บทที่ 685 พ้นขวากหนามไปยังมีเส้นทางใหม่ โชคดีมาเยือนข้าแล้วหรือ?
ชางเหยาไม่มา มัจฉาสัตมายาพะวักพะวน เขารู้สึกว่าตัวเองอาจชอบชางเหยาเข้าแล้วจริง ๆ ความผิดหวังในใจจะรุนแรงเกินไปแล้ว
“คิดถึงนางก็ไปหานางสิ เอาแต่มัวสับสนที่นี่อยู่เพื่ออะไร”
จอบเซียนเดินไปอยู่ข้างกายมัจฉาสัตมายาพร้อมกล่าว “กล้า ๆ หน่อย จะหดหัวอยู่เช่นนี้มิได้!”
พวกมันต่างรู้เรื่องราวระหว่างมัจฉาสัตมายาและชางเหยา คราวก่อนก็เห็นกันหมดแล้ว
“อย่างเช่นข้า”
จอบเซียนกล่าวต่อ “ข้าชอบน้องถ้วย ข้าไม่เคยซ่อนความรู้สึก แสดงความรักอย่างอาจหาญ จีบอย่างกล้าหาญ!”
“ท่านชอบน้องถ้วยคนใดหรือ”
มัจฉาสัตมายาถามเสียงเบา
“ข้าชอบ…”
จอบเซียนทอดมองถ้วยกระเบื้องทั้งแปด พลันไม่แน่ใจขึ้นมา
บ้าเอ๊ย!
ถ้วยกระเบื้องทั้งแปดใบเหมือนกันทุกประการ ญาณศัสตราภายในก็เป็นดวงเดียวกัน เขายังไม่รู้เลยว่าเขาชอบถ้วยไหน
“ข้าชอบทั้งหมด!”
สุดท้าย มันบอกออกไปแบบนี้
ชอบทั้งหมด?
มัจฉาสัตมายาหัวเราะในใจไม่หยุด จอบเซียนแยกไม่ได้เห็น ๆ ต่างหากเล่า!
ยังจะกล้าบอกว่าชอบทั้งหมดอีก!
ปากแข็งเท่านั้นแหละ!
“จะไปหรือไม่”
ต้นหลิวมองมัจฉาสัตมายาพลางถาม “ถ้าเจ้าไป พวกเราจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”
ไปหรือไม่ไป?
มัจฉาสัตมายาสับสน เขาอยากไป แต่ไปแล้วจะให้เอื้อนเอ่ยคำใดเล่า
ความรู้สึกที่เขามีต่อชางเหยาเป็นเช่นไรก็ยังไม่แน่ใจ…
ช่างเถิด
เขาเอ่ย “ไม่ไป”
รอให้เขาแน่ใจเมื่อไหร่ ค่อยไปหาชางเหยาก็ยังไม่สาย
ถึงอย่างไรก็มีพี่หลิวอยู่ เขากลับมาได้ทุกเมื่อ หาได้เสียเวลาไม่
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถิด”
ต้นหลิวเอ่ยบอก สร้างเส้นทางขึ้นมา และกลับไปพร้อมกับเหล่าของวิเศษ
…
เวลานั้น เจ้าหลวงกลับไปถึงนครพิศวงของจ้าวหลานแล้ว
“เฮ้อ พี่ใหญ่คงไม่ได้กลับมาอีกแล้ว!”
มันถอนหายใจหนักหน่วง เอ่ยด้วยความเสียใจเหลือแสน “พี่ใหญ่ของข้า เป็นเพราะข้าพาท่านไปเจอเรื่องร้าย ๆ ทว่าพี่ใหญ่โปรดวางใจ ข้าจะดูแลคนของท่านเป็นอย่างดี!”
