มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 25 ยังไงก็ดีกว่าหัวไชเท้า
หลังจากมู่เซิ่งออกมาจากหอเฉียนเป่าแล้ว เขาก็รีบไปที่วิลล่าของตระกูลเจียงทันที
วันนี้เป็นวันที่ท่านสามออกจากโรงพยาบาล และเป็นวันเกิดครบรอบอายุเจ็ดสิบปีของเขาด้วย ถึงแม้ว่าตระกูลเจียงจะเป็นตระกูลชั้นสอง แต่วันสำคัญเช่นนี้ ก็เชิญคนมามากมายเช่นกัน
มีรถหรูต่าง ๆ จอดอยู่ตรงทางเข้าวิลล่ามากมาย คนสัญจรไปมา และคึกคักเป็นพิเศษ
เจียงหว่านและจ้าวหลินยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าที่รถสัญจรไปมา จ้าวหลินมองนาฬิกาบนข้อมือ และแสดงสีหน้าหงุดหงิด
ขณะนี้ มู่เซิ่งปั่นจักรยานมาอย่างช้า ๆ และจอดรถจักรยานไว้ด้านข้าง แล้ววิ่งมาอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษด้วย รถติดมาก”
ตระกูลเจียงจัดงานเลี้ยงวันเกิดคราวนี้ มีคนมาร่วมงานมากจริง ๆ การจราจรหนาแน่นจากระยะทางไกล และระยะทางจากหอเฉียนเป่ามาตระกูลเจียงก็ไกลมาก ดังนั้นมู่เซิ่งจึงใช้เวลาเดินทางนาน
และตระกูลเจียงเป็นตระกูลใหญ่ ยานพาหนะที่ใช้ล้วนเป็นรถหรู นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นสมาชิกของตระกูลเจียงปั่นจักรยานมา ทำให้หลายคนที่เห็นภาพนี้ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ดูเหมือนว่าบุคคลนี้จะเป็นลูกเขยไม่เอาถ่านของตระกูลเจียง ที่ชื่อมู่เซิ่งใช่ไหม?”
“ใช่! ผมเคยเห็นเขาที่โรงพยาบาล ตอนนั้นเขาคิดจะแย่งความดีความชอบของหมอเทวดาหลี่ แต่สุดท้ายกลับอับอายขายหน้าเสียเอง!”
“ฮ่า ๆ ผมได้ยินว่าวันนี้อาจารย์ของหมอเทวดาหลิวก็มาร่วมงานเลี้ยงด้วย เมื่อถึงเวลานั้นจะคอยดูว่าเขาขายหน้าอย่างไร”
ลูกหลานของตระกูลเจียงเหล่านี้ นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำ คนไม่เอาถ่านคนนี้ไม่เพียงอับอายขายหน้าเท่านั้น แต่เขายังทำให้เจียงหว่านสูญเสียโครงการไป และเรื่องนี้ลือไปทั่วตระกูลเจียง จนรู้กันเกือบหมดแล้ว
“ดูสิ คนไม่เอาถ่านยืนอยู่ข้างเจียงหว่าน แต่เขาไม่กล้าแม้แต่จะจับมือเธอ พวกเขาแต่งงานกันสามปีแล้ว เดาว่าเขาคงยังไม่เคยแตะต้องตัวเธอด้วยซ้ำ ฮ่า ๆ ๆ!” ลูกหลานของตระกูลเจียงและแขกคนอื่น ๆ เดินเข้ามาพร้อมกับพูดคุยหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยจากคนที่อยู่รอบ ๆ สีหน้าของจ้าวหลินยิ่งน่าเกลียดขึ้นไปอีก “ทำไมคุณมาช้าขนาดนี้ วันนี้เป็นวันสำคัญ คุณยังปั่นจักรยานสับปะรังเคมาอีก ทำไมคุณถึงได้หน้าด้านขนาดนี้?”
