มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 8 เข้าควบคุมบริษัท
ห้องทำงานที่หรูหราที่สุดในบริษัทมู่หราน
ชายชราคนหนึ่งในชุดสูทสีดำนั่งอยู่ตรงข้ามกับมู่เซิ่ง ท่าทางของเขาแสดงถึงอารมณ์ของบุคคลระดับสูง
“คุณชายมู่ ในที่สุดคุณก็ยินดีที่จะพบกับผม” ชายชราพูดอย่างตื่นเต้น เขามีชื่อว่าท่านสวี เป็นคนเรียกมู่เซิ่งเมื่อสองสามวันก่อน เขาเป็นหนึ่งในพ่อบ้านตระกูลมู่
นอกจากนี้ เขายังเป็นบุคคลหลักที่ดูแลตระกูลมู่ในเขตเจียงหนาน
การอยู่ในห้องทำงานงานไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งที่หรูหราโดย หรือชื่อเรียกของชายชรา ล้วนแต่ทำให้มู่เซิ่งรู้สึกอึดอัด เขาพูดอย่างตรงประเด็น “ที่ฉันเรียกนายมาเพราะว่ามีเรื่องอยากให้ช่วยน่ะ”
“คุณชายมู่ ขอแค่คุณบอกมา ตระกูลมู่เราสามารถทำได้ทุกอย่างครับ!” ท่านสวีเห็นด้วยโดยไม่ลังเล
มู่เซิ่งพยักหน้าโดยไม่แปลกใจและพูดต่อ “ฉันต้องการเงินจำนวนหนึ่ง เท่าไรก็ได้ และฉันต้องการให้บริษัทสาขาในเจียงหนานช่วยฉันทำเรื่องบางอย่าง”
“แน่นอน ไม่มีปัญหาครับ! ส่วนเรื่องเงิน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร อีกสอบนาทีสามารถเบิกออกมาได้เลยครับ” ท่านสวีตอบโดยไม่คิด “ส่วนเรื่องบริษัท ท่านนายบอกว่าถือเป็นของขวัญสำหรับการพบหน้า ขอแค่คุณลงนามในสัญญานี้ ไม่ปล่อยให้บริษัท มู่หรานทำธุรกิจต่อให้คุณจะขายบริษัทก็ไม่เป็นไรครับ!”
ท่านสวีกล่าวพลางเปิดลิ้นชัก หยิบสัญญาที่ร่างขึ้นมาแล้วยื่นให้มู่เซิ่ง
นี่คือสิ่งที่ตระกูลหมายถึงสินะ
มู่เซิ่งรีบเซ็นสัญญาอย่างรวดเร็ว
ท่านสวีเก็บสัญญาลงในกระเป๋าราวกับสมบัติ ก่อนจะถอนหายใจยาว
หลังจากนั้นท่านสวีมองดูมู่เซิ่งอย่างระมัดระวังอีกครั้งและถามว่า “คุณชายมู่ ผมเกรงว่าท่านนายอาจจะเหลือเวลาไม่นานแล้ว ผมอยากให้คุณไปพบท่านจริงๆ…”
“พ่อของฉันเหรอ?”
มู่เซิ่งตกใจและตกอยู่ในความเงียบ
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่พ่อของเขายังเป็นทายาทของตระกูล แม่ของเขาให้กำเนิดเขาเมื่ออายุได้ 40 ปี ความกดดันภายในครอบครัวมีมากจนแม้แต่พี่ชายของเขาหลายคนเริ่มฆ่ากันเอง ในตอนนั้น พ่อของเขากลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปกป้องมู่เซิ่งได้ ดังนั้นเขาจึงหาคนมาช่วยพามู่เซิ่งออกไปจากตระกูลมู่
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังถูกค้นพบระหว่างทางที่มู่เซิ่งกำลังแอบหนีไป
แม่เสียชีวิตอย่างอนาถเพื่อปกป้องมู่เซิ่ง ในเวลานั้นมู่เซิ่งสาบานว่าเขาจะตามหาฆาตกรให้ได้!ส่วนเรื่องพ่อ แม้ว่ามู่เซิ่งจะรู้ว่าเขาเองก็มีปัญหาเหมือนกัน แต่เขาก็ยังไม่สามารถปล่อยมือจากการตายของแม่ได้
ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งนั้นติดตามเป็นเงากว่าเวลากว่าสิบปีในค่ายทหาร
“อืม ฉันจะกลับ” มู่เซิ่งพูดเบาๆ โดยไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้
“ครับ…”
หลังจากได้ยินข้อตกลงของมู่เซิ่ง ท่านสวีก็ยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของเขาเป็นสีแดงก่ำด้วยความยินดี เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพูดว่า “ผมจะรับแจ้งท่านนายเลยครับ”
เมื่อเห็นดังนั้น มู่เซิ่งอดไม่ได้ที่จะหันไปมองออกไปนอกหน้าต่าง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผสมปนเปกัน
พ่อที่ไม่ได้เจอกันมานานกว่าสิบปีก็ยังคงเป็นพ่อด้วยความสัมพันธ์ที่เลือดข้นกว่าน้ำ! ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้พ่อของเขาป่วยหนักและอาจอยู่ได้อีกไม่นาน
“ถ้าฉันจัดการธุระเสร็จแล้วจะรีบตามไป”
มู่เซิ่งพูดพลางลุกขึ้นจากไป
คราวนี้เขากลับบ้านเพียงเพื่อไปเยี่ยมพ่อ ส่วนเรื่องเงินและการสนับสนุนจากตระกูลมู่ เขาถือว่าสถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยอันตราย เป็นเรื่องยากที่สิ่งภายนอกจะส่งผลกระทบต่อเขา
“คุณชายมู่ คุณอยากให้บริษัทมู่หรานของเราทำอะไรเหรอครับ คุณยังไม่ได้บอกผมเลย” เมื่อเห็นว่ามู่เซิ่งกำลังจะจากไป ท่านสวีก็นึกบางอย่างออกและถามจากด้านหลัง
“สัญญาระหว่างบริษัทมู่หรานกับตระกูลเจียงเปลี่ยนไป ผู้รับผิดชอบจะถูกเปลี่ยนจากเจียงหว่านภรรยาของฉันเป็นเจียงมู่หลงในอีกไม่กี่วัน เจียงมู่หลงจะมาที่บริษัทเพื่อยื่นสัญญาและแผนใหม่ของพวกเขา”
มู่เซิ่งก้าวออกจากประตูและพูดช้าๆ “คำขอของฉันคือให้เจียงมู่หลงไสหัวกลับไปซะ!”
“ติ๊ง!”
ทันทีที่เขากลับถึงบ้าน โทรศัพท์มือถือของมู่เซิ่งก็ดังขึ้น ตามด้วยข้อความแจ้งเงินในธนาคาร
“บัตรธนาคารของคุณได้รับเงินหนึ่งพันล้านหยวน”
แม้ว่าเขาจะเตรียมใจมาก่อน แต่ก็ยังตกตะลึงกับตัวเลขจำนวนนี้เมื่อเขาเห็นยอดเงินคงเหลือในบัตรนั่น
“ฉันแค่ขอเงิน แล้วนายให้เงินฉันหนึ่งพันล้าน ในสายตาของนาย เงินหนึ่งพันล้านมันเป็นเรื่องเล็กน้อยเหรอเนี่ย?”
มู่เซิ่งมองดูโทรศัพท์และอดยิ้มไม่ได้ ดูเหมือนว่าตระกูลมู่จะแข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาจากไปหลายเท่า
ตอนนี้ถึงกับถูกขนานนามว่าเป็นหัวหน้าของยักษ์ทั้งสี่ในเยี่ยนจิงไปแล้ว
แค่เงินเล็กน้อยเพียงหยิบมือ แม้แต่ตระกูลเจียงทั้งหมดก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้
ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากที่สัญญาของบริษัทมู่หรานถูกยกเลิก จ้าวหลินคอยจ้องจับผิดทุกครั้งที่เขากลับบ้าน
และสถานการณ์ของเจียงหว่านในบริษัทก็อันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ เธอพบว่าเจียงมู่หลงอยู่ในบริษัท และซื้อผู้บริหารระดับสูงอย่างต่อเนื่องเพื่อขายหุ้น พยายามตัดสิทธิ์ในบริษัทของเธอ!
มู่เซิ่งไม่ได้คิดว่าเขาจะทำแบบนี้หลังจากได้รับสัญญาไปแล้ว เจียงมู่หลงควรจะไปหาบริษัทมู่หรานเพื่อร่วมมือกันโดยเร็วที่สุด แต่ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเริ่มต้นจัดการกับเจียงหว่าน ใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงสัญญานี้บดขยี้เจียงหว่านให้แหลก
มู่เซิ่งที่เข้าควบคุมบริษัทมูหร่านทั้งหมดไม่ได้กังวลใจอะไร
ยิ่งเจียงมู่หลงโลภมากเท่าไร เขาจะยิ่งเจอจุดจบที่น่าสังเวชมากขึ้นเท่านั้น
วันนี้จ้าวหลินกลับบ้านเร็วด้วยสีหน้าที่มีความสุข และพูดกับเจียงหว่านทันทีที่เธอกลับถึงบ้านว่า “ลูกสาว วันนี้มีงานเลี้ยงข้างนอก แม่พาเพื่อนมาเยอะเลย”
“งานเลี้ยง?” เจียงหว่านถามกลับสั้นๆ
“ใช่ ลูกอย่าลืมแต่งตัวสวยๆ นะ คืนนี้มีคนสำคัญจะมา” จ้าวหลินพยักหน้า จากนั้นเธอก็เหลือบมองที่มู่เซิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอหายไปในทันที ก่อนพูดอย่างเย็นชา “ไอ้คนไร้ประโยชน์!แกก็ต้องไปด้วย!”
มู่เซิ่งพยักหน้าและถูพื้นต่อไป
“มู่เซิ่งไปด้วยเหรอคะ?”
เจียงหว่านรู้สึกไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม
แม่ของเธอเกลียดเกลียดมู่เซิ่งอย่างขีดสุด หลังจากเหตุการณ์ที่โรงพยาบาล เธอไม่มีทางปล่อยให้ มู่เซิ่งเข้าร่วมงานใดๆแต่ครั้งนี้…พระอาทิตย์จะขึ้นทางตะวันตกหรือไงนะ?
“ฉันกับลูกจะออกไปก่อน แกถูพื้นเสร็จก็ตามมาละกัน!”
หลังจากแต่งตัวเสร็จ จ้าวหลินก็จับมือเจียงหว่านและเดินออกจากห้องไปอย่างสวยงาม
หลังจากเดินไปที่ประตู เธอกันกลับมามองมู่เซิ่งและพ่นลมอย่างเย็นชา
บ้านอยู่ไกลจากสถานที่จัดงานเล็กน้อย เจียงหว่านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบกระเป๋าของเธอออกมา 100 หยวนแล้ววางลงบนโต๊ะ “มู่เซิ่ง ถ้าสายแล้วก็เรียกแท็กซี่นะ”
“โอ๊ย ลูกจะสิ้นเปลืองเงินไปทำไม? ให้มันเดินไปก็ได้นี่นา” จ้าวหลินหยิบเงินคืน
“แม่ ยังไงเขาก็เป็นสามีของหนูนะ”
“ฉันบอกแล้วไงว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ลูกไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกมันว่าสามี!”
ประตูถูกปิดอย่างแรง มู่เซิ่งยังคงถูพื้นต่อไป แต่มีร่องรอยของความอบอุ่นอยู่ในหัวใจของเขา
แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ช่วยเจียงหว่าน และแม้เจียงหว่านก็ไม่เชื่อว่ามู่เซิ่งสามารถช่วยเธอได้
แต่นับตั้งแต่นั้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองก็ค่อยๆใกล้ชิดกันมากขึ้น