ส่วนเรื่องแก้แค้นแทนพี่ใหญ่นั้น มันไม่นึกถึงเลยแม้แต่น้อย
มันสลัดความคิดเช่นนี้ตั้งแต่ครานั้นแล้ว เหล่าของวิเศษน่ากลัวเกินไป ลึกล้ำเกินหยั่ง หากยังคิดแก้แค้นอยู่ รังแต่จะพาตัวเองไปตาย
“ช่างเถิด ข้าหนีเอาตัวรอดดีกว่า!”
เจ้าหลวงขบคิดไปมา รู้สึกว่าอยู่ที่นี่ต่อไม่ปลอดภัย
เหล่าของวิเศษอาจบุกมาหาเพื่อถอนรากถอนโคนของมัน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้ว เกรงว่าเหล่าของวิเศษคงโมโหกันแย่
มันล้มเลิกความคิดซ่องสุมกำลังในนครของจ้าวหลาน หากแต่ปล้นสะดมสมบัติในนครของจ้าวหลานจนเกลี้ยง แล้วพาสิ่งมีชีวิตพิศวงที่เหลืออยู่ในนครของจ้าวหลานไปจากที่นี่
“จ้าวแห่งรัตติกาล!”
ระหว่างที่มันได้สนทนากับสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายในนครของจ้าวหลาน มันก็ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของจ้าวแห่งรัตติกาล
นครรัตติกาลที่จ้าวแห่งรัตติกาลสถาปนาขึ้นนั้นยิ่งใหญ่กว่านี้ เหนือชั้นกว่านครของจ้าวหลานไปมาก มันตัดสินใจไปฝากตัวเป็นพรรคพวกของจ้าวแห่งรัตติกาล
ต้นไม้ใหญ่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ได้ ถึงอย่างไรศัตรูของมันก็เป็นถึงเหล่าของวิเศษ น่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก มันมิกล้าอยู่ตามลำพัง
หลังจากได้เข้าเป็นพรรคพวกของจ้าวแห่งรัตติกาล อย่างน้อยยามเหล่าของวิเศษบุกมาหา ก็ยังมีจ้าวแห่งรัตติกาลคอยออกหน้าแทนมัน
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือ การฝากตัวเป็นพรรคพวกเช่นนี้ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ
อย่างเช่นจ้าวหลาน ก่อนหน้านี้ มันกับจ้าวหลานเคยคบค้าสมาคมกันมาบ้าง กระนั้น หากมิใช่ว่ามันยกของที่ได้จากจ้าวตะเข้ให้หมด ใช่ว่าจ้าวหลานจะยอมรับมันไว้
จ้าวแห่งรัตติกาลยิ่งทรงพลังเข้าไปใหญ่ ย่อมไม่มีทางเห็นหัวคนต่ำต้อยเช่นมัน มันต้องยกทุกสิ่งที่ได้จากจ้าวหลานให้จึงจะพอ
มิฉะนั้น จ้าวแห่งรัตติกาลก็ไม่มีทางยอมรับเขาเป็นพรรคพวก
‘ไม่เป็นไร อย่างน้อยข้าก็ดูดกลืนสสารพิศวงทั้งหมดในนครของพี่ใหญ่แล้ว ไม่ขาดทุน ๆ!’
เจ้าหลวงเอ่ยในใจ
ก่อนไป มันต้องดูดกลืนสสารพิศวงทั้งหมดในนครของจ้าวหลานจนเกลี้ยงแน่นอน ไม่ทิ้งขว้างแม้แต่น้อย
“เวลา! สิ่งที่ข้าต้องการคือเวลา!”
ก่อนนี้มันดูดกลืนสสารพิศวงจากนครของจ้าวตะเข้ไปไม่น้อย บัดนี้ได้ดูดกลืนสสารพิศวงในนครของจ้าวหลานอีก สิ่งที่มันขาดแคลนที่สุดในตอนนี้คือเวลา ทันทีที่มันหลอมสสารพิศวงทั้งหมดที่มันดูดกลืนเข้าไปได้แล้ว พลังของมันจะต้องยกระดับอย่างทวีคูณแน่นอน
มันตัดสินใจแล้ว หลังจากไปถึงดินแดนของจ้าวแห่งรัตติกาลจะสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่กระทำเรื่องอื่น จะตั้งใจหลอมสารพิศวงที่ได้ดูดกลืนเข้าไป
“รีบเดินทางดีกว่า!”
