บทที่ 686 ตกลงว่าผู้ใดข่มดวงผู้ใดกันแน่?!
ฟังเรื่องราวของมันรึ?
เมื่อเจ้าหลวงได้ยินคำบอกของจ้าวแห่งรัตติกาล ก็พลันขมขื่นใจขึ้นมาในบัดดล
มันไม่อยากกล่าวถึง…เครื่องใช้ประจำวันเหล่านั้นอีกแล้ว!
ลำพังแค่คิดยังช้ำใจแทบแย่ ตรอมตรมเป็นที่สุด
ทว่าจ้าวแห่งรัตติกาลออกปากแล้ว มันไฉนเลยจะกล้าไม่เชื่อฟัง เล่าทุกอย่างให้ฟังแต่โดยดี มิกล้าปิดบังแม้แต่น้อย
เริ่มตั้งแต่หลิงอินพาเสี่ยวหยาบุกเข้ามาในนครพิศวงที่เขาสร้างขึ้น จนต่อมา มันหนีไปฝากตัวกับจ้าวตะเข้ และสุดท้ายได้ไปหาจ้าวหลาน เหตุการณ์ยิบย่อยที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นมันก็เล่าให้ฟังจนหมด
“เครื่องใช้ประจำวันจำนวนหนึ่งงั้นหรือ?”
จ้าวแห่งรัตติกาลหรี่ตาลงเล็กน้อย สนอกสนใจในเครื่องใช้ประจำวันที่เจ้าหลวงเล่าให้ฟังอย่างมาก
จากที่เจ้าหลวงกล่าวมา เครื่องใช้ประจำวันเหล่านี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
ทว่าผู้ใดกันจะว่างขนาดประดิษฐ์เครื่องใช้ประจำวันเหล่านี้ขึ้นมา
ไม่ต้องคิดให้มากความก็รู้ว่า ผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องใช้ประจำวันเหล่านี้ไม่ธรรมดาแน่นอน คงมีวัสดุหายากอยู่ล้นหลาม
เพราะอย่างนั้นถึงไม่เห็นวัสดุหายากเช่นนี้เป็นเรื่องใหญ่ รังสรรค์เครื่องใช้ประจำวันด้วยวัสดุเหล่านี้ได้โดยไม่คิดมาก ถือเสียว่าเป็นของเล่น
‘น่าสนใจ!’
มันคิดในใจ เริ่มหมายตาเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังเครื่องใช้ประจำวันเหล่านี้
ความจลาจลใกล้มาเยือน มันจะทำการใหญ่ สิ่งที่ขาดแคลนที่สุดก็คือยอดฝีมือ หากชักชวนเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังเครื่องใช้ประจำวันเหล่านี้มาได้ มันย่อมได้กำลังพลอันทรงพลังมาเพิ่มอีกหนึ่ง
‘แต่จะว่าไป เจ้าหลวงผู้นี้อาภัพยิ่งนัก สหายและพี่น้องที่ได้เจอกับมัน ต่างพบจุดจบน่าอนาถกันทั้งสิ้น…’
จ้าวแห่งรัตติกาลคิดขึ้นในใจอีกครั้ง ‘หากข้ารับมันไว้เป็นบุตรบุญธรรม จะอาภัพตามมัน โดนมันพาไปตกอับด้วยหรือไม่นะ’
บอกตามตรง ที่มันถามถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาของเจ้าหลวงนั้นเพียงถามไปอย่างนั้น ใช่ว่าห่วงใยอันใดในตัวเจ้าหลวง
หน้าเหมือนบุตรชายของมันที่ตายไปอย่างนั้นหรือ
มันมีบุตรชายที่ไหน!
มันมีเพียงบุตรสาวที่ตายไปแล้วเท่านั้น…
ที่ว่าหน้าเหมือนก็เป็นเพียงข้ออ้างของมันเท่านั้น
มันรับบุตรบุญธรรมด้วยข้ออ้างนี้มาหลายคนแล้ว
‘ไม่ต้องกลัว บุตรบุญธรรมที่ข้ารับไว้ ก็ไม่มีผู้ใดมีชีวิตรอดเช่นกัน!’
