“สะใภ้ใหญ่รีบร้อนตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลจงถึงเพียงนี้เชียว?” เห็นได้ชัดว่าจงอิ้งซีไม่มีสมองและความสุขุมเหมือนจงฉิงเฟิง ท่าทีไร้เดียงสาและการปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้นิสัยคุณหนูของนางปะทุออกมา ต้องรู้ว่านางเป็นคุณหนูที่อายุน้อยที่สุดของตระกูลจงในรุ่นนี้ ปกติอยู่ในบ้านก็ถูกพะเน้าพะนอจนเคยตัว ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะมีจุดประสงค์อื่น คงไม่อาจทำให้คุณหนูที่ถูกตามใจตั้งแต่เด็กผู้นี้ถ่อมาไกลถึงที่นี่ได้หรอก
“คำพูดนี้ของคุณหนูจงเอามาจากที่ใดกัน? ข้าบอกไปแล้วข้าสกุลเยี่ยน แม้ว่าจะอยากข้องเกี่ยวกับตระกูลจงก็ล้วนเป็นเรื่องที่ยากเย็น จำต้องทำเรื่องเกินความจำเป็นอย่างตัดขาดความสัมพันธ์ด้วยหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย้อนถามอย่างปกติ คนที่ถูกวางแผนอย่างนางยังไม่รีบเลย ไฉนคุณหนูจงผู้นี้กลับเริ่มร้อนใจเสียแล้วเล่า? นิสัยเช่นนี้จะทำเรื่องใหญ่ได้อย่างไร!
“สะใภ้ใหญ่ ไม่รู้ว่าข้างกายสะใภ้ใหญ่มีคนที่ชื่อแม่นมฉินและแม่นมเซียง เซียงหลิง หรือไม่?” จงฉิงเฟิงได้สืบข่าวมาแล้ว ปีนั้นยังมีพวกบ่าวใช้ที่ตามจงเสวี่ยฉิงออกจากเซิ่งจิงอีกสองคน ทั้งสองคนนี้ล้วนอยู่ข้างกายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ขอเพียงแค่เรียกสองคนนี้ออกมา ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตระกูลจง…แต่เขาไม่ได้คิดไว้ว่าหากพิสูจน์แล้วจะทำอย่างไรต่อ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผลักไสพวกเขาถึงเพียงนี้ จะยอมเป็นพวกของเขาง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?
“คาดไม่ถึงว่าคุณชายใหญ่จงจะมีความตั้งอกตั้งใจขนาดนี้ กระทั่งแม่นมที่ติดมากับสินเดิมข้าก็ตรวจสอบออกมาอย่างชัดเจน!” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เผยยิ้มเยือกเย็น “สิ่งที่ข้าอยากรู้ก็คือคุณชายใหญ่จงทำถึงขนาดนี้คิดอยากจะทำอะไรหรือ?”
จงฉิงเฟิงคาดไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเปลี่ยนสีหน้าในชั่วพริบตา หลังจากตะลึงเล็กน้อย ก็พบว่าคำพูดของตัวเองผิดปกติไปอยู่บ้าง กล่าวอธิบาย “ปีนั้นยามที่ท่านน้าออกจากเซิ่งจิง คนที่รับใช้อยู่ข้างกายก็คือแม่นมฉินและเซียงหลิงสองคนนี้ ข้าคิดว่าพวกนางคงกระจ่างใจเรื่องความสัมพันธ์ของท่านน้าและตระกูลจงดี เมื่อพูดชัดเจน ก็ย่อมพิสูจน์ได้ว่าข้าไม่ได้มาตามหาญาติอย่างเรื่อยเปื่อย!”
“ข้าสงสัยเป็นอย่างมาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะอย่างเรียบเย็น “ไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่จงจะซักไซ้ไล่เลียงให้ได้เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่? ท่านตา ท่านยายและมารดาของข้าล้วนจากไปหมดแล้ว ยามที่พวกเขามีชีวิตอยู่ เหตุใดคนของตระกูลจงจึงไม่เข้ามาสานสัมพันธ์ ต้องรอจนพวกเขาไม่อยู่แล้ว จึงค่อยมาหาข้าผู้นี้ที่ไม่รู้ว่าคนของตระกูลจงเป็นใครกัน!”
จงฉิงเฟิงสั่นสะท้านเล็กน้อย เดิมทีคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องง่ายดาย คิดว่าหากเยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าตัวเองมีตระกูลของมารดาที่นับว่าแข็งแกร่งย่อมต้องถือโอกาสยอมรับตระกูลจง หลังจากนั้นก็จะใช้เวลาสั้นๆ รู้จักมักคุ้นกัน เช่นนั้นแล้วเรื่องมากมายย่อมสะดวกราบรื่น คาดไม่ถึงว่าด่านแรกก็ยากที่จะจัดการ
“ไม่ทราบว่าให้ข้าพูดสักสองประโยคได้หรือไม่!” ผู้ที่อยู่ด้านข้างมาโดยตลอดเอ่ยปากขึ้น มองออกว่าเขาไม่คาดหวังกับพวกจงฉิงเฟิงแล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจออกโรงด้วยตนเอง
“ท่านแม่ ผู้นี้คือ…” ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินเข้ามาก็รู้แล้วว่าคนผู้นี้ย่อมมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลจง แต่ไม่มีใครแนะนำอะไร นางจึงไม่จำเป็นต้องถามให้มากความ
“ผู้นี้คือหยางรุ่ยเฟิง โอรสคนที่สี่ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ได้รับสมญานามว่าอ๋องรุ่ย” ยามที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวประโยคนี้ กระทั่งความเคารพก็แทบจะไม่มี อ๋องรุ่ยนับเป็นสิ่งใด แม้ว่าองค์รัชทายาทจะมา ตระกูลซั่งกวนก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามมารยาทเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องยกยอสรรเสริญเขา
“ที่แท้ก็คืออ๋องรุ่ย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค่อยเก็บสีหน้าเย็นเยียบกลับมาเล็กน้อย กล่าวอย่างเย็นชา “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีความเห็นสูงส่งอันใด?”
“สะใภ้ใหญ่อย่าได้ทำเป็นคนนอกเช่นนี้เลย!” หยางรุ่ยเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มารดาของข้าคือสนมจงกุ้ยเฟย หากมารดาของสะใภ้ใหญ่คือท่านน้าจงเสวี่ยฉิง เช่นนั้นพวกเราก็นับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ไม่มีความจำเป็นต้องห่างเหินเช่นนี้!”
“ท่านอ๋องรุ่ยมีความเห็นสูงส่งอันใดก็พูดเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เย็นเยียบในใจ ลูกชายของสนมจงกุ้ยเฟย ดูท่าคงวาดฝันอยากจะใช้อำนาจของตระกูลซั่งกวนมาแข่งขันกับรัชทายาท ปีนขึ้นไปบนตำแหน่งสูงนั้น แต่พวกเขามั่นใจว่าตัวเองจะยอมรับพวกเขาจริงๆ หรือ? แม้จะยอมรับ แล้วจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขา? ช่างน่าขันจริงๆ!
“ไม่กล้าจะกล่าวว่าเป็นความเห็นที่สูงส่งหรอก!” หยางรุ่ยเฟิงแย้มยิ้มเล็กน้อย “ที่จริงหลายปีมานี้ท่านแม่เอาแต่พร่ำกล่าวว่าต้องตามท่านน้ากลับมาให้ได้ น่าเสียดายที่หลายปีมานี้ไม่มีข่าวและเบาะแสอะไรมาโดยตลอด ภายหลังได้ยินมาว่ามารดาของสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนเป็นสหายเก่าของฮูหยินซั่งกวน ทั้งยังทราบว่าสหายเก่าผู้นั้นมีนามว่าจงเสวี่ยฉิง ดังนั้นจึงตามเบาะแสนี้มา พบว่าเรื่องทั้งหมดบรรจบเข้ากันพอดี จึงเกิดเรื่องในวันนี้!”
“ก็หมายความว่าท่านอ๋องมั่นใจอย่างมากว่ามารดาของข้าคือท่านน้าของท่าน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง คำพูดของนางทำให้หลายคนลอบดีใจ นางยอมรับแล้วหรือ?
“หากไม่มั่นใจ พวกเราย่อมไม่บุ่มบ่ามเข้ามาผูกสัมพันธ์หรอก” หยางรุ่ยเฟิงผงกศีรษะยืนยัน ดูท่าเรื่องนี้ยังคงต้องเป็นเขาออกโรงเองจึงจะสำเร็จ กล่าวอย่างใจหาย “ท่านน้าออกจากเซิ่งจิงไปยี่สิบกว่าปีแล้ว ท่านแม่ก็เพียรหากว่ายี่สิบปี สามารถหาเลือดเนื้อเชื่อไขของท่านน้าพบ ท่านแม่ย่อมต้องสบายใจเป็นแน่!”
“เป็นเช่นนี้หรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย “หากเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะแสดงความเห็นเรื่องนี้อย่างไรดี ควรจะกล่าวว่าพวกเจ้าทำเรื่องนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมหรือว่าแย่มากกันแน่!”
“ไฉนสะใภ้ใหญ่จึงกล่าวเช่นนี้?” หยางรุ่ยเฟิงก็รู้สึกสั่นไหวในใจ คาดไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ดูเหมือนมีการเตรียมพร้อมอยู่บ้าง จนถึงขนาดนี้ล้วนไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย
“เวลายี่สิบกว่าปีตามหาคนในครอบครัวไม่พบกล่าวได้เพียงว่าทำเรื่องได้แย่เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ทำเรื่องได้แย่ แต่เดิมทีก็ไม่ได้ทำเสียมากกว่า!” จู่ๆ ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เยียบเย็นขึ้นมา “ผลลัพธ์ปรากฏว่าเวลาสองสามปีอาศัยเพียงข่าวคราวเล็กๆ นอกจากสามารถสืบหาเรื่องราวยี่สิบกว่าปีออกมาแล้ว ยังนับว่าทำได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย!”
ใบหน้าของหยางรุ่ยเฟิงแทบแขวนไว้ที่เดิมไม่ได้อยู่บ้าง คำพูดนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ทุกคนล้วนได้ยินอย่างชัดเจน กล่าวว่าเพราะพวกเขาในยามนี้เห็นฐานะของนางจึงออกมาผูกสัมพันธ์ เรื่องจริงก็เป็นอย่างนั้น แต่ถูกคนพูดออกมาเช่นนี้ ในใจของพวกเขายังคงนับว่าหงุดหงิดไม่น้อย
“เจ้าหมายความว่าพวกเรามาผูกสัมพันธ์กับเจ้าเพราะเห็นแก่ฐานะของเจ้าอย่างนั้นหรือ?” แม้จงอิ้งซีจะฉลาดเฉลียวอยู่บ้าง แต่ก็ถูกคนยกยอปอปั้นจนเสียนิสัย ไหนเลยจะสามารถรับคำเหน็บแนมเช่นนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ เวลานั้นก็ร้องอย่างโมโหขึ้นมาทันที
“ข้าเพียงแค่สงสัยเท่านั้น เหตุใดยี่สิบปีก่อนหน้านี้จึงไม่มีญาติ แต่กลับโผล่ออกมายามนี้? หรืออาจจะเป็นดั่งสำนวนนั้นที่กล่าวว่า คนจนแม้นอยู่ในเมืองย่อมไร้คนถามหา คนรวยจะอยู่ในหุบเขาลึกเท่าใดก็มีคนมาเยี่ยมเยือน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย้อนถามด้วยเสียงแหลมอยู่บ้าง ตระกูลใหญ่ไม่ใช่ของตั้งวางให้เชยชม ยิ่งไม่ใช่ใครคนใดก็ใช้ประโยชน์ได้ นางในยามนี้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของตระกูลใหญ่แล้ว ยิ่งไม่จำเป็นต้องหลงเหลือที่ว่างอะไรให้คนที่เจตนาไม่ดีพวกนี้
เวลานี้ไม่เพียงอ๋องรุ่ย แต่กระทั่งจงฉิงเฟิงก็เผยท่าทีลำบากใจเช่นกัน พวกเขาล้วนคิดว่าขอเพียงแค่พวกเขาโยนกิ่งมะกอก[1]ออกไป เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมต้องคว้าไว้ทั้งน้ำตาเป็นแน่ สิ่งที่คาดไม่ถึงคือนางไม่เพียงปฏิเสธการผูกสัมพันธ์กับตระกูลจง แต่ยามนี้กลับแสดงความสงสัยต่อพวกเขา พวกเขาทั้งสองสบสายตากัน นางเป็นลูกสาวพ่อค้าจริงๆ หรือ?
“มี่เอ๋อร์…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หาก…ข้าเพียงกล่าวว่า หากตระกูลจงเป็นตระกูลของท่านตาเจ้าจริงๆ เจ้าคิดจะทำอย่างไร? อ๋องรุ่ยและคุณชายใหญ่จงล้วนมาถึงที่นี่แล้ว ย่อมมั่นใจความจริงของเรื่องนี้ พวกเราก็ต้องมีท่าทีของตัวเองบ้าง!”
“ท่านแม่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างจริงจัง “ยามที่มี่เอ๋อร์สามขวบในปีนั้น ท่านตาและท่านยายล้วนจากโลกนี้ไป ตั้งแต่เวลานั้นมี่เอ๋อร์ย่อมไม่มีตระกูลของท่านตาแล้ว ท่านแม่ก็ไม่มีตระกูลเดิมของตัวเองนับแต่นั้นเช่นกัน ส่วนมี่เอ๋อร์ ข้ากล่าวไปสองครั้งแล้ว ข้าสกุลเยี่ยน ตระกูลดั้งเดิมย่อมเป็นตระกูลเยี่ยนของอู๋โจว แม้ว่าข้าจะไม่สนิทสนมกับท่านพ่อ ก็ไม่อาจปฏิเสธจุดนี้ได้เช่นกัน”
ก็หมายความว่าแม้พวกเขาจะมีหลักฐานมาพิสูจน์เพียงพอว่านางเกี่ยวข้องกับตระกูลจง นางก็ไม่คิดจะผูกสัมพันธ์กับตระกูลจงอยู่ดี? จงฉิงเฟิงเย็นเยียบในใจอีกครั้ง ดูท่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ผู้นี้จะไม่ง่ายดายเหมือนที่พวกเขาคิดขนาดนั้น ไม่สามารถดึงมาเป็นพวกเรื่อยเปื่อยได้ เช่นนั้น…
“เช่นนั้นสะใภ้ใหญ่ยอมรับแล้วว่ามารดาของเจ้าคือท่านน้าจงเสวี่ยฉิง?” จงฉิงเฟิงยังคงตัดสินใจก้าวเดินต่อไป ยืนยันฐานะของนางก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“ชื่อของท่านแม่ไม่ใช่ความลับอะไร กระทั่งแม่นมข้างกายของข้าคุณชายใหญ่ยังทราบอย่างชัดเจน ต้องการจะรู้ว่ามารดาของข้ามีชื่อว่าอะไรย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดาย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเย็นในใจ ทั้งหมดย้อนกลับมาจุดเดิมอีกครั้ง เขาทำได้เพียงอ้อมไปอ้อมมาเท่านี้หรือ?
จงฉิงเฟิงแทบอยากจะบ้าตาย เขาก็ไม่อยากอ้อมไปอ้อมมาอยู่อย่างนี้ แต่ที่นี่คือตระกูลซั่งกวน ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าคือสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวน หากสามารถจับนางไว้ในกำมือ ให้นางรวมถึงตระกูลซั่งกวนที่อยู่เบื้องหลังนางมาสนับสนุนอ๋องรุ่ยได้ แม้ว่าอ๋องรุ่ยจะไม่มั่นใจว่าจะครอบครองตำแหน่งของฮ่องเต้ได้ แต่ก็มีกำลังในการต่อสู้กับรัชทายาท เป็นผลดีกับตระกูลจงเป็นอย่างมาก!
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไรสะใภ้ใหญ่จึงจะเชื่อว่ามารดาของเจ้าคือลูกสาวของตระกูลจง?” ในมือของจงฉิงเฟิงยังมีของเล็กน้อยที่จงเสวี่ยฉิงทิ้งไว้ที่เซิ่งจิง เดิมทีคิดจะใช้ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ซาบซึ้งใจ อยากให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าตระกูลจงมีไมตรีที่ลึกซึ้งขนาดไหน แต่ยามนี้ของพวกนั้นทำได้เพียงกลายเป็นหนึ่งในหลักฐานเท่านั้น
“ข้าคิดว่าเรื่องนี้อย่างไรรอท่านพ่อและสามีกลับมาก่อนค่อยว่ากันเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ข้าคิดว่าพวกเขาคงทราบเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของมารดาชัดเจนกว่าข้า ทั้งรู้ดีว่าข้าควรทำอย่างไร ข้ายังจำเป็นต้องฟังความเห็นของพวกเขา”
รอซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยกลับมา? ใจของจงฉิงเฟิงล่วงไปสู่ก้นเหวโดยพลัน กว่าพวกเขาจะทราบเรื่องก็ลำบากยากเย็น พ่อลูกซั่งกวนฮ่าวเพื่อให้ซั่งกวนหมิงคุ้นชินกับการใช้ชีวิตบนเรือนพำนักอวี้ฉิง ยามที่เด็กคนนั้นขึ้นเขาย่อมอยู่บนเขาด้วย หากพวกเขากลับมายังจะสามารถทำตามแผนอย่างราบรื่น ได้อย่างไร? เขาไม่มีความมั่นใจเช่นนั้น
“ที่แท้ท่านพี่ไม่อยากผูกสัมพันธ์กับตระกูลจงเพรากังวลว่าผู้นำตระกูลซั่งกวนและคุณชายใหญ่ซั่งกวนจะคัดค้าน!” จงอิ้งซีและจงฉิงเฟิงเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ย่อมเห็นถึงแววตาที่ลำบากใจและกังวลของจงฉิงเฟิง แสร้งกล่าวอย่างใสซื่อขึ้นมาทันที “ข้ายังคิดว่าท่านพี่ไม่อยากผูกสัมพันธ์กับพวกเราเสียอีก? หากน้องพูดอะไรให้ท่านพี่ไม่พอใจ อย่างไรขอท่านพี่อภัยด้วย!”
“คุณหนูจง…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนางอย่างเคร่งขรึม “ข้ากลับไม่แน่ใจว่ามารดาของข้าและตระกูลจงเกี่ยวข้องอะไรกันหรือไม่ แต่ข้ามั่นใจว่าหากมารดาของข้ามีความสัมพันธ์กับตระกูลจงจริงๆ เหตุใดนางกลับไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับข้ามาก่อน เช่นนั้นย่อมมีเรื่องในอดีตที่นางไม่อยากระลึกถึงอยู่บ้าง เป็นเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านแม่มีท่าทีเช่นนี้ ข้าไม่อาจเชื่อคำพูดของพวกเจ้าเพียงฝ่ายเดียวได้ ยิ่งยินดีที่จะฟังความเห็นของท่านพ่อและสามีมากกว่า ก่อนที่ข้อเท็จจริงของเรื่องทั้งหมดยังไม่เปิดเผย ข้าอยากขอให้ท่านอ๋องรุ่ย คุณชายใหญ่จงและคุณหนูจงอย่าเพิ่งเห็นข้าเป็นอะไรกับพวกเจ้าฝ่ายเดียวเลยจะดีกว่า”
“หรือพวกเราไม่ควรค่าพอให้เจ้าเชื่อถือ?” หยางรุ่ยเฟิงโกรธเคืองอยู่บ้าง แต่กลับแสดงกลยุทธ์แสร้งโศกเศร้าให้อีกฝ่ายเห็นอกเห็นใจ เชื่อว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นตัวเองย่อมต้องใจอ่อนแล้วกระมัง!
“คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน พบกันครั้งแรกจะสามารถพูดว่าเชื่อถือหรือไม่เชื่อถือได้อย่างไร?” ไม่ใช่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เชื่อเขา แต่เชื่อว่าพวกเขามีเจตนาไม่ดีกับตัวเองมากกว่า
“ข้าว่าเอาเช่นนี้เถิด!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับไม่อยากให้เรื่องยืดเยื้ออยู่เช่นนี้ เผยยิ้มเล็กน้อย “ทุกท่านที่เดินทางมาไกลล้วนเป็นแขก เอาเป็นว่าพักอยู่ที่ตระกูลซั่งกวนสักสองวัน รอให้สามีและลูกชายกลับมาค่อยๆ ปรึกษาหารือกันก็ไม่สาย”
จงฉิงเฟิงแลกเปลี่ยนสายตากับหยางรุ่ยเฟิง หากรอพ่อลูกซั่งกวนฮ่าวกลับมา พวกเขาย่อมไม่อาจเชื่อมสัมพันธ์อะไรได้ แต่ว่า…เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปิดปากหาวออกมาแล้ว หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “มี่เอ๋อร์เหนื่อยแล้วกระมัง”
“อ่อนเพลียอยู่บ้าง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะเบาๆ “ท่านแม่ก็รู้ว่าสุขภาพข้าในยามนี้ไม่ดีนัก ทั้งวันเอาแต่ง่วงเหงาหาวนอน…”
“อย่างไรเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด เจ้าและเด็กในท้องจึงจะสำคัญที่สุด” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวยิ้มๆ “แขกทั้งหลายล้วนเข้าใจสถานการณ์ของเจ้าอยู่แล้ว!”
ปฏิเสธได้อย่างนั้นหรือ? คนพวกนั้นยิ้มขมขื่น หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดขนาดนี้แล้ว พวกเขาย่อมไม่อาจคัดค้านได้ แต่ก็ไม่ได้รั้งตัวที่ตระกูลซั่งกวนตามคำพูดของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ กลับบอกลาและจากไป พวกเขาจำเป็นต้องปรึกษากันดีๆ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์สักหน่อย…
———————————–
[1] โยนกิ่งมะกอก อุปมาแสดงความปรารถนาดี หรือให้โอกาสกับใครบางคน