มันเร่งฝีเท้าไม่หยุด รุดหน้าสุดชีวิต ตราบใดที่ยังไปไม่ถึงดินแดนของจ้าวแห่งรัตติกาล มันก็มิอาจสบายใจ
ด้วยการเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ พวกมันไปถึงดินแดนของจ้าวแห่งรัตติกาลอย่างรวดเร็ว
สสารพิศวงเข้มข้นโลดแล่น ที่นี่น่าครั่นคร้ามเกินบรรยาย ทอดสายตามองไป พวกมันเต็มไปด้วยดวงดาราอันมีขนพิศวงงอกอยู่
‘สมเป็นจ้าวแห่งรัตติกาล!’
เจ้าหลวงเอ่ยในใจอย่างอดมิได้
ดวงดาราเหล่านั้นมีแต่จะมีขนาดใหญ่กว่านครพิศวงที่จ้าวหลานประทับอยู่ จ้าวแห่งรัตติกาลรวมดวงดารามหึมามากมายขนาดนี้เข้าด้วยกันได้ อีกทั้งยังมีพลังพิศวงลางร้ายเพียงพอที่จะกัดกร่อนดวงดารามหึมาเหล่านี้ ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ
เทียบกับที่นี่แล้ว นครพิศวงที่สร้างโดยจ้าวหลานเหมือนเป็นของเด็กเล่น ห่างชั้นกันมากนัก
มันอดระส่ำระส่ายขึ้นมามิได้ จ้าวแห่งรัตติกาลจะยอมรับมันเข้าพวกหรือ?
มันรู้สึกว่าจ้าวแห่งรัตติกาลอาจไม่ชอบสิ่งที่มันนำมาด้วยก็ได้…
“ต้องลองดูสักตั้ง!”
มาถึงนี่แล้ว มันไม่มีทางยอมไปง่าย ๆ จึงมุ่งไปยังชายแดน ตะโกนเข้าไปด้วยเสียงนอบน้อมว่า “ท่านจ้าวแห่งรัตติกาลผู้ยิ่งใหญ่ ข้าน้อยมาที่นี่เพราะได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน หวังว่าจ้าวแห่งรัตติกาลจะยอมให้ข้าน้อยได้เข้าพบสักครา!”
ครืนคราน!
อวกาศด้านนี้ปั่นป่วนอยู่พักหนึ่ง ร่าง ๆ หนึ่งพลันจุติลงมา
มันมีรูปร่างสูงใหญ่ ขนยาวพิศวงสีส้มงอกอยู่เต็มกาย แข็งแกร่งกว่าจ้าวหลานตั้งไม่รู้กี่เท่า หลังจากเจ้าหลวงได้พบ ก็คุกเข่ากับพื้นทันที
“สวัสดี ข้ามาขอสมัครเป็นพรรคพวกของจ้าวแห่งรัตติกาล!”
มันรีบบอก พร้อมนำทุกอย่างที่ได้มาจากนครของจ้าวหลานออกมา “กิตติศัพท์ของจ้าวแห่งรัตติกาลแซ่ซ้องไปไกล ข้าอยากเป็นหนึ่งในผู้ใต้บัญชาของจ้าวแห่งรัตติกาล วันหน้าจะได้ร่วมเป็นเกียรติกับจ้าวแห่งรัตติกาล หวังว่าจะยอมรับข้าไว้!”
“ไม่เลวนี่ ลุกขึ้นเถิด”
ใบหน้าของสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนั้นเผยรอยยิ้มพึงใจ วาจาของเจ้าหลวงถูกคอมันมาก มันกล่าวต่อ “ทางเลือกของเจ้าถูกต้องแล้ว ในบรรดานครพิศวงอันยิ่งใหญ่ นครอันมีจ้าวแห่งรัตติกาลเป็นผู้นำแข็งแกร่งที่สุด! เจ้าเลือกเข้าพวกเรานับว่าฉลาดมาก วันหน้าย่อมไม่ลำบาก”
มันสะบัดมือ เก็บทุกอย่างที่เจ้าหลวงนำมาให้
หลังจากเห็นสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้เก็บของไปแล้ว เจ้าหลวงก็โล่งอก
ของเหล่านี้อาจไม่เข้าตาจ้าวแห่งรัตติกาล กระนั้นก็มิได้หมายความว่าไม่เข้าตาสิ่งมีชีวิตพิศวงตนอื่น นี่อย่างไร เข้าตาสิ่งมีชีวิตพิศวงตรงหน้าผู้นี้แล้ว
มันรู้ดีว่า ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องมีผลประโยชน์แลกเปลี่ยนจึงจะสำเร็จ มิฉะนั้นไม่มีทางบรรลุได้เลย
หากมิใช่ว่ามันยอมยกของเหล่านี้ออกมาก่อน ไม่แน่ว่าสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้จะยอมพูดจากับมันหรือไม่ หรืออาจฆ่ามันด้วยฝ่ามือเดียวก็เป็นได้
“ไปเถิด ข้าจะพาเจ้าไปพบจ้าวแห่งรัตติกาล”
สิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้นำทางอยู่ข้างหน้า จนมาอยู่ในดวงดาราที่ลึกที่สุด
“เจ้ารออยู่ที่นี่พอ”
มันพาเจ้าหลวงมาอยู่หน้าวิหารโบราณแห่งหนึ่ง และสั่งให้เจ้าหลวงรออยู่ที่นี่ ส่วนตัวมันเดินเข้าไปในวิหารโบราณ
“ท่านจ้าว มีคนจากด้านนอกมาขอเข้าพวกกับเรา”
มันเข้าพบและรายงานต่อจ้าวแห่งรัตติกาล
อย่างที่คิด มันริบของที่เจ้าหลวงนำออกมาไปเอง มิได้ส่งมอบขึ้นไป
จ้าวแห่งรัตติกาลมีม่านแสงพิศวงปกคลุมอยู่ทั่วกาย มองไม่เห็นว่ามีรูปลักษณ์อย่างไร
มันมิได้ตัวมโหฬารดังเช่นสิ่งมีชีวิตพิศวงตนอื่น หากแต่มีขนาดตัวไม่ต่างหากมนุษย์ปกติมากนัก
“พาเข้ามาสิ”
จ้าวแห่งรัตติกาลเอ่ยเสียงเย็นชา
จากนั้นสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนั้นก็ออกจากวิหารโบราณ และพาเจ้าหลวงเข้ามา
“ออกไปได้”
จ้าวแห่งรัตติกาลสั่งให้สิ่งมีชีวิตพิศวงตนนั้นถอยออกไป
“สวัสดีท่านจ้าวแห่งรัตติกาล!”
เจ้าหลวงหวาดวิตก หลังจากเข้ามาถึงมันก็คุกเข่าอยู่ภายในวิหาร หมอบศีรษะกับพื้น มิกล้าจ้องมองจ้าวแห่งรัตติกาล
“ไม่ต้องเกร็ง”
จ้าวแห่งรัตติกาลกล่าว “ลุกขึ้นมาพูดจาเถอะ”
“ขอรับ!”
เจ้าหลวงรีบยืนขึ้น กระนั้นก็ยังมิกล้ามองจ้าวแห่งรัตติกาล กลัวจะเป็นการจาบจ้วงจ้าวแห่งรัตติกาล
หารู้ไม่ จ้าวแห่งรัตติกาลเดินเข้าไป ตบบ่าเจ้าหลวงอย่างสนิทสนม ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เห็นเจ้าแล้วชวนให้ข้านึกถึงบุตรของข้าที่ตายไป เจ้าเหมือนกับบุตรชายของข้าที่ตายไปแล้วจริง ๆ ไม่รู้ว่าเจ้าจะเต็มใจเป็นบุตรบุญธรรมของข้าหรือไม่?”
อะไรนะ!?
มีเรื่องดี ๆ เช่นนี้ด้วยรึ!
เจ้าหลวงเต็มตื้นจนแทบอยากกระโดดลิงโลด เดิมมันคิดว่าจ้าวแห่งรัตติกาลยอมรับมันเป็นพวกก็ดีมากแล้ว สุดท้ายมันยังได้เป็นบุตรบุญธรรมของจ้าวแห่งรัตติกาลอีกหรือ?
ประเสริฐเกินไปแล้ว!
“คารวะท่านพ่อบุญธรรม!”
มันรีบคุกเข่าต่อจ้าวแห่งรัตติกาล และเรียกท่านพ่อบุญธรรมทันที
“ดี ๆๆ นับแต่นี้ไป เจ้าคือบุตรชายแสนดีของข้า!”
จ้าวแห่งรัตติกาลหัวเราะร่วน “นี่สินะคือวาสนา ให้ข้าได้พบเจ้า! เจ้าเหมือนบุตรชายของข้าที่ตายไปแล้วมากจริง ๆ”
“นับเป็นเกียรติของข้า!”
อย่าให้เอ่ยเลยว่าในใจเจ้าหลวงปีติปานใด ได้เป็นบุตรชายของจ้าวแห่งรัตติกาล วันหน้ามันมีหรือจะไม่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร?
“ข้าสัมผัสได้ว่าในตัวเจ้ามีสสารพิศวงรวนเรอยู่มาก”
จ้าวแห่งรัตติกาลตบบ่าเจ้าหลวง พร้อมกล่าว “ข้าจะช่วยเจ้าหลอมรวมผสาน ให้เจ้าได้แข็งแกร่งขึ้นเอง”
สิ้นเสียงของมัน เจ้าหลวงรู้สึกถึงพลังมวลหนึ่งที่เข้าสู่ร่างมันในพริบตา จากนั้นมันก็สัมผัสได้ว่าสสารพิศวงที่มันดูดกลืนจากจ้าวตะเข้และจ้าวหลานกำลังหลอมรวมผสานกันอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังของมันอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน สสารพิศวงเหล่านี้ก็กลายเป็นพลังของมันทั้งหมด กำลังรบของมันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในชั่วพริบตา
มันในตอนนี้เทียบกับจ้าวหลานแล้วไม่ถือว่าห่างชั้นกันมากนัก
“ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง”
จ้าวแห่งรัตติกาลตบเจ้าหลวงอีกครั้ง จากนั้นเจ้าหลวงรู้สึกได้ว่ามีสสารพิศวงที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าหลั่งไหลเข้ามาในตัวมัน กำลังรบของมันคูณทวีอีกครั้ง!
จ้าวหลานมีกำลังรบระดับราชันแห่งเซียน ตัวมันนั้นข้ามหน้าจ้าวหลานไปแล้ว เป็นถึงยอดเซียนซึ่งเหนือกว่าราชันแห่งเซียน!
“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรม!”
มันตื้นตันจนโขกศีรษะให้จ้าวแห่งรัตติกาลอีกครั้ง
“ไม่ต้องขอบคุณ ในเมื่อบัดนี้ข้าคือบิดาบุญธรรมของเจ้า ย่อมต้องอบรมสั่งสอนเจ้าเป็นอย่างดี นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ต่อไป ข้าจะช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้”
จ้าวแห่งรัตติกาลบอกยิ้ม ๆ
“สสารพิศวงในตัวเจ้ารวนเรเช่นนี้ ดูท่าเจ้าคงผ่านอะไรมามาก เจ้าเล่าให้พ่อฟังที พ่ออยากฟังเรื่องราวของเจ้า”
จ้าวแห่งรัตติกาลกล่าวต่อ