มันคิดในใจ มิได้เกรงกลัวว่าเจ้าหลวงจะนำพาความโชคร้ายมาให้
เพราะเชื่อว่าตัวมันนั้นดวงแข็ง เจ้าหลวงข่มดวงมันมิได้
อีกอย่าง ผู้ที่กลายมาเป็นบุตรบุญธรรมของมันต่างหากที่อาภัพ นั่นเป็นชะตากรรมที่ต้องตายแน่แล้ว
บรรดาบุตรบุญธรรมที่มันรับไว้ทั้งหมดล้วนเป็น ‘เครื่องมือ’ ของมัน ช่วยปฏิบัติภารกิจที่อันตรายถึงขีดสุดจนอาจไม่มีชีวิตรอดแทนมัน
อย่างเช่นเจ้าหลวง
มันรับเจ้าหลวงไว้เป็นบุตรบุญธรรม ก็เพื่อให้เจ้าหลวงไปสอดแนมที่ภพเซียน!
ภายภาคหน้าจะกลายเป็นกลียุค มันจำต้องแข็งแกร่งกว่านี้ จึงหมายตาภพเซียน คิดจะรุกรานยึดครองภพเซียน เปลี่ยนสิ่งมีชีวิตในนั้นให้กลายเป็นสมาชิกในนครพิศวงของมัน
ตำแหน่งภพเซียนนั้นหายากยิ่ง สิ่งมีชีวิตที่ทราบตำแหน่งนั้นมีเพียงหยิบมือ ทว่าสุดท้ายมันก็หาตำแหน่งภพเซียนเจอจนได้
เดิมมันคิดจะยกทัพเข้าไปทันที กลับพบว่ารอบนอกภพเซียนมีพลังบางอย่างปกคลุมไว้ มันไม่กล้าผลีผลาม คิดจะสอดแนมจนรู้ตื้นลึกหนาบางแล้วค่อยลงมือ
พอดีกับที่เจ้าหลวงมาถึง มันจึงคิดจะใช้อีกฝ่าย ต้องการส่งเจ้าหลวงไปสอดแนม!
“บุตรชายของข้า ประสบการณ์ของเจ้าชวนให้เศร้าโศกน้ำตาไหลเสียจริง! ไม่ได้การ บัดนี้ เจ้าเป็นบุตรบุญธรรมของข้าแล้ว บิดาบุญธรรมอย่างข้าไฉนเลยจะเพิกเฉยไหว”
จ้าวแห่งรัตติกาลตบบ่าเจ้าหลวง “วางใจเถิด พ่อจะจับเครื่องใช้ประจำวันเหล่านั้นมาให้เจ้าจัดการตามที่ต้องการ!”
“เราไม่ไปข้องแวะกับพวกมันแล้วได้หรือไม่”
เจ้าหลวงเอ่ยเสียงขึ้นจมูก มันผวาแล้วจริง ๆ
ต้องพ่ายแพ้ให้กับเจ้าพวกเครื่องใช้ประจำวันครั้งแล้วครั้งเล่า มันมีแผลใจไปหมดแล้ว ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอันใดกับเหล่าเครื่องใช้ประจำวันอีก
“นี่เจ้าไม่เชื่อใจในพลังของพ่อหรือ” จ้าวแห่งรัตติกาลเอ่ยเสียงเข้ม
“เชื่อ เชื่อ!” เจ้าหลวงรีบบอก มิกล้าโต้แย้งอันใด
หากทำให้จ้าวแห่งรัตติกาลขุ่นเคืองจริง ๆ มันคงโดนบดขยี้ตายได้ง่าย ๆ
“เชื่อก็ดี”
จ้าวแห่งรัตติกาลหัวเราะ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ พ่อจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง เจ้าบำเพ็ญวิชาของตนให้ดีก็พอ ในฐานะบุตรบุญธรรมของพ่อ ขอบเขตพลังของเจ้าในตอนนี้ต่ำเกินไป พ่อหวังว่าเจ้าจะเก่งขึ้นได้ไว ๆ”
มันต้องการให้เจ้าหลวงไปสอดแนมที่ภพเซียนโดยด่วนที่สุด นครพิศวงใหญ่อื่น ๆ ก็มิได้ธรรมดา เกรงว่าคงเพ่งเล็งภพเซียนกันหมด ผู้ใดชักช้า อาจไม่เหลือแม้แต่เศษเล็กเศษน้อยที่ตกถึงท้อง
กลียุคใกล้มาเยือน ผู้ใดมีกองกำลังแกร่งกล้ากว่า ผู้นั้นย่อมได้เปรียบกว่า!