“เอาของขวัญล่ะออกมาสิ!” จ้าวหลินถามด้วยความเย็นชา
“นี่ครับ” มู่เซิ่งหัวเราะ แล้วหยิบกล่องออกมาจากกระเป๋า
ซึ่งเป็นกล่องที่ธรรมดามาก
“คุณไม่ได้ซื้อของสับปะรังเคมาใช่ไหม” จ้าวหลินเหลือบมองกล่องด้วยความโมโห “หลังจากคุณเข้าไปแล้ว อย่ามาอยู่ใกล้ฉัน เพราะฉันไม่อยากอับอายขายหน้า และหลังจากหลี่น่องกับหลิวเจี้ยนหัวมาถึงแล้ว คุณก็ไปขอโทษพวกเขาสองคนด้วย ได้ยินไหม?”
“ผมไม่ขอโทษ”
มู่เซิ่งส่ายศีรษะเบา ๆ ราวกับว่าเขาไม่สนใจการข่มขู่ของหลี่น่องแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นท่าทีของมู่เซิ่งแล้ว จ้าวหลินกระทืบเท้าด้วยความโกรธ ไม่ขอโทษ? คนไม่เอาถ่านคนนี้หน้าด้านจริง ๆ! ขณะที่เธอกำลังจะด่า ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ขอเชิญลูกหลานของตระกูลเจียง มาอวยพรวันเกิดให้ท่านสาม!”
หลังจากกล่าวจบ ฝูงชนก็เดินเข้าไปในห้องโถงราวกับกระแสน้ำ
จ้าวหลินเหลือบมองมู่เซิ่งด้วยความเย็นชา แต่ไม่ได้ด่าเขาอีก
ขณะนี้ เจียงหว่านเดินไปอยู่ข้างมู่เซิ่งอย่างเงียบ ๆ แล้วยื่นกล่องเล็ก ๆ ให้เขา “มู่เซิ่ง ฉันรู้ว่าเงินสามร้อยไม่สามารถซื้อของขวัญอะไรได้ ฉันเตรียมสิ่งนี้ไว้ให้คุณโดยเฉพาะ”
กล่องบรรจุสวยงามมาก สามารถเดาได้ว่าราคาของขวัญที่อยู่ข้างในต้องมีมูลค่าสูงอย่างแน่นอน
“ไม่จำเป็น” มู่เซิ่งปฏิเสธทันที “ผมมีของขวัญจริง ๆ และเป็นของขวัญที่มีมูลค่า ไม่อับอายขายหน้าอย่างแน่นอน”
“จริงเหรอ?”
เจียงหว่านมองหน้ามู่เซิ่งด้วยความสงสัย
“ผมจะโกหกคุณทำไม?” มู่เซิ่งเขย่ากล่องที่อยู่ในมืออีกครั้ง ของขวัญที่กู่มู่สวีนมอบให้ เมื่อเทียบกับของขวัญที่คนอื่นนำมาวันนี้แล้ว ต้องดีกว่าอย่างแน่นอน
“ถึงแม้คุณจะเตรียมของขวัญมา แต่คุณก็รับของขวัญนี้ไว้ก่อน หรือของขวัญของคุณจะดีกว่าของฉัน?” เจียงหว่านยัดของขวัญใส่มือมู่เซิ่ง
“โอเค ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ถ้าคุณอยากขอบคุณฉันจริง ๆ ต่อไปก็ตั้งใจทำมาหากินหน่อย”
เจียงหว่านเบ้ปาก และไม่พูดอะไรอีก
ขณะนี้ คนนั่งเต็มห้องโถงแล้ว
ลูกหลานของตระกูลเจียงอยู่กันครบ แล้วยังมีคนนอกอีกมากมาย
ท่านสามสวมเสื้อสีแดง ใบหน้าผ่องใส เห็นได้ชัดว่าการฝังเข็มของมู่เซิ่งทำให้ร่างกายของเขาดีขึ้น
งานเลี้ยงวันเกิดยังไม่ได้เริ่มต้น ลูกหลานของตระกูลเจียงหลายคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง กำลังสนทนาเรื่องสัพเพเหระ แต่เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับบริษัทไหนได้กำไรเท่าไหร่ หรือครอบครัวใครเพิ่งซื้อรถหรู
พวกเขาต่างสนทนากัน และไม่สนใจมู่เซิ่งแม้แต่น้อย
มู่เซิ่งไม่สนใจพวกเขาเช่นกัน เพราะเขาไม่สนใจหัวข้อสนทนาประเภทนี้
แต่เห็นได้ชัดว่าเจียงมู่หลงไม่ยอมปล่อยมู่เซิ่ง
“คนไม่เอาถ่าน วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบอายุเจ็ดสิบปีของคุณปู่ คุณเอาของขวัญอะไรมามอบให้คุณปู่?”
