เผยลับจับใจ ซุปเปอร์สาวบ้านนอก บทที่ 61 เจอกับไวศิษฎ์อีกครั้ง
ดังนั้นนภาลัยจึงไม่ได้ให้ความสำคัญต่อสถานภาพตัวตนขนาดนั้นแล้ว เมื่อก่อนที่ปิดเอาไว้ เป็นเพราะว่าไม่อยากให้ได้รับความสนใจ อยากที่จะให้ชีวิตที่เงียบสงบกับลูก
แต่ตอนนี้ ขึ้นพาดหัวข่าวด้วยกันกับภีมพลมาตั้งสองสามวันแล้ว เงียบสงบกับผีน่ะสิ!
“รีบสะพายกระเป๋าเร็วเข้า คนขับรถกำลังรอพวกลูกอยู่นะ”เธอเร่งเร้า จากนั้นก็ส่งลูกๆออกไป
หลังจากที่ไปส่งลูกแล้ว นภาลัยก็ออกจากเอเมอรัลด์ เบย์ วิลล่า วันนี้เธอต้องกลับไปที่หมู่บ้านซันไลต์
ตามถนนที่คึกคักวุ่นวาย นภาลัยกะจะซื้อของขวัญให้กับลุงรณิศ กำลังจะเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า คนสองคนที่กำลังทะเลาะวิวาทกันอยู่ไม่ไกลก็ดึงดูดสายตาของเธอเข้า
หนึ่งในนั้นคือศิษฎ์นั่นเอง!
ทำไมถึงมีเรื่องทะเลาะวิวาทอีกแล้ว? แผลที่หน้าหายดีแล้วเหรอ?
“นี่!”เธอวิ่งตรงเข้าไปโดยสัญชาตญาณ แค่มองแวบเดียวก็จำคนอีกคนที่กำลังตบตีอยู่กับศิษฎ์ได้“ขโมย? ใครก็ได้มานี่หน่อย!!จับขโมย!จับขโมย!”
พอถูกเธอตะโกนเรียกแบบนี้ คนคนนั้นก็ตกใจจนปลีกตัววิ่งหนีไปทันที!
ศิษฎ์กำลังจะก้าวเท้าไล่ตามไป“แกหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
นภาลัยก็มือเท้าไวคว้าแขนของเขาเอาไว้ก่อน“ทำอะไร!”
“คุณรู้ว่ามันเป็นขโมยแล้วยังปล่อยมันไปอีกเหรอ?!”ไวศิษฎ์โมโหมาก แต่ตอนที่เขาเห็นเธออย่างชัดเจนแล้วนั้น ก็อึ้งตะลึงไปอีกครั้ง!สีหน้าท่าทางประมาณว่า ทำไมถึงเป็นคุณอีกแล้ว
หลังจากผ่านไปสามนาที ณ ร้านน้ำชาแบบเปิดโล่งแห่งหนึ่งในละแวกแถวนั้น……
นภาลัยกับไวศิษฎ์นั่งลงตรงข้ามกัน ไวศิษฎ์รินน้ำชาให้กับตัวเองหนึ่งแก้ว ยกหัวขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ท่าทางสบายๆไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กน้อย
วางแก้วลงพิงพนักพิงเก้าอี้ เขาสีหน้าดูร้ายกาจ แววตาขี้เล่น“คุณดูแล้วไม่เหมือนกับสาวบ้านนอกเลยนะ”เขาที่ไม่ดูข่าวเมื่อวานก็กลับไปค้นหาในกูเกิ้ลแล้ว
นภาลัยยิ่งมองเขา ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขามีความคล้ายกับภีมพลอยู่ไม่น้อย แต่เขาให้ความรู้สึกที่แตกต่างกับภีมพล
คงจะไม่ใช่ลูกนอกสมรสของเขาหรอกใช่ไหม?
“คุณรู้ได้ไงว่ามันเป็นขโมย?”ไวศิษฎ์รู้สึกอยากรู้อยากเห็น
“เพราะว่ามันไปขโมยไก่ที่หมู่บ้านของพวกเรา แล้วถูกจับได้น่ะสิ”เธอไม่ปกปิดเลยแม้แต่นิดเดียว“ฉันเคยเจอมันมาก่อน”
ขโมยไก่?
ไวศิษฎ์หลุดขำออกมา หัวเราะอย่างเล่นใหญ่เกินจริง“ที่แท้เขาก็แต่งงานกับสาวบ้านนอกคนหนึ่งจริงๆสินะ!ฮ่าๆๆ ต้องรู้สึกสิ้นหวังกับการแต่งงานขนาดไหนกัน? ท่านประธานใหญ่ของทีเอ็ม กรุ๊ปที่แสนยิ่งใหญ่”
“ทำไมนายถึงเป็นปฏิปักษ์กับเขาขนาดนี้กัน?”นภาลัยแทบจะไม่สนใจเสียงหัวเราะเยาะของเขาเลยแม้แต่น้อย มองว่าเขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น
“เห็นแล้วขัดหูขัดตา!”เขาพลั้งปากพูดออกมา แววตาเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน สองขาที่อ้าไว้ยังคงสั่นไม่หยุด
นภาลัยอดไม่ได้ที่จะช่วยพูดแทนภีมพลสักสองสามประโยค“จริงๆแล้วเขาเป็นห่วงนายมากเลยนะ ไม่อย่างนั้นเมื่อวานเขาก็คงจะไม่ไปที่สถานีตำรวจหรอก”
“ใครต้องการความเป็นห่วงของเขากัน?”แผลบนใบหน้าของไวศิษฎ์ยังไม่หายดี แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการดื้อรั้นของเขา
นภาลัยมุมปากยกขึ้น จิบชาของตัวเองต่อไป
เด็กหนุ่มคิ้วขมวด พูดถามขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์“คุณยิ้มอะไร?”
“ฉันยิ้มมันก็เป็นอิสระของฉัน”นภาลัยพูดขึ้น“มีความสุขก็ยิ้ม รู้สึกว่าตลกก็ยิ้ม มันมีปัญหาเหรอ?”
ไวศิษฎ์สีหน้าท่าทางขี้เกียจจะสนใจเธอ หยิบโทรศัพท์มาดู ก่อนจะลุกขึ้นจากไป ไม่แม้แต่จะจ่ายบิล
นภาลัยมองดูเงานั้นหายวับไปท่ามกลางผู้คน……
ชายสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา จากนั้นก็ใช้โทรศัพท์โทรออกไปที่เบอร์หนึ่ง
ณ ทีเอ็ม กรุ๊ป
ภีมพลที่เพิ่งจะเข้ามาในห้องประชุมโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เขารับสาย เอาโทรศัพท์แนบหู คนในสายพูดรายงานอะไรบางอย่าง ทำให้สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด
ทำเอาเหล่าบรรดาผู้บริหารระดับสูงต่างพากันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
หลังจากที่วางสายแล้ว ภีมพลก็มอบหมายงานให้กับวริศ จากนั้นก็หันตัวจากไป การประชุมนี้ให้วริศเป็นคนดำเนินการ
ตรงทางเดิน ญาณีที่แต่งตัวทันสมัยสวยงามพอเห็นภีมพลที่เดินตรงมา เธอก็จัดการกับสีหน้าท่าทางให้เรียบร้อย สัมผัสได้ถึงรังสีความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเขา
“คุณภีม……”
พอเสียงทักทายสิ้นสุดลง ภีมพลก็เดินเฉียดไหล่ของเธอไป พอหันไปมองก็พบว่าเขาเดินไปไกลแล้ว!
การทักทายนี้ช่างเงียบเหงาเหลือเกิน!
ญาณีถูกเขาเมินเฉยใส่ ริมฝีปากสีแดงของเธอเม้มเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก้าวเท้าเดินตรงไปที่ห้องประชุมด้วยความสิ้นหวัง
หลังจากที่เข้าไปแล้วก็ตรงไปหาวริศ ก่อนจะพูดถามขึ้นเบาๆ“เขาไปทำอะไร?”
“ไม่ทราบแน่ชัดครับ”
“เพื่อนภาลัยใช่ไหม?”ญาณีไม่อดทนแล้ว
วริศหันมองเธอ“ผมไม่รู้จริงๆครับ เรื่องของคุณภีมนอกจากเขาจะเป็นฝ่ายบอกเองแล้ว ผมก็ไม่เคยถามเลยครับ”
ญาณีกลับมั่นใจได้อย่างเด็ดขาด ว่าเพื่อนภาลัยแน่นอน!
เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกทางสีหน้า ตั้งแต่ที่นภาลัยโผล่เข้าไปในโลกของเขา เขาก็เริ่มมีอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมา