ตอนที่ 711 หมาป่าตาขาวอย่างหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขา
วันต่อมา พายุหิมะก็แรงขึ้นอีก และหิมะบนถนนก็สูงถึงข้อเท้า
หลินม่าย ไม่เคยเห็นหิมะตกหนักขนาดนี้มาก่อน
เมื่อมีหิมะมากเกินไป การขับรถก็ลื่นไถลได้ง่าย
เพื่อความปลอดภัย หลินม่ายจึงตั้งใจจะเดินกลับไปยังมหาวิทยาลัย
ฟางจั๋วหรานกลัวว่าเธอจะหนาวสั่น จึงแต่งตัวให้เธอเหมือนหมีน้อยก่อนที่จะปล่อยเธอออกไป
หลินม่ายเดินไปไกล มองย้อนกลับไปและเห็นฟางจั๋วหรานก็ออกไปทำงานเช่นกัน
ด้วยความตั้งใจ เธอวาดหัวใจลงบนพื้นด้วยนิ้วเท้าก่อนจะตะโกนได้สุดเสียง “จั๋วหราน ฉันมีอะไรจะให้คุณ!”
แต่ในเวลานี้ กลุ่มเด็กที่ถือกระเป๋านักเรียนวิ่งผ่านมาเหมือนม้าป่า เหยียบย่ำหัวใจรักที่เธอเพิ่งวาดด้วยปลายเท้าจนหมดสิ้น
ห่างออกไปราวยี่สิบเมตร ฟางจั๋วหรานถามอย่างงุนงง “อะไรเหรอ?”
หลินม่ายรู้สึกผิดหวังมากและพูดว่า “ตอนนี้ไม่มีแล้ว~”
สายตาอาฆาตของเธอพุ่งตรงไปที่กลุ่มเด็กเหลือขอ และพวกเขาก็วิ่งหนีด้วยความตกใจ หนึ่งในนั้นถึงกับล้มลง
เมื่อหลินม่ายละสายตาจากกลุ่มเด็กเหลือขอ เธอก็เห็นว่าฟางจั๋วหรานได้ออกไปแล้ว
ตรงจุดที่เขาหยุดตอนนี้ มีหัวใจสองดวงที่วาดด้วยลูกศรที่เจาะทะลุหัวใจ
หลินม่ายรู้สึกว่าฟางจั๋วหรานพยายามทำให้เธอมองเห็นหัวใจแห่งรักที่เขามีให้เธอ
เธอมาถึงมหาวิทยาลัยอย่างมีความสุข
ตอนใกล้ถึงมหาวิทยาลัย เธอแวะซื้อหนังสือพิมพ์เพื่อดูว่ามีรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับคดีของเจี่ยงชุนนีหรือไม่
ข่าวเมื่อวานนี้มีเพียงไม่กี่ประโยคและเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจคดีทั้งหมด
เนื่องจากสถานีโทรทัศน์จำกัดเวลาในการออกอากาศข่าว ดังนั้นนักข่าวจึงไม่สามารถถ่ายทอดรายละเอียดคดีทั้งหมดได้
แต่คดีฆาตกรรมที่คนทั้งประเทศให้ความสนใจ หนังสือพิมพ์ จะลงข่าวอย่างละเอียดแน่นอน
หลินม่ายหันมองหนังสือพิมพ์ เธอเห็นว่ามีการเผยแพร่คดีฆาตกรรมในพาดหัวข่าว และมีรายละเอียดค่อนข้างมาก
อ้างอิงจากบทความ ทั้งหลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงต่างก็เป็นชาวเจียงเฉิง พวกเขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนมาก
ในยุคที่มีการยิงปืนใหญ่ พ่อแม่และสมาชิกในครอบครัวบางคนเสียชีวิตเพราะกระสุน และบางคนอดอาหารจนตาย
เด็กกำพร้าที่อายุเพียงไม่กี่ขวบ ตระเวนไปตามถนนเหมือนสุนัขป่าเพื่อหาอะไรกิน
แต่ในยุคนั้น มีคนจำนวนมากที่ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้า แม้ว่าจะมีอาหารตามท้องถนนบ้าง พวกเขาก็มักจะถูกแย่งชิงไปเสมอ ไม่เคยได้รับประทาน
เมื่อเห็นว่าหลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงกำลังจะอดตายข้างถนน เศรษฐีผู้หวังดีจึงพาพวกเขามาเป็นคนรับใช้ในบ้าน โดยให้มีหน้าที่คอยดูแลลูกชายและลูกสาวของเขา
จากนั้นทั้งคู่ก็รับประทานอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญและเรียนรู้วัฒนธรรมจากนายน้อยและคุณหนู
ในปีแห่งการปลดปล่อย ซุนกุ้ยเซียงอายุได้สิบขวบ และหลินเจี้ยนกั๋วอายุสิบสามปี
เพื่อให้มีอนาคตที่ดี ทั้งสองคนใส่ร้ายเจ้านาย โดยกล่าวหาว่าเจ้านายเอาเปรียบพวกเขาอย่างไร้มนุษยธรรม
เศรษฐีและครอบครัวของเขาถูกประณาม พร้อมถูกตัดสินโทษว่าทำการทารุณคนใช้ เป็นเหตุให้ทั้งครอบครัวก็เสียชีวิตอย่างอนาถ
อย่างไรก็ตามหลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงมีความก้าวหน้าอย่างมากและได้รับโอกาสในการเรียนหนังสือ
ชื่อของพวกเขาทั้งสองถูกตั้งให้โดยผู้มีอำนาจเบื้องบน
หลังจากสำเร็จการศึกษา ทั้งคู่ได้เข้าสู่หน่วยงานของรัฐ
คนหนึ่งกลายเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการ อีกคนกลายเป็นพนักงานรับชำระเงิน และทั้งสองก็แต่งงานกัน
น่าเสียดายที่พวกเขาทั้งสองเป็นคนรักสบายและไม่ชอบทำงานหนัก เรียกได้ว่าเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว
เงินเดือนนั้นไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาสองคนที่จะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย
นับตั้งแต่ให้กำเนิดหลินสง ลูกชายคนแรก และหลินเพ่ย ลูกสาวคนที่สอง สถานะทางการเงินของพวกเขาก็ยิ่งย่ำแย่ลงไป พวกเขาแทบไม่ได้กินเนื้อสัตว์เลย
สองสามีภรรยาจึงร่วมกันทำบัญชีเท็จยักยอกเงินส่วนกลาง
แต่พวกเขาก็ถูกจับได้ในไม่ช้า และทางการก็ไล่พวกเขาออกโดยตรงและยึดบ้านที่จัดสรรให้พวกเขาคืน
สองสามีภรรยากลับคืนสู่สภาพยากจนข้นแค้น แต่กลับยังคงต้องเลี้ยงลูกที่เกิดขึ้นมาอีกสองคน
แม้ว่าพวกเขาจะทำผิดพลาด แต่ผู้นำระดับสูงก็ไม่สามารถเพียงเฝ้าดูพวกเขาอดตาย เขาจึงย้ายครอบครัวนี้ไปยังชนบทในฐานะชาวนา อย่างน้อยพวกเขาก็มีกิน
แต่เมื่อทั้งคู่คิดว่าการเป็นชาวนานั้นยากเกินไป พวกเขาจึงปฏิเสธที่จะพยายาม
แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจอยู่รอดได้โดยปราศจากเงิน
ซุนกุ้ยเซียงบอกว่าทุกครั้งที่หล่อนไปธนาคารเพื่อเบิกค่าจ้างของพนักงานทุกคนในโรงงาน หล่อนมักพบกับเจียงชุนหนี่ เจ้าหน้าที่บัญชีของโรงงานรองเท้าหนังสือฟางบ่อยครั้ง
โรงงานรองเท้าสือฟางเป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่มีพนักงานมากกว่าแปดร้อยคน
แม้ค่าจ้างจะต่ำในเวลานั้น แต่ค่าจ้างของคนงานทุกคนในโรงงานรวมกันก็อยู่ที่เจ็ดถึงแปดพันหยวน ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาลที่ไม่อาจจินตนาการได้ในเวลานั้น
ซุนกุ้ยเซียงสมคบคิดกับหลินเจี้ยนกั๋ว และเมื่อเจี่ยงชุนหนี่ไปยังธนาคารเพื่อเบิกค่าจ้างของคนงานทั้งหมดในโรงงาน พวกเขาก็ทำการปล้นชิงทรัพย์หล่อนทันที
เมื่อได้เงินแล้วพวกเขาก็พาลูกทั้งสองออกจากบ้านไปอยู่ต่างเมือง เพื่อให้ลูกทั้งสองมีชีวิตที่ดีด้วยเงินจำนวนมหาศาลนั้น
ซุนกุ้ยเซียงไม่กลัวว่าตำรวจจะจับได้
แม้พวกเขาจะรู้สถานการณ์ของเจี่ยงชุนนีดี แต่ก็ไม่เคยปริปากพูด
แม้ว่าเจี่ยงชุนนีจะบอกตำรวจว่าตนถูกปล้น แต่หล่อนก็จะไม่มีทางรู้ว่าคนร้ายเป็นใคร
พวกเขาต้องไม่ให้เจี่ยงชุนนีเห็นรูปร่างหน้าตาของพวกเขาเมื่อก่ออาชญากรรม
แต่แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดปกปิดได้ตลอดไป
เมื่อสองสามีภรรยาจู่โจมจากด้านหลัง
เจี่ยงชุนนีถูกไม้ฟาดจนหมดสติ และเมื่อสองสามีภรรยาต้องการที่จะหนีไปพร้อมกับค่าจ้างของคนงานในโรงงานทั้งหมดที่เพิ่งปล้นชิงมา เจี่ยงชุนนีก็ตื่นขึ้นและจ้องมองพวกเขาทั้งคู่
สองสามีและภรรยาตกใจกลัว พวกเขาอดไม่ได้ที่จะทุบตีหล่อนด้วยท่อนไม้และก้อนอิฐจนตาย
เมื่อพบว่าตนพลั้งมือฆ่าคนตาย ทั้งคู่ก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น
พวกเขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร จึงลากศพไปยังสนามกีฬาที่กำลังสร้างอยู่ไม่ไกลและฝังร่างหล่อนลงไปในปูนซีเมนต์
จากนั้นพวกเขาก็วิ่งกลับไปยังบ้านเช่า เก็บข้าวของ คืนบ้านให้กับเจ้าของบ้านแล้วหนีไป
สองสามีภรรยาย้ายออกจากพื้นที่แห่งนี้และไปเช่าบ้านอยู่ในหมู่บ้านในเมือง
การหลบหนีของพวกเขาไม่ทำให้ผู้ใดเกิดความสงสัยเลย
สองสามีภรรยาทำชั่วมามากมาย และแน่นอนว่าความยุติธรรมยังคงมีอยู่ในโลก
ในระหว่างการหลบหนี เงินจำนวนมหาศาลที่พวกเขาสละชีวิตเพื่อคว้ามานั้นถูกหัวขโมยชิงไปได้
คู่สามีภรรยาที่ยากจนต้องพาลูก ๆ ไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ซึ่งพวกเขากลายเป็นชาวนาและใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น
พวกเขาต้องการกลับไปที่เมืองเดิม แต่หลังจากสอบถามข่าวคราวก็ได้รู้ว่า สามีของเจี่ยงชุนนีเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าภรรยาของเขาถูกฆ่าตาย และกำลังมองหาผู้กระทำความผิดตัวจริง
อย่างไรก็ตาม หลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขากลัวว่าคดีฆาตกรรมจะถูกเปิดเผย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะย้ายกลับไปยังเจียงเฉิง
หลังจากที่เจี่ยงชุนนีหายตัวไป โรงงานก็รายงานตำรวจทันที ตำรวจสืบสวนนานกว่าครึ่งเดือน แต่ก็ไม่มีเบาะแส
ข่าวลือแพร่กระจายในทันที โดยบอกว่าเจี่ยงชุนนีหนีไปพร้อมกับเงิน
สามีของเจี่ยงชุนนีและลูก ๆ ต้องทนทุกข์ทรมานกับความรุนแรงทางวาจาจากเรื่องนี้ และไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนก็มักถูกดูถูกเสมอ
ไม่นานจากนั้น พ่อตาและแม่ยายก็ตรอมใจจนเสียชีวิตลง
หลังจากอ่านรายงาน หลินม่ายก็ตระหนักได้ทันที
ไม่น่าแปลกใจที่เธอทำเงินได้มากมายในชาติที่แล้ว เมื่อเธอต้องการซื้อบ้านให้หลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงอยู่หลังจากเกษียณอายุในเจียงเฉิง แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะย้ายกลับไปยังเจียงเฉิงเพราะพวกเขาเคยก่อคดีฆาตกรรม
หลินม่ายจมอยู่ในห้วงความคิดจนจักรยานชนเธอล้มลงกับพื้น
หลินม่ายเงยหน้าขึ้น บุคคลที่ปั่นจักรยานมาชนเธอเป็นนักเรียนมัธยมต้น
นักเรียนมัธยมต้นคนนั้นค่อนข้างสุภาพ เขาลงจากจักรยานและกล่าวขอโทษกับหลินม่ายด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เขาอ้างว่าจักรยานของเขาเบรกแตก จึงไม่สามารถควบคุมและหยุดรถได้เมื่อขี่ลงทางลาด เป็นเหตุให้พุ่งชนหลินม่าย
หลินม่ายไม่เคยคิดที่จะมีปัญหากับนักเรียนมัธยมต้นคนนี้
เธอเพียงตักเตือนให้เขากลับไปซ่อมเบรคจักรยานและขี่ให้ช้าลงในอนาคต
นักเรียนมัธยมต้นพยักหน้าและหลินม่ายก็ปล่อยเขาไป
ในขณะที่หลินม่ายกำลังดิ้นรนที่จะลุกขึ้นด้วยตัวเอง มือขนาดใหญ่ก็พลันยื่นมาตรงหน้าเธอ
หลินม่ายเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเป็นฉือเหล่ย
เธอไม่เอื้อมมือไปจับเขา แต่พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นด้วยตัวเอง
หลังจากลุกขึ้นแล้ว เธอกล่าวขอบคุณเขาด้วยความจริงใจก่อนจะเดินต่อไปยังมหาวิทยาลัย
ฉือเหล่ยเดินเคียงข้างเธออย่างเป็นธรรมชาติพร้อมเอ่ยถามถึงสาเหตุที่เธอไม่ค่อยมาพูดคุยกับเขาตลอดเวลาที่ผ่านมา
หลินม่ายบอกว่า เมื่อมีปัญหาการเรียน เธอก็มักจะถามอาจารย์หรือรุ่นพี่คนอื่น ๆ
หลังจากที่ทั้งสองคุยกันไม่กี่คำ หลินม่ายก็พยายามหาเหตุผลที่จะจากไป
กงเสวี่ยฉินกำลังมองเธอและฉือเหล่ยอยู่ไม่ไกล
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
กระทำความผิดอาญาร้ายแรงขนาดนี้ สมควรมีชีวิตแบบอยู่ไม่สู้ตายอะ จะประหารเลยมันก็ดูตายเร็วไป ให้มีชีวิตแบบตายทั้งเป็นนั่นแหละถึงจะสาสม
มือเสี้ยมมาอีกแล้วเหรอ
ไหหม่า(海馬)