สายลมพัดพาความร้อนผ่านไป ผ้าคลุมของโรแลนด์ปลิวไสวไปตามแรงลม ทว่าเสื้อคลุมขอบเขียวของฟอลเคิลกลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
ดูเหมือนฟอลเคิลจะอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ทางกายภายแล้ว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งโรแลนด์ก็ถามออกมาว่า “คุณขอให้ผมรีบออกจากเมืองเรดเมาน์เทนงั้นเหรอ?”
มันไม่ใช่ความคิดสุ่มๆ มันเป็นสิ่งที่เขาคิดได้เมื่อนึกถึงประโยคทั้งหมด
ฟอลเคิลยิ้มและพูดว่า “เจ้าฉลาดจริงๆ ข้าหวังว่าเจ้าจะออกจากเมืองนี้เร็วเท่าที่เป็นไปได้”
“ทำไมคุณถึงอยากให้พวกเราไปนักล่ะ?” โรแลนด์ถามออกมาด้วยความสงสัย
“มันไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าหรอก มันเกี่ยวกับพวกเขา” วิญญาณของฟอลเคิลมองลงไปยังเมืองอย่างอ่อนโยนพร้อมพูดว่า “เจ้าทำลายสมดุลของเมืองนี้ ข้าไม่ได้จะต่อว่าเจ้า เจ้าทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ทว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเมืองนี้”
โรแลนด์ที่ยืนอยู่ข้างฟอลเคิลถามออกมาด้วยความสนใจว่า “ผมไม่ได้สังเกตุเลยว่าผมมีอิทธิพลต่อเมืองนี้ในทางไหน”
“เจ้าแตกต่าง” ฟอลเคิลมองโรแลนด์พร้อมพูดว่า “เจ้าและบุตรทองคำที่มาถึงนั้นแตกต่างจากพวกเรา เจ้าไม่ได้ถ่อมตัวหรือทำตัวหยิ่งผยอง เจ้าปฏิบัติต่อทุกสิ่งอย่างเท่าเทียม มันเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเด็กๆในเมืองนี้”
โรแลนด์รู้สึกมึนงง “ทำไมล่ะ?”
“เพราะพวกเขาไร้ซึ่งอำนาจ” ฟอลเคิลพูดอย่างสิ้นหวัง “พวกเขาไม่มีภูมิหลังครอบครัวที่โดดเด่น พวกเขาไม่สามารถแม้กระทั่งอ่านได้ด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับเรียนรู้วิธีการจัดการกับปัญหาต่างๆจากเจ้า เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีแต่ไร้ซึ่งอำนาจและต้องเผชิญหน้ากับขุนนางหรือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่ง”
คำพูดของเขาตรงไปตรงมา แต่สำหรับโรแลนด์มันทิ่มแทงใจเขาเกินไป มันค่อนข้างน่าตกใจ เสียงร้องของแมลงและนกรอบข้างราวกับดังขึ้นจากเดิม
เขากลืมน้ำลายเข้าไปโดยไม่รู้ตัวและพูดว่า “โลกใบนี้โหดร้ายขนาดที่คนคนหนึ่งไม่สามารถปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองได้เลยเหรอ?”
“ทำได้ถ้าพวกเขาแกร่งพอ ทว่าพวกเขานั้นไม่ใช่” ฟอลเคิลพูดออกมา “โลกของบุตรทองคำนั้นเป็นโลกที่ทุกคนต่างอยู่กันอย่างสงบสุขและไม่มีการเลือกปฏิบัติตั้งแต่ต้นใช่ไหม?”
แน่นอนว่าไม่! หลังจากเงียบลงสักพักโรแลนด์ก็ยิ้มอย่างขมขื่น “เข้าใจแล้ว”
จากนั้นเขามองไปยังฟอลเคิลพร้อมกับพบอะไรแปลกๆ “ทำไมรู้สึกเหมือนว่าความคิดของคุณถึงดูคล่องแคล่วขึ้นเมื่อคุณเป็นวิญญาณ?”
ฟอลเคิลตอบออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อายุที่มากขึ้นส่งผลต่อความสามารถอย่างชัดเจน ตัวข้าในตอนนี้มาจากสมัยที่ข้าแข็งแกร่งที่สุดในชีวิต”
โรแลนด์ถอนหายใจออกมา เขาก็รู้สึกเช่นกันว่าทั้งเขาและเบทต้าอาศัยอยู่ในเมืองนี้มานานเกินไปและเริ่มส่งผลบางอย่างกับเมืองแล้ว เขามองไปยังทะเลสาบเขาเห็นเบทต้ากำลังเล่นดาบกับเด็กๆอยู่ “คุณตระหนักถึงความผิดปกตินี้ได้ตอนไหนกัน?”
“ครึ่งนาทีก่อนที่ข้าจะตาย ข้าคิดหลากหลายสิ่ง” ฟอลเคิลส่ายหน้าออกมา “ในความเป็นจริง เมืองนี้ทั้งเล็กและมีประชากรน้อย เจ้าสามารถส่งผลกระทบกับพวกเขาได้ง่าย ทว่าเมืองใหญ่นั้นแตกต่าง มีกว่าล้านคนอาศัยอยู่ที่เดลพอล ถ้าเจ้าไปยังที่นั้นเจ้าจะเป็นเพียงแค่ขวดหมึกที่ถูกโยนลงมหาสมุทรจะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง”
“อ่าหะ ผมเข้าใจ” เมื่อรู้ว่าฟอลเคิลยังไม่ตายจริงๆเขาจริงหยอกล้อเขาเล็กน้อย “ผมจะจากไปหลังจากวางดอกไม้ไว้หน้าหลุมศพของคุณ”
ฟอลเคิลงงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “มันคงจะแปลกถ้าเจ้าทำอย่างนั้น… มีกิลด์นักเวทย์อยู่ที่เดลพอลเจ้าสามารถเข้าร่วมกับพวกเขาได้ เพื่อที่จะได้เรียนรู้พื้นฐานต่างๆ ทว่าเจ้าต้องระวังตัวไว้ให้ดีนักเวทย์นั้นต่างเชื่อกันว่าผู้ที่อยู่รอดคือผู้ที่เหมาะสม เจ้าจะต้องระวังตัว ไม่เช่นนั้นนักเวทย์คนอื่นจะฆ่าเจ้าทิ้ง นอกจากนั้นพวกนักเวทย์นั้นดูฉลาดไปซะหมดสำหรับข้า”
“กิลด์ของนักเวทย์ เข้าใจแล้ว!” โรแลนด์คิดกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ผมจะอยู่กับคุณจนกว่าคุณจะไปสรวงสวรรค์”
“ไม่จำเป็นหรอก เพราะท่านทูตสวรรค์ได้มาถึงแล้ว” ฟอลเคิลชี้ไปยังท้องฟ้า
วงแหวนสีทองปรากฏขึ้นบนทองฟ้าในสักที่หนึ่ง จากนั้นมันก็ขยายขึ้นเรื่อยๆและกลายเป็นกระจกสีทองขนาดมหึมาครอบคลุมครึ่งหนึ่งของท้องฟ้า
พืชสีเขียว , ทะเลสาบ และจุดเล็กๆที่น่าจะแทนมนุษย์สามารถมองเห็นได้อย่างเลือนรางจากในกระจก
มันเป็น…ทางเข้าสู่สรวงสวรรค์รึเปล่า? โดยไม่รู้ตัวโรแลนด์ก็เริ่มบันทึกเหตุการณ์ไว้
สำหรับโรแลนด์นี่เปฌนปรากฎการณ์ที่น่าสนใจ ทว่ากลับฟอลเคิลนั้นนี่คือความฝันทั่วทั้งชีวิตของเขา
“สวรรค์!” ฟอลเคิลมองไปยังฟากฟ้าก่อนอ้าแขนอย่างเร่งรีบราวกับเขาพยายามจะโอบกอดบางสิ่ง
เสาแสงสีเขียวปกคลุมไปยังเขา
พลังแปลกๆของเสาแห่งแสงทำให้โรแลนด์รู้สึกอึดอัด เขาเผลอถอยหลังออกมา
เสียงดนตรีแปลกใหม่ดังก้องไปบนฟากฟ้า ขนนุกสีดสดใสนับไม่ถ้วนร่วงลงมาปกคลุมทั่วทั้งเมือง นางฟ้าที่สูงราวๆ 1.75 เมตร ค่อยๆลอยลงมาจากบนฟ้าและลงมาอยู่ต่อหน้าฟอลเคิล
ฟอลเคิลคุกเข่าลงข้างหนึ่งก่อนพูดออกมาด้วยความเคารพว่า “ท่านนางฟ้าผู้แสนงดงามและน่าเกรงขราม ข้าขอต้อนรับการมาถึงของท่าน”
นางฟ้าผู้นี้นั้นไร้ซึ่งที่ติใดๆบนใบหน้าและร่างกาย เธอพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ฟอลเคิลด้วยการอุทิศตนและการมีส่วนร่วมของเจ้า เข้าได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในสรวงสวรรค์ในฐานะวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจะมีชีวิตอมตะและไร้ซึ่งโรคภัยและความเจ็บปวด”
“เป็นเกรียติแก่ข้ามาก!” ฟอลเคิลสั่นเทิ้มไปด้วยความยินดี
นางฟ้าพยักหน้าออกมาด้วยความพึงพอใจ จากนั้นนัยน์ตาสีฟ้าของเธอก็จ้องมองไปยังโรแลนด์ “นักเวทย์มนุษย์? เจ้ามีวิญญาณที่พิเศษ”
โรแลนด์ขมวดคิ้วและก้าวถอยหลังออกมา นางฟ้านั้นดูเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดที่เขาเคยพบแต่เธอก็อันตรายมากเช่นเดียวกัน
“พิเศษยังไง?” โรแลนด์ถามกลับและเดินกลับไปด้านหน้า
เธอสังเกตเห็นความระแวงมาจากดวงตาของโรแลนด์ เธอหัวเราะเล็กน้อยและย้ายสายตาของเธอมาที่ฟอลเคิล
“ไปกันเถอะฟอลเคิล เจ้าไม่เกี่ยวข้องกับโลกทางนี้อีกแล้ว” เสียงของนางฟ้าดูเมตตาเป็นอย่างมาก
“ครับ!” ฟอลเคิลยืนขึ้น
นางฟ้าสะบัดปีกของเธอและค่อยๆบินขึ้นไป ฟอลเคิลลอยขึ้นฟ้าไปพร้อมกับเสาแห่งแสง เขาโบกมือลาให้กับโรแลนด์ จากนั้นเขาก็เล็กลงไปเรื่อยๆ
ไม่กี่นาทีให้หลัง เขาก็หายเข้าไปในกระจกสีทอง
โรแลนด์โบกมือให้กับท้องฟ้าจากนั้นก็เอามือลง
กระจกนั้นหายไปแล้ว เสียงดนตรีก็เช่นกัน
ท้องฟ้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ชาวบ้านที่กำลังภาวนาต่อฟอลเคิลยังคงอยู่ที่สวนด้านหลัง
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สังเกตเห็นปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติเมื่อครู่
โรแลนด์รู้สึกหนาวเมื่อลมพัดผ่านร่างของเขาถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อนอยู่ก็ตาม
เขาตระหนักว่าเกมนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาเคยจินตนาการไว้มาก
นี่เทพ…มีอยู่จริงๆเหรอ?”