“ขอรับท่านพ่อบุญธรรม!”
เจ้าหลวงปีติยินดี ขอเพียงมันไม่ต้องไปก็พอ มันไม่ต้องการพบหน้าเครื่องใช้ประจำวันเหล่านั้นอีกแล้ว
ขณะเดียวกัน น้ำตาของมันหลั่งริน ซาบซึ้งใจเหลือแสน
เหมือนโชคหล่นทับมันอย่างแท้จริง ถึงได้พานพบบิดาบุญธรรมที่ดีกับมันถึงเพียงนี้!
ตอนนี้ มันเห็นจ้าวแห่งรัตติกาลเป็นเหมือนบิดาของมันจริง ๆ!
“ท่านพ่อบุญธรรม ไม่ว่าอนาคตเป็นเช่นไร ข้าจะติดตามท่านพ่อบุญธรรมตลอดไป อยู่ใต้บัญชาท่านพ่อบุญธรรม ไม่มีทางแปรใจเป็นอื่น!”
มันกล่าวต่อจ้าวแห่งรัตติกาลอย่างขึงขัง
“ดี ๆๆ! พ่อมีบุตรชายอย่างเจ้า พ่อดีใจมากจริง ๆ!”
จ้าวแห่งรัตติกาลตบบ่าเจ้าหลวงด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด สาย ๆ พ่อจะไปหา ช่วยวางแผนเพิ่มความแข็งแกร่งให้เจ้าอย่างเข้มงวด”
“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรม!”
เจ้าหลวงกล่าวขอบคุณจ้าวแห่งรัตติกาลรัว ท้ายที่สุดก็ไปจากที่นี่
หลังเจ้าหลวงออกไป จ้าวแห่งรัตติกาลก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ “ฝูถูอยู่ที่ใด ออกมาพบข้า”
จากนั้น ลมหายใจต่อมา ร่างพิศวงร่างหนึ่งเหินเข้ามา คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าจ้าวแห่งรัตติกาลอย่างนอบน้อม
“ข้าขอสั่งให้เจ้าไปคัดเลือกกำลังพลมาจำนวนหนึ่ง ไปยังอาณาจักรอวี้ซวี พาตัวเครื่องใช้ประจำวัน รวมถึงเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังเครื่องใช้ประจำวันกลับมาพบข้า!”
มันหันไปออกคำสั่งของร่างพิศวงนั้น หรือก็คือฝูถู
มันให้ความสำคัญต่อเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังเครื่องใช้ประจำวันเหล่านี้มาก มิได้สบประมาทหรือชะล่าใจแม้แต่น้อย
ฝูถูเป็นกำลังพลสำคัญตนหนึ่งในนครพิศวงของเขา พลังที่มีนั้นเทียบชั้นว่าที่จักรพรรดิเซียนได้เลย หากได้ยืมพลังพิศวงลางร้ายแล้วเปล่งอานุภาพเต็มเปี่ยม สามารถต่อสู้กับจักรพรรดิเซียนได้แน่นอน
“รอก่อน ข้าจักประทานกระถางมารคลั่งคลุมเวหาให้เจ้าด้วย นี่คือกระถางสัมฤทธิ์ที่ร่วงออกมาจากแดนกำเนิดพิศวงลางร้าย มีพลังล้นหลามไม่อาจวัดได้ อาวุธจักรพรรดิเซียนก็มิอาจเทียบเทียม!”
