง แต่มันเป็นเรื่องที่เปิดเผยไม่ได้ กงตงหนิงผู้บัญชาการกุ้ยโจวคือแม่ทัพใหญ่ที่เคยโจมตีชายแดนตะวันตก อายุมากแล้วยังเป็นคนอารมณ์ร้อน หากเขาไม่ไว้หน้า…เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เซี่ยเหยียนก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “กงตงหนิงเคยโจมตีชายแดนตะวันตกกับท่านพ่อของข้า ท่านพ่อต้องสนิทสนมกับเขาแน่นอน จิ่นเกอ เจ้าจะไปกุ้ยโจวแล้ว ท่านลุงคงบอกอะไรสักอย่างกับเจ้ากระมัง กงตงหนิงสนิทสนมกับพวกเจ้าหรือไม่”
ทันทีที่เขาพูดจบ ทุกคนก็มองไปที่สวีซื่อจิ่นเป็นสายตาเดียว
สวีซื่อจิ่นแอบถอนหายใจ
เซี่ยเหยียนคนนี้ ปกติดูเป็นคนไม่จริงจัง คิดไม่ถึงว่าจะคิดอะไรรอบคอบเช่นนี้
ถึงแม้ท่านพ่อจะไม่ได้พูดอะไรกับเขา แต่เมื่อกลับจวนก็ส่งคนนำจดหมายไปให้กงตงหนิง แล้วยังถามเขาว่ามีความั่นใจที่จะผ่านการทดสอบหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อสามารถจัดการกงตงหนิงได้
พระราชดำรัสที่ฮ่องเต้ตรัสในห้องทรงพระอักษรแพร่กระจายออกไปแล้ว มีคนบอกว่าที่ฮ่องเต้ไม่อยากให้เขาไปกว่างตงเพราะไม่อยากให้เขาไปเป็นทหารของสวี่หลี่ลูกน้องเก่าของท่านพ่อของตน หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรแพร่งพรายถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับกงตงหนิง
คิดเชนนี้ สวีซื่อจิ่นก็ส่ายหน้าเบาๆ “ท่านพ่อกลับมาก็ยุ่งโน่นยุ่งนี่ ไม่ได้พูดอะไรกับข้า ข้าก็ไม่รู้ว่ากงตงหนิงสนิทสนมกับพวกเราหรือไม่”
เช่นนั้นก็จะเดินเส้นทางเลขานุการไม่ได้…
“ได้ยินว่าจิ่นเกอกำลังจะไปกุ้ยโจว ข้าจึงส่งคนไปสืบเรื่องกงตงหนิง” เซี่ยเหยียนพูดอย่างอ้อมค้อม “เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน เคยฆ่าพลทหารของตัวเองตายเพียงแค่คุยไม่ถูกคอกัน ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่อยู่ที่กุ้ยโจวตั้งสิบกว่าปีโดยที่ไม่ย้ายไปไหนเลย แต่หากเจ้าเป็นคนของเขา เขาเป็นคนปกป้องคนของตัวเอง ได้ยินคนอื่นพูดถึงคนของตัวเองในทางเสียหายไม่ได้…คนเช่นนี้ อย่าทำให้เขาไม่พอใจดีที่สุด ข้าได้ยินมาว่า อาลักษณ์ลู่แห่งกรมกลาโหมกับโต้วเก๋อเหล่าเป็นสหายร่วมงานกัน” พูดจบก็มองไปที่สวีซื่อจิ่น “หากพูดกับอาลักษณ์ลู่ไม่ได้ ก็สามารถลองไปหาโต้วเก๋อเหล่า เรื่องนี้เกี่ยวกับอนาคตของเจ้า ข้าคิดว่าท่านลุงต้องออกหน้าให้เจ้าแน่นอน!”
หวังเซิ้งได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็แข็งทื่อ สายตาของเขาพลันอึมครึม
เซี่ยเหยียนไม่ได้สังเกต แต่เว่ยซุ่นที่อยู่ข้างๆ กลับเห็นอย่างชัดเจน เขาอดไม่ได้ที่จะฉงนใจ
“ท่านพ่อกำลังโกรธ” สวีซื่อจิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม “ต้องรอให้ผ่านไปสักสองสามวันแล้วค่อยฟังน้ำเสียงของเขาอีกครั้ง!”
“เอาล่ะ เอาล่ะ พูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน” เว่ยซุ่นเอ่ยขัดจังหวะพวกเขาด้วยความไม่พอใจ “ข้าคิดว่า เรื่องสำคัญตอนนี้ก็คือเก็บข้าวของ หนึ่งคือต้องนำเงินไปด้วยเยอะหน่อย สองคือพาสาวใช้ที่มีความสามารถไปด้วย สถานที่อย่างกุ้ยโจวล้วนแต่เต็มไปด้วยชาวแมนจู หากเจ้าไม่พาสาวใช้ที่มีความสามารถไปด้วย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอาหาร แค่สวมเสื้อผ้าที่เรียบร้อยก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย”
“พูดเกินจริงไปกระมัง!” เซี่ยเหยียนพูดขึ้น “ข้าอ่านพงศาวดารท้องถิ่น ถึงแม้ที่นั่นจะมีชาวแมนจู แต่ก็มีเหมืองทองคำ เพราะอยู่ใกล้กับมณฑลซื่อชวน อีกทั้งยังมีสมุนไพรมากมายอีกด้วย…”
“จริงด้วย!” เว่ยซุ่นพูดขัดจังหวะเขาด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็พูดกับหวังเซิ้ง “หรือว่าเราทำกิจการกับจิ่นเกอดีกว่า พ่อค้าเหล่านั้นไปไหนมาไหนก็ต้องยำเกรงหน่วยทหาร สามารถหาผลประโยชน์ให้ตัวเองได้” พูดจบก็นั่งลงข้างๆ หวังเซิ้ง “เจ้าคิดว่าความคิดของข้าดีหรือไม่”
“ดียิ่งนัก!” หวังเซิ้งหน้าแดงด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็พูดกับสวีซื่อจิ่น “จิ่นเกอ ข้าคิดว่าเจ้าอยู่ที่กุ้ยโจวสักสองปีเถิด หากหาเหมืองทองคำเจอ เช่นนั้นก็คงร่ำรวยมหาศาล!”
“ไม่มีทางหาเหมืองทองคำเจอหรอกกระมัง!” เซี่ยเหยียนหัวเราะ “ถึงแม้ว่าเราหาเจอ แต่ยังมีกงตงหนิง เขาอยู่ที่กุ้ยโจวมาหลายสิบปีแล้ว ที่นั่นล้วนแต่เป็นคนของเขา เราคิดจะข้ามหัวเขาคงไม่ใช่เรื่องง่าย!”
เว่ยซุ่นรู้สึกอยากจะเตะเซี่ยเหยียนอย่างไรอย่างนั้น
เขาพูดเช่นนี้ก็เพราะว่าอยากเบี่ยงเบนความสนใจของหวังเซิ้ง สุดท้ายแล้วเซี่ยเหยียนกลับทำลายแผนการเสียได้
“เราทำเหมืองทองคำไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นกิจการยาสมุนไพรเล่า” เว่ยซุ่นถลึงตาใส่เซี่ยเหยียน “ข้าไม่เชื่อว่าคนอย่างกงตงหนิงจะครอบคลุมทั้งโลกหล้า ได้รับผลประโยชน์อยู่คนเดียว”
เซี่ยเหยียนยังอยากพูดอะไรต่ออีก แต่สวีซื่อจิ่นถอนหายใจขึ้นมา “พูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไร เรื่องสำคัญคือต้องหาทางเป็นขุนนางให้ได้ ไม่เช่นนั้น ถึงแม้จะมีภูเขาทองหรือภูเขาเงินอยู่ตรงหน้า ข้าก็ทำอะไรไม่ได้!”
“เจ้าอยากเป็นขุนนางอย่างนั้นหรือ” นำเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นมา สวีซื่อจุนเดินเข้ามา
“ท่านซื่อจื่อ!/พี่สี่!” ทุกคนลุกขึ้นโค้งคำนับเขา
“พวกเจ้าเป็นสหายของน้องหก ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากมาย เรียกข้าว่าพี่สี่เหมือนน้องหกก็ได้” สวีซื่อจุนยิ้มแล้วคำนับกลับ ทุกคนลากเขาไปนั่ง เขายิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้าเดินมาหน้าประตู ได้ยินน้องหกบอกว่าอยากเป็นขุนนาง เรื่องอันใดกันแน่”
เซี่ยเหยียนและเว่ยซุ่นมองไปที่สวีซื่อจิ่น รอให้เขาเป็นคนพูด แต่หวังเซิ้งกลับพูดตัดหน้าสวีซื่อจิ่น เล่าเรื่องเมื่อครู่ให้สวีซื่อจุนฟัง “…คนของกรมกลาโหมทำตัวเย่อหยิ่ง น่าเสียดายที่พวกเรายังเด็ก หากไปหาเรื่องเขา พวกเขาก็จะให้ผู้ใหญ่ออกหน้าให้” พูดจบก็ถอนหายใจ แต่หางตากลับเหลือบมองสวีซื่อจุน
“เช่นนั้นเองหรือ!” สวีซื่อจุนทำสีหน้าครุ่นคิด ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมา “คนของกรมกลาโหมรับมือไม่ง่ายจริงๆ!” จากนั้นก็ถามพวกเขาว่า “วันนี้อากาศดี ไม่สู้ย้ายอาหารกลางวันไปเรือนหลิวฟัง ที่นั่นดอกไม้กำลังบาน พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร”
ทั้งสองข้างทางของเรือนหลิวฟังปลูกต้นหลิ่ว แล้วยังมีดอกไห่ถัง
“แล้วแต่พี่สี่เลยขอรับ!” เซี่ยเหยียนและคนอื่นๆ ตอบรับด้วยรอยยิ้ม มีแค่หวังเซิ้งที่มีสายตาผิดหวัง
หลังทานอาหารเย็นเสร็จ พวกเขาก็แยกย้ายกันกลับไป
สวีซื่อจิ่นไปคารวะไท่ฮูหยิน
ในลานสว่างไสว สวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งควน สืออีเหนียง ฮูหยินห้า ฮูหยินสองแล้วยังมีสวีซื่อจุนยืนอยู่ในลาน แต่ห้องของไท่ฮูหยินกลับมืดมิด ไม่มีแสงไฟเลยแม้แต่น้อย
สวีซื่อจิ่นตกใจ “เกิดอะไรขึ้นขอรับ”
“จิ่นเกอมาพอดี!” ฮูหยินสองท่าทางมีชีวิตชีวา “ท่านย่าได้ยินว่าเจ้าจะไปกุ้ยโจวเลยตำหนิพ่อของเจ้าว่าไม่มีความพยายาม ไม่ยอมเจอหน้าใครทั้งนั้น พวกเราเกลี้ยกล่อมเช่นไรก็ไม่ยอมฟัง บอกให้เราเชิญฮองเฮามา แล้วยังบอกว่า หากเราไม่ไปเชิญฮองเฮา ไท่ฮูหยินจะไปกล่าวโทษว่าพ่อของเจ้าอกตัญญูที่ศาลว่าการ จากนั้นจะเข้าไปในพระราชวังด้วยตัวเอง เจ้ารีบไปเกลี้ยกล่อมท่านย่าของเจ้าเถิด”
กล่าวโทษว่าท่านพ่ออกตัญญู
สวีซื่อจิ่นพยายามกลั้นหัวเราะ จากนั้นก็เหลือบมองสวีลิ่งอี๋
ถึงแม้ท่านพ่อจะยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางสุขุมเหมือนปกติ แต่แววตาของเขาก็เจือไปด้วยความลำบากใจ
เขาเดินเข้าไปเคาะประตู “ท่านย่าขอรับ ข้าคือจิ่นเกอ ท่านรีบเปิดประตูเถิดขอรับ หากท่านไม่เปิดประตู ท่านพ่อก็จะไปกล่าวโทษว่าข้าอกตัญญูที่ฝ่ายราชการแล้วขอรับ!”
นอกจากสวีลิ่งอี๋ ทุกคนในลานล้วนแต่ก้มหน้าลง ฮูหยินห้าวิ่งออกไปข้างนอก แต่เซินเกอกลับยกนิ้วให้สวีซื่อจิ่น
ในห้องมีแสงจากโคมไฟสว่างขึ้นมา เสียงประตูเปิดออก จื่อหงเดินออกมาด้วยความไม่สบายใจ “ไท่ฮูหยินบอกว่าให้คุณชายน้อยหกเข้าไปเจ้าค่ะ!”
สวีซื่อจิ่นรีบเดินเข้าไป
“ข้าเข้าไปดูด้วย!” เซินเกอเดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“ข้าไปด้วย!” เฉิงเกอเองก็เดินตามเข้าไป
“คุณชายน้อยเจ็ดกับคุณชายน้อยแปดเข้าไปแล้ว” ถิงเกอพูด “ข้าก็จะไปด้วยขอรับ!”
เจียงซื่อรีบอุ้มบุตรชายตัวเองเอาไว้ “พวกเขามีเรื่องคุยกัน เจ้าอยู่กับท่านปู่และท่านย่าที่นี่ดีกว่า!”
ถิงเกอหันกลับมาด้วยความอาลัยอาวรณ์
โชคดีที่เป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศในลานเลยอบอุ่น
สืออีเหนียงบอกให้สาวใช้ยกเก้าอี้เข้ามาให้เซี่ยงซื่อและอิงเหนียงที่กำลังตั้งครรภ์นั่ง พวกนางปฏิเสธอยู่ตั้งนาน แต่เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้ว พวกนางจึงยอมนั่งลง
อิ๋งอิ๋งและถิงเกอยังเด็ก เพียงไม่นานก็ดีดดิ้นอยู่ตรงนั้น สวีซื่อจุนจึงพาพวกเขาออกไปนอกลาน เด็ดใบไผ่มาเป่าเพลงให้พวกเขาสองคนฟัง พวกเขาจึงนั่งลงได้อีกครั้ง
รออยู่เช่นนี้เป็นเวลาครึ่งก้านธูป ประตูห้องของไท่ฮูหยินก็ค่อยๆ เปิดออก
จื่อหงย่อเข่าคำนับพวกเขา “ไท่ฮูหยินบอกว่าเชิญทุกคนเข้าไปนั่งข้างในเจ้าค่ะ!”