เผยลับจับใจ ซุปเปอร์สาวบ้านนอก บทที่ 69 คุณควรจะเชื่อในสายตาของคุณภีม
พูดจบกรินทร์จงใจมองดูสีหน้าของเธอ เห็นเธอเศร้าเสียใจหลังจากที่รู้สึกตกใจแล้ว
กรินทร์อยากให้นภาลัยมีความสุข
ดังนั้นเขาจึงจะคิดหาวิธีทำให้ญาณีตัดใจ ไม่อยากให้เธอกลายเป็นมือที่สามระหว่างพวกเขา
ญาณีกับภีมพล เป็นคู่ที่ก่อนหน้านี้ใครๆต่างก็รับรู้
“คุณภีมดูเผินๆแล้วเหมือนจะไม่สนใจเรื่องผู้หญิง จริงๆแล้วก็เป็นผู้ชายที่มีความรักความรู้สึกเหมือนกัน”กรินทร์พูดชื่นชมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ก่อนหน้านี้ผมไม่เข้าใจเขา ตอนนี้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขาไปแล้ว”
ญาณีพูดถามขึ้น“นภาลัยป่วยแล้วเหรอ?”เธอยกหัวดื่มไวน์ในแก้วไปจนหมด
“ไม่นะครับ เธอสบายดี”กรินทร์พูดต่อไป“คลอดลูกออกมาตั้งสองคนแล้ว ก็ต้องมีเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของเธอบ้าง จริงๆแล้วหกปีผ่านมา เธอฟื้นฟูกลับมาได้ดีมาก แต่แค่ว่าคุณภีมยังไม่วางใจลง ก็เลยให้ผมเจียดเวลาไปทำการตรวจร่างกายแบบครบถ้วนให้กับเธอ”
ภีมพลเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้ขนาดนี้ เป็นครั้งแรก ที่หัวใจของญาณีเย็นยะเยือกอยู่นิดหน่อย
เธอรินไวน์ให้กับตัวเองหนึ่งแก้ว จากนั้นก็ยกขึ้นซด
“ผู้หญิงที่คลอดลูกให้กับเขาสองคน เขาควรจะชดใช้ด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา”กรินทร์พูดตัดสิน น้ำเสียงอบอุ่น“ในที่สุดผมก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าเขาจะโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิตแล้ว”
“ฉันว่าไม่เสมอไปหรอกนะ”ในตาของญาณีแฝงไปด้วยความดูถูก“นภาลัยจะตรงตามรูปแบบของเขาเหรอ? คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่กันได้นานเหรอ? สถานภาพต่างกันมากขนาดนั้น ความคิดความอ่านยากที่จะเข้ากันได้เลยด้วยซ้ำ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณเข้าใจนภาลัยเหรอ?”กรินทร์รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่เล็กน้อย แต่ไม่ได้แสดงออกมา เขาพูดขึ้น“คุณควรจะเชื่อสายตาของคุณภีมนะ”
ญาณียังคงเชื่อมั่นว่า ที่พวกเขาอยู่ด้วยกันก็เป็นเพราะว่าลูก
ยังมีความเป็นไปไม่ได้อีกหนึ่งอย่าง ก็คือเพื่อที่ว่าเขาจะเอาไว้ต่อกรกับป้านิตย์
ภายในรถลัมโบร์กินี่ที่กำลังแล่นกลับไปยังเอเมอรัลด์ เบย์ วิลล่า ภีมพลมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนผ่านกระจกรถ เมื่อเทียบกับความช็อกตกใจจากสถานภาพเภสัชกรของเธอแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงเอ็นดูช่วงเวลาตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาของเธอมากกว่า
เธอต้องรู้สึกอับจนหนทางและสิ้นหวังมากี่คืนกันนะ?
การเลี้ยงดูลูกเป็นเรื่องที่ชวนให้เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
ลางสังหรณ์ของเขาไม่ผิด นภาลัยไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา……
รถลัมโบร์กินี่ขับเข้ามาในลานบ้าน พ่อบ้านปวิธที่ถือเสื้อโค้ตตัวนอกกำลังยืนรออยู่ที่ประตูมาโดยตลอด รีบออกไปต้อนรับทันที
หลังจากที่ภีมพลลงมาจากรถแล้ว พ่อบ้านปวิธก็คลุมเสื้อให้กับเขา“คุณภีม วันนี้คุณนายเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเองเลยนะครับ เตรียมอาหารไว้ให้ท่านเต็มโต๊ะเลย”
ฝีเท้าของเขาหยุดชะงักลงทันที หันมองไปหาพ่อบ้าน“……”
“แต่ท่านไม่กลับมาสักที พวกเธอกินเสร็จก็ขึ้นไปข้างบนแล้วครับ”
“ทำไมถึงไม่โทรมา”
“คุณนายไม่ให้โทรครับ”
หลังจากที่ภีมพลเข้าไปในห้องรับแขกแล้วก็เข้าไปที่ห้องอาหารทันที ป้ารสาเอาอาหารที่เหลือออกมาจากเตาอบ ก่อนจะเอาตะเกียบให้กับเขา
“คุณภีม นี่เป็นอาหารที่คุณนายลงมือทำด้วยตัวเองเลยค่ะ ยุ่งอยู่ตลอดทั้งช่วงบ่ายเลย ท่านลองชิมดูสักหน่อยสิคะ”
“อื้อ”
เขานั่งลงบนเก้าอี้สีขาว รับตะเกียบมา
แม้ว่าจะเป็นอาหารง่ายๆที่ทำกินเองที่บ้าน แต่สีกลิ่นรสก็มีครบครันดูน่ากิน ทำให้เขารู้สึกอยากกินมากๆ
กินไปสองคำ ไม่มีความรู้สึกคลื่นไส้อะไร ดังนั้นเขาจึงตั้งหน้าตั้งตากินอย่างสบายใจ
ภีมพลไม่ได้กินข้าวอย่างสบายใจแบบนี้มานานมากแล้ว เขากินข้าวไปสองถ้วย กินกับข้าวที่เหลืออยู่ในจานไปจนหมดเกลี้ยง
พ่อบ้านปวิธรู้สึกสุขใจเป็นอย่างมาก แต่พอคิดถึงข้อตกลงนั้นของคุณนายแล้ว เขาก็รู้สึกเป็นห่วงคุณภีมขึ้นมาเป็นพิเศษ
ก่อนที่เขาจะขึ้นไปข้างบน พ่อบ้านครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าสุดท้ายก็เรียกเขาเอาไว้“คุณภีมครับ”
ภีมพลหยุดฝีเท้า เห็นเขาอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา“มีเรื่องอะไรก็ว่ามาสิ”
“วันนี้คุณนายให้ผมช่วยปริ้นข้อตกลงหนึ่งฉบับ เธอกำลังรอท่านกลับไปเซ็นอยู่นะครับ”
“……”
เธอจะจากไปแล้วอย่างนั้นเหรอ? หย่าอย่างนั้นเหรอ?
ภีมพลนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นมาเบาๆ“ฉันรู้แล้ว”
พ่อบ้านปวิธมองเงาหลังที่ขึ้นชั้นบน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
ข้างนอกห้องโถงบนชั้นสอง
หลังจากที่ภีมพลขึ้นไปข้างบนแล้วก็เห็นผู้หญิงที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาตรงหน้าต่าง
สายตาของสองคนมองสบกัน เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังรอเขาอยู่
ภีมพลก้าวเดินเข้าไปข้างใน นภาลัยมุมปากยกขึ้นเบาๆ
เขาเห็นบนโต๊ะกาแฟมีข้อตกลงสองฉบับกับปากกาหนึ่งด้ามวางเอาไว้อยู่
“ฉันคิดดีแล้ว ฉันยอมตกลงว่าจะรักษาแผลไฟไหม้ให้กับแม่ของคุณ”นภาลัยมองใบหน้าที่เย็นชาและสูงส่งของเขา“แต่คุณต้องเซ็นข้อตกลงฉบับนี้ก่อน”