จ้าวแห่งรัตติกาลรู้สึกว่ายังไม่พอ เรียกกระถางสี่ขาขนาดเล็กออกมาอีกอัน แล้วส่งไปให้ฝูถู
กระถางสี่ขาขนาดเล็กนี้ใหญ่ไม่เท่าฝ่ามือด้วยซ้ำ ทว่าภายในกระถางมีพลังพิศวงลางร้ายลึกล้ำเกินหยั่งไหลเวียนอยู่ มองเพียงปราดเดียวก็ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน สะท้านไปทั้งวิญญาณ
แน่นอนว่า ชื่อกระถางมารคลั่งคลุมเวหาเป็นชื่อที่จ้าวแห่งรัตติกาลตั้งขึ้นเอง มันไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วกระถางนี้มีนามว่าอันใด
“รับบัญชาท่านจ้าว!”
ฝูถูรับกระถางมารคลั่งคลุมเวหามา แล้วตอบเสียงนอบน้อม ก่อนจะไปจากที่นี่ รุดหน้าไปรวมกำลังพล เตรียมบุกไปยังอาณาจักรอวี้ซวี
“เหตุใดจู่ ๆ ข้าถึงสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาได้…”
หลังฝูถูไปแล้ว จ้าวแห่งรัตติกาลหัวใจกระตุกวูบอย่างแปลกประหลาด มันเอ่ยขึ้นอย่างอดมิได้ “เจ้าหลวงอะไรนั่นคงไม่ได้ข่มดวงข้าจริง ๆ กระมัง!”
แต่เพียงไม่นานมันก็ตั้งสติขึ้นได้ แล้วปัดตกความคิดนั้นไป
มันไฉนเลยจะถูกเจ้าหลวงข่มดวงเอา!
น่าขัน!
“หากฝูถูล้มเหลว อย่างมาก…ข้าก็ถอดใจ”
มันเอ่ยต่อในใจ แลดูไม่มั่นใจเท่าใด
เมื่อพลังสูงถึงระดับมันแล้ว ไม่ว่าลางสังหรณ์ใดก็มิใช่ว่าจะโผล่ออกมาพรวดพราด ที่มันเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา น่ากลัวว่าอาจเพราะจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นจริง ๆ
มันรู้สึกว่าควรวางแผนให้รัดกุม หากฝูถูที่มีกระถางมารคลั่งคลุมเวหาไปด้วยยังล้มเหลว มันก็ตัดสินใจว่าจะไม่ดึงดัน ล้มเลิกแผนการเกี่ยวกับพวกนั้น
…
ณ ดินแดนหยิน เหยียนโจว แดนทักษิณทิศ
เวลาผ่านไปพักใหญ่ สัตว์อสูรทั้งเก้าลากรถจนท่องไปทั่วแดนบูรพาทิศตามคำสั่งของหลี่จิ่วเต้า จนมาอยู่ในแดนทักษิณทิศซึ่งอยู่ข้างเคียงกัน
ระหว่างทาง สัตว์อสูรทั้งเก้าได้รับประโยชน์ไม่น้อย ขอบเขตพลังสูงขึ้นกว่าเก่ามาก บัดนี้ พวกมันทั้งหมดล้วนก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิ กลายเป็นอสูรจักรพรรดิ!
คุณชายให้อาหารพวกมันอยู่บ่อย ๆ บางครั้งคุณชายก็จะบรรเลงเพลงฉินให้ฟังด้วย ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกมันอยากจะบรรลุช้ายังมิได้
ขอบเขตพลังของพวกเด็ก ๆ อย่างต้าเต๋อและอ้ายฉานก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีกในเวลานี้ พวกเขาต่างก้าวสู่ขั้นเทียนตี้ และต้าเต๋อกับอ้ายฉานยังได้เป็นอันดับหนึ่งของเพื่อน ๆ ที่ก้าวสู่ขอบเขตเซียนไปครึ่งขา อีกเพียงก้าวเดียวก็จะได้บรรลุเป็นเซียนแล้ว
อันหลานเสวี่ยก็ยกระดับพลังขึ้นมาก แม้จะยังไม่ถึงขั้นเทียนตี้ กระนั้นก็ก้าวสู่ขั้นตี้จวินแล้ว ห่างเพียงขั้นเดียวจากระดับเทียนตี้
เสี่ยวหยาและพี่ชายของนางก็พากันก้าวสู่ขั้นเทียนตี้แล้วเช่นกัน การได้อยู่กับคุณชายทุกคืนวันเช่นนี้ได้รับประโยชน์มหาศาลจริง ๆ มหาศาลจนพวกนางจินตนาการไม่ออก!
จิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงและจิ้งจอกขาวก็ยกระดับพลังได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน พวกนางสองตัว ตัวหนึ่งก้าวสู่ขอบเขตสูงสุด อีกตัวก้าวสู่ขอบเขตมหาจักรพรรดิ พวกนางสองตัวรู้สึกเหมือนฝันไป ดูมิใช่ความจริงจนพวกนางยากจะเชื่อได้ลง!
ก่อนหน้านี้ ขอบเขตพลังของพวกนางทั้งสองต่ำต้อยจนทนดูแทบมิได้ ไม่ถึงขอบเขตนักบุญด้วยซ้ำ
ส่วนลั่วสุ่ย เซี่ยเหยียน และหลิงอินสามคนยิ่งมีขอบเขตสูงขึ้นไปอีกในบัดนี้ เหนือขอบเขตเซียนขึ้นไปได้นานแล้ว
โดยขอบเขตพลังของลั่วสุ่ยนั้นสูงที่สุด ตีโค้งแซงขึ้นมาได้ บัดนี้ นางเป็นถึงราชันแห่งเซียนตนหนึ่งแล้ว!
ก่อนหน้านี้ หลิงอินคือผู้ที่มีขอบเขตพลังสูงที่สุดมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างไร ลั่วสุ่ยก็อยู่เคียงข้างคุณชายอยู่ตลอด ทั้งพรสวรรค์ ทั้งพลังกายเนื้อ ล้วนอยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบเกินหยั่งไปแล้ว หลิงอินถูกแซงขึ้นไปได้
หลิงอินในตอนนี้เป็นจ้าวแห่งเซียนตนหนึ่ง
เซี่ยเหยียนมีขอบเขตพลังต่ำที่สุดมาแต่ไหนแต่ไรในบรรดาทั้งสามคน บัดนี้ก็ยังคงเดิม ไล่ตามลั่วสุ่ยและหลิงอินไม่ทัน
นางในตอนนี้เป็นเซียนสมบูรณ์ตนหนึ่ง
ขณะที่บรรลุเซียน พวกนางต่างทึ่งกันหมด ชักนำสสารนิรันดร์เข้าร่าง ไม่ถูกกาลเวลากัดกร่อนอีกต่อไป มีอายุขัยเป็นนิรันดร์ นี่ต่างหากที่เรียกว่า เซียนอย่างแท้จริง!
หากอยู่เป็นนิรันดร์มิได้ ต่อให้มีพลังระดับเซียนก็เท่านั้น ถือเป็นเซียนเทียม อย่างเช่นปลามังกร
ทว่ายามพวกนางบรรลุเซียน กลับมิได้รู้สึกถึงสสารนิรันดร์แต่อย่างใด
พวกนางรู้สึกถึงสสารที่อัศจรรย์กว่านั้น เหนือชั้นกว่าความนิรันดร์ แม้แต่สสารโกลาหลที่เป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่งยังเทียบมิได้!
ในลานคุณชายมีหินโกลาหลอยู่ก้อนหนึ่ง พวกนางสัมผัสได้ว่าสสารชนิดนี้เมื่อเทียบกับสสารโกลาหลแล้วเป็นอย่างไร
‘นี่คือสสารที่คุณชายประทานให้!’
พวกนางต่างตระหนักดี
สสารที่อัศจรรย์ยิ่งกว่าสสารโกลาหลนี้ ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับคุณชาย!