มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 1 ลูกเขยไร้ประโยชน์
“คุณชายสาม ตระกูลมู่ตกอยู่ในความยากลำบาก ท่านช่วยกลับไปเถิดนะครับ…”
“ใช่ครับ คุณชายมู่ ทั้งครอบครัว มีเพียงท่านคนเดียวที่มีสายเลือดของตระกูลและสามารถช่วยเหลือตระกูลมู่ได้ ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่าขอแค่ท่านกลับไป ตำแหน่งผู้นำตระกูลก็จะเป็นของท่านครับ”
รถโรลส์-รอยซ์สีดำสนิทจอดนิ่งอยู่ตรงหน้ามู่เซิ่ง มีชายชราหลายคนยืนอยู่หน้าประตูรถด้วยสีหน้าอ้อนวอน
ในทางกลับกัน มู่เซิ่งซึ่งกำลังสวมรองเท้าแตะ ถือผักสองถุงใหญ่ในมือ มองดูฉากข้างหน้าอย่างไร้ความรู้สึก
“กลับไป? อยากให้ฉันกลับเอาป่านนี้เนี่ยนะ?”
มู่เซิ่งสูดหายใจอย่างเย็นชา
ภาพที่โดนเคยไล่ออกจากตระกูลเป็นสิ่งที่เขาไม่มีวันลืมได้ แต่เมื่อตระกูลมู่ตกอยู่ในความทุกข์ยากกลับมาขอร้องให้เขาช่วยเหลือ?
จะไสหัวไปไหนก็ไป!
“มู่เซิ่ง ทำไมชักช้าร่ำไรมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะ แค่ไปซื้อผักทำไมถึงเพิ่งกลับมาป่านนี้?”
ทันทีที่มู่เซิ่งกลับถึงบ้าน เขาก็เห็นจ้าวหลิน แม่ยายของเขานั่งกินเมล็ดแตงโมอยู่บนโซฟา ด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“แม่ ผมขอโทษ แค่เจอเรื่องบ่งอย่างระหว่างทางน่ะ”
“ไร้สาระ!แมงดาอย่างแกจะไปมีเรื่องกับใครได้?ก็แค่อยากจะแอบอู้งานใช่ไหมล่ะ? ดูซิ นี่มันกี่โมงแล้ว แกอยากจะให้พวกเราหิวตายใช่ไหม? ไม่แปลกเลยที่คนเขาพูดกันว่าแกน่ะมันไร้ประโยชน์ เรื่องแค่นี้ก็ยังทำไม่ได้!” จ้าวหลินโยนเมล็ดแตงโมลงบนพื้น พลางยกนิ้วชี้ไปยังมู่เซิ่ง
“รีบไปหุงข้าว กวาดพื้นซะ!” เธอสั่ง
“ครับๆ”
มู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไร เขาก้มหน้าลง หยิบถุงแล้วเดินกลับไปที่ห้องครัว
ตระกูลเจียงเป็นตระกูลอันดับสองทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซี มู่เซิ่งถูกพาตัวกลับมาที่ตระกูลเจียงในช่วงอาการโคม่าเมื่อสามปีที่แล้ว เจียงเจิ้งจื๋อเป็นผู้จัดงานแต่งงานด้วยตนเองอย่างยิ่งใหญ่ในเมืองเจียงหนาน เหตุเกิดจากสาวงามอันดับหนึ่งในเมืองเจียงหนานอย่างเจียงหว่าน ไปแต่งงานกับลูกเขยไร้ประโยชน์แบบนั้นนั่นเอง
ตำนานดอกฟ้ากับหมาวัดในครั้งนี้ กลายเป็นเรื่องตลอดขบขันที่เล่าสู่กันฟังในเมืองเจียงหนาน
มีเพียงเจียงเจิ้งจื๋อเท่านั้นที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของมู่เซิ่ง
เขาเป็นองค์กรระดับแนวหน้าในประเทศตงหัว และเกือบเสียชีวิตเพราะถูกหักหลัง
เจียงเจิ้งจื๋อรู้ว่าสถานะของตนเองในตระกูลเจียงไม่สูงนัก ดังนั้นเขาจึงขอร้องมู่เซิ่งให้แต่งงานกับลูกสาวของเขา และหวังว่าจะแอบปกป้องตระกูลมู่มาตลอดสามปี
บุญคุณต้องตอบแทน ดังนั้นมู่เซิ่งจึงตอบรับ
แต่หลังจากที่พวกเขาแต่งงานกัน ถูกเรียกว่าสามีภรรยา แต่มู่เซิ่งกับเจียงหว่านกลับดูไม่เหมือนสามีภรรยากันแม้แต่น้อย แม้แต่จับมือกันยังนับครั้งได้ หลังจากที่เจียงเจิ้งจื๋อเสียชีวิต จ้าวหลินผู้เป็นแม่ยายเอาแต่จ้องจับผิดและเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาตลอดเวลา
มู่เซิ่งเคยชินกับสิ่งนี้แล้ว และแม้ว่าเขาจะไม่มีความสุข แต่ก็ยอมโดยแม่ยายดุด่าอย่างเงียบๆ
ทางด้านเจียงหว่านเพิ่งกลับมาถึงบ้าน เธอมองมู่เซิ่งอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องคนเดียว หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอก็นั่งข้างนอกหน้าต่างโดยสวมผ้าเช็ดตัวผืนเดียว
แสงเหนือศีรษะขับให้ผิวของเธอเรียบเนียน หยดน้ำบนไหล่ไหลลงมาอย่างช้าๆ ใบหน้าของเธอฉายแววโศกเศร้า
“เฮ้อ ตัวคนเดียวมันเหนื่อยจริงๆ” เจียงหว่านมองตัวเองในกระจกและถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“บริษัทมู่หรานกับซูซื่อ กรุ๊ปเป็นตระกูลไฮโซอันดับต้นๆ ที่ไม่ควรไปข้องแวะด้วย แต่ตอนนี้ แม้แต่บริษัทหลงกุ้ยก็ยังกลั่นแกล้งฉัน ฉัน…”
น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของเจียงหว่าน เธอไม่สามารถพูดต่อได้
เธอนึกถึงมู่เซิ่งที่กำลังล้างผักอยู่ในครัว
สามีของคนอื่นล้วนแต่มีตำแหน่งใหญ่โตในบริษัท ถึงแม้จะไม่เก่งกาจมากมาย แต่ก็มีตำแหน่งสูงกันทั้งนั้น แต่สามีของเธอกลับเป็นคนไร้ประโยชน์ เป็นเพียงผู้ชอบที่ทำกับข้าวอยู่ที่บ้าน
“กินข้าวเถอะ”
เสียงคุ้นเคยดังขึ้น เมื่อเจียงหว่านหันกลับไป เธอก็เจอเข้ากับมู่เซิ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู “นายเข้ามาได้ยังไง?ทำไมไม่เคาะประตู?” เจียงหว่านเช็ดน้ำตาของเธอทันที เธอยืนขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชา แขนขาวชี้ไปที่ประตู “ออกไปเลยนะ!”
“แม่ให้ผมเรียกคุณลงไปทานอาหาร” มู่เซิ่งก้าวไปข้างหน้า มองดูน้ำตาในดวงตาของเจียงหว่าน เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “มีปัญหาอะไรเหรอ? ต้องการให้ผมช่วยหรือเปล่า?”
“ช่วย? นายจะช่วยยังไง?”
เจียงหว่านยิ้มเบา ๆ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความอ้างว้าง
“ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของฉันมารับนายมาเมื่อสามปีก่อน นายก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้คุยกับฉันหรอก”
“ฉันจะพูดอีกครั้ง ออกไปจากห้องซะ!”
เป็นเวลาสามปีแล้ว… สัญญาการแต่งงานสามปีของเจียงเจิ้งจื๋อได้ทรมานเจียงหว่านมาเป็นเวลาสามปีเต็ม
“มู่เซิ่ง ฉันให้แกเรียกเจียงหว่านลงมากินข้าว ทำไมเธอยังไม่ลงมาอีก” เสียงของจ้าวหลินดังขึ้น แม่ยายเดินขึ้นบันไดและโกรธทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า “ลูกสาวของฉันร้องไห้ทำไม?แกรังแกเธองั้นเหรอ?ไอ้คนไร้ประโยชน์ แกมันขี้ขลาด!”
“ผมเปล่านะครับ…” มู่เซิ่งพูด
“หุบปาก!แกกินนอนบ้านเรา แล้วยังมาแว้งกัดเราแบบนี้อีกเหรอ!”
มู่เซิ่งกลับบ้านช้า ทำให้แม่ยายของเขาหิวมาก แล้วเจียงหว่านยังร้องไห้แบบนี้อีก ทำให้เธอสามารถระบายความโกรธได้อย่างเต็มที่
“ดูลูกเขยบ้านอื่นสิ เขาซื้อรถยนต์หรู วิลล่าใหญ่โต บางคนเป็นถึงเจ้านายบริษัท แต่ฉันกลับยังต้องอยู่กับแกในสลัมแบบนี้ แถมแกยังต้องคอยรับเงินเดือนจากเจียงหว่านอีก!”
“ไหนบอกมาซิว่าแกมีประโยชน์อะไร!”
เพล้ง!
จ้าวหลินด่าทอด้วยความโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ และทันใดนั้นก็โยนถ้วยชาไปทางมู่เซิ่ง เขาหันไปมองถ้วยชาที่แตกกระจายเต็มพื้น
“หลบทำไม! เก็บมันซะ!” จ้าวหลินชี้นิ้วออกคำสั่ง
มู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไร เขานั่งลงและเก็บเศษแก้วไว้ในฝ่ามือทีละเล็กทีละน้อย
ทันใดนั้น เขาก็กำหมัดแน่น เลือดสีแดงสดไหลผ่านง่ามมือของเขาช้าๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเหลือบมองดวงตาสีแดงก่ำของเจียงหว่านด้วยความรู้สึกเศร้าใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
จ้าวหลินพูดถูก
เขาทำให้ตระกูลเจียงขายหน้าด้วยการแต่งงานกับเจียงหว่าน
ไม่งั้นเธอคงไม่ซ่อนตัวอยู่ในห้องและร้องไห้อย่างลับๆแบบนี้
เขารู้สึกผิดต่อเจียงหว่านเป็นอย่างมาก
“เปล่าประโยชน์ ต่อให้แกโดนด่ายังไงก็ยังโง่เง่าเหมือนเดิม อีกสองเดือนก็จะหมดสัญญาที่คนตายวางเอาไว้แล้ว ถึงเวลานั้นแกต้องหย่า ไม่งั้นตระกูลเจียงของเราจะต้องลำบากไปตลอดชีวิต!”
“ที่แท้… เหลือเวลาอีกแค่สองเดือนเองสินะ” มู่เซิ่งตกใจและพึมพำอย่างช่วยไม่ได้
ก่อนที่เจียงเจิ้งจื๋อจะเสียชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้ครอบครัวของเขาบีบให้มู่เซิ่งหย่าร้าง เขาได้ทำพินัยกรรม เงินฝากทั้งหมดของเขาในธนาคารสามารถรับได้หลังจากมู่เซิ่งกับเจียงหว่านแต่งงานกัน 3 ปีเท่านั้น ตอนนี้เหลือเวลาแค่สองเดือน
“พึมพำอะไรของแก!”
“แม่ พอเถอะ มู่เซิ่งไม่ได้ทำอะไรหนูหรอก”
บางทีจ้าวหลินก็พูดรุนแรงจนเกินไป เจียงหว่านอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น
“ไม่ว่าเขาจะทำหรือไม่ทำ คนไร้ประโยชน์แบบนี้ต้องออกไปจากบ้านของเรา!”
มู่เซิ่งเดินกลับไปที่ห้องและยังได้ยินเสียงด่าของจ้าวหลินด้านนอก เขานั่งลงบนเตียง พลางโยนเศษกระจกสีเลือดลงในถังขยะแล้วถอนหายใจ
“ผมอยู่ที่ตระกูลเจียง 3 ปี และปกป้องตระกูลเจียงมาโดยตลอด ลุงเจียง… ผมเป็นหนี้ชีวิตคุณ ผมจ่ายคืนหมดแล้วครับ…”
เขาเคยเป็นทหารของพระชา
กลุ่มเทพมังกร
เขาอดทนสำหรับคำขอของเจียงเจิ้งจื๋อ ทำหน้าที่เป็นลูกเขยที่ดีมาตลอด 3 ปี
“มันมากพอแล้ว!”
ดวงตาของมู่เซิ่งเปิดขึ้น ความโกรธในอกถูกระงับอย่างช้าๆ
แน่นอนว่าพวกเธอไม่ได้เรียกมู่เซิ่งกินมื้อเย็นด้วยกัน หลังจากที่จ้าวหลินกินเสร็จ เธอโยนอาหารทั้งหมดลงในถังขยะเพื่อป้องกันไม่ให้มู่เซิ่งออกมาแอบกินตอนหิว
คนไร้ประโยชน์แบบนั้นปล่อยให้อดตายไปซะ
ครืน…
เสียงสตาร์ทรถดังขึ้น และรถปอร์เช่แล่นออกไปในความมืด
มู่เซิ่งยืนอยู่ที่หน้าต่าง เขาสามารถมองเห็นใบหน้าที่แน่วแน่ของเจียงหว่านได้อย่างชัดเจน เขากัดฟันเล็กน้อยราวกับว่าเธอกำลังรีบไปยังสนามรบ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ดวงตาของมู่เซิ่งส่องประกายด้วยความสงสัย
เขาจำได้ว่าเจียงหว่านกำลังแอบร้องไห้ในห้องก่อนอาหารเย็น และยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติมากเท่านั้น อีกสองเดือนเขาก็สามารถไปจากตระกูลเจียงได้แล้ว เขาไม่อยากให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นก่อนถึงเวลานั้น
“ฮัลโหล ฉันมู่เซิ่งนะ พวกนายอยากให้ฉันกลับไปใช่ไหม…”
มู่เซิ่งกดโทรออก “ฉันอยากรู้พิกัดของเจียงหว่านภายในสามนาที”