“อย่าเป็นเหมือนคราวที่แล้วล่ะ ที่ใช้เงินของครอบครัวไปซื้อของขวัญ”
“หรือว่ามามือเปล่า?”
เจียงมู่หลงกล่าวด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง มองมู่เซิ่งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ
เขาไม่มีวันลืมภาพที่ตนเองถูกทำร้ายที่ประตูบ้านของเจียงหว่าน ถ้าวันนี้มีโอกาส เจียงมู่หลงจะต้องแก้แค้นแน่นอน เพื่อระบายความโกรธแค้นของเขา
มู่เซิ่งตอบอย่างสงบ “ผมนำของขวัญมาด้วย”
“ฮ่า ๆ ๆ คุณนำของขวัญมาด้วย?”
เจียงมู่หลงหัวเราะเสียงดัง “เอาออกมาดูสิ ให้ผมดูว่าคุณซื้ออะไรเป็นของขวัญ!”
“ถูกต้อง ฮ่า ๆ ๆ รีบเอาออกมา” ทุกคนมองมู่เซิ่ง เพราะการทำให้คนไม่เอาถ่านคนนี้อับอายขายหน้า มันทำให้พวกเขารู้สึกสนุกมาก
“ไม่จำเป็นต้องดูหรอก”
มู่เซิ่งโบกมือ
เขารู้ธาตุแท้ของลูกหลานตระกูลเจียงพวกนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะเอาของขวัญอะไรออกมา ก็จะถูกทุกคนเยาะเย้ย ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ มู่เซิ่งจึงไม่อยากจะถกเถียงกับพวกเขา
“อย่าทำแบบนั้นสิ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนไม่เอาถ่านอย่างคุณจะเตรียมของขวัญมา!”
เจียงมู่หลงกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ เดินลงมาจากเวที หยิบของขวัญของมู่เซิ่ง แล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะ และเปิดต่อหน้าทุกคน!
ตุ๊บ!
วัตถุสี่เหลี่ยมตกลงมาจากกล่อง
“ของขวัญ เป็นหินสับปะรังเค?”
ทุกคนต่างจ้องมองของขวัญของมู่เซิ่ง
เป็นหยกชิ้นหนึ่ง โปร่งแสงและดูเหมือนจะเป็นของโบราณ
ตรงด้านใต้ของหยก สลักเป็นสัญลักษณ์แปลก ๆ มากมาย ตัวอักษรทรงพลัง และสามารถเห็นอักษรเลือนลานหนึ่งแถว
“รับโองการสวรรค์ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน?”
คนที่เป็นนักสะสมวัตถุโบราณ แค่มองแวบเดียวก็สามารถมองออก เป็นหยกเหลี่ยมจัตุรัส? ตราราชลัญจกร นี่คือตราราชลัญจกรของจักรพรรดิเฉียนหลง?
“คุณมอบของขวัญเป็นตราราชลัญจกรเหรอ? ฮ่า ๆ ๆ!”
เมื่อมองของสิ่งนี้ เจียงมู่หลงไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว และหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่า ๆ ๆ ช่างน่าขำมาก ของขวัญที่คุณนำมาเป็นตราราชลัญจกรเหรอ? คุณซื้อมาด้วยราคากี่หยวนล่ะ?”
“ของเลียนแบบชิ้นนี้ปลอมมาก? ผมมองแวบเดียวก็รู้ว่าซื้อมาจากแผงลอยข้างถนน”
“ถูกต้อง เพราะของแบบนี้ ไม่มีแม้แต่ในพิพิธภัณฑ์ของเมืองเจียงหนานด้วยซ้ำ แต่คุณกลับสามารถหามาได้ คุณคิดว่าคุณเป็นใคร!”
เสียงหัวเราะของพวกเขาดังไปทั่วห้องโถง จนทำให้แขกอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเช่นกัน แม้แต่บนหน้าของท่านสามก็มีรอยยิ้ม คนไม่เอาถ่านคนนี้มันช่างน่าขำจริง ๆ
เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าของจ้าวหลินเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม และหันไปมองเขาด้วยสีหน้าดุดัน
เธอบ่นพึมพำว่า คนไร้ประโยชน์!
มู่เซิ่งไม่ได้ตอบ แต่มองตราราชลัญจกรอย่างเงียบ ๆ และหัวใจเต้นแรง
ด้วยสายตาของเขาแล้ว แค่มองแวบเดียวเขาก็สามารถมองออกว่าตราราชลัญจกรชิ้นนี้เป็นของจริงหรือไม่ แต่เขานึกไม่ถึงว่าชายชราคนนี้จะมอบของขวัญที่ล้ำค่าเช่นนี้ให้เขา
ถึงแม้ว่าจักรพรรดิเฉียนหลงจะมีตราราชลัญจกรยี่สิบห้าชิ้น แต่ส่วนใหญ่หายสาบสูญไปนานแล้ว และทุกชิ้นที่หลงเหลืออยู่นั้นประเมินค่าไม่ได้!
เมื่อเห็นมู่เซิ่งนิ่งเงียบ ทุกคนคิดว่าเขาถูกเจียงมู่หลงตอกกลับจนพูดอะไรไม่ออก ทำให้พวกเขาหัวเราะอีกครั้ง
“คนไม่เอาถ่าน ผมจะให้คุณได้เห็นของขวัญที่ผมเตรียมมา”
เจียงมู่หลงปรบมือสองครั้ง จากนั้นเลขาสาวคนหนึ่งก็เดินออกมาจากฝูงชน ถือกล่องผ้าไหมสีทองประณีต เขารับกล่องจากเลขาสาว ยืนขึ้นและเปิดต่อหน้าทุกคน
ขณะนี้ ทุกคนต่างอุทานออกมาพร้อมกัน
โสมพันปี!
โสมเป็นยาบำรุงกำลังชั้นดี และโสมอายุพันปีเป็นโสมชั้นเยี่ยม แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นของหายากที่ล้ำค่ามาก เมื่อก่อนเคยมีการประมูลโสมพันปีในเมืองเจียงหนานครั้งหนึ่ง ตอนนั้นประมูลขายด้วยราคาสูงหลายสิบล้าน
ตอนนี้เมื่อได้เห็นโสม และเมื่อเทียบกับราคาประมูลของตอนนั้นแล้ว มูลค่าต้องสูงกว่าแน่นอน!
“โสมนี้ล้ำค่ามาก ผมใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะหามาได้”
เห็นได้ชัดว่าเจียงมู่หลงต้องการเหยียบย่ำมู่เซิ่ง โดยแสดงความรู้สึกเหนือกว่า แต่เขาไม่อยากโจ่งแจ้งเกินไป ดังนั้นเขาจึงเปรียบเทียบกับของขวัญของมู่เซิ่งต่อ
“คนไม่เอาถ่าน จำเอาไว้ ต่อไปถ้าไม่มีเงินซื้อของขวัญก็พูดตามตรง”
“พวกเราไม่ได้รังเกียจคนจน แต่สิ่งที่พวกเราเกลียดที่สุดก็คือคนจนอย่างคุณ ที่ซื้อของปลอมเพื่อเสแสร้งว่าตนเองเป็นคนมีฐานะ!”
ญาติของตระกูลเจียงต่างเห็นพ้องต้องกัน เรื่องที่มู่เซิ่งไม่มีเงินนั้นช่างเถอะ แต่เขากลับซื้อตราราชลัญจกรปลอมมาเป็นของขวัญ การกระทำเช่นนี้ของมู่เซิ่ง มันทำให้คนอื่นรู้สึกดูถูกเหยียดหยามเขา
เมื่อเปรียบเทียบกับของขวัญของเจียงมู่หลงแล้ว แตกต่างราวฟ้ากับดิน
“พี่มู่หลง ฉันยอมรับว่าของขวัญของคุณเยี่ยมมาก” เจียงหว่านขมวดคิ้ว แล้วช่วยแก้ปัญหาให้มู่เซิ่ง “แต่มู่เซิ่งไม่ได้เตรียมของขวัญมาเพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น”
เธอหยิบของขวัญออกมาจากกระเป๋าแล้ววางบนโต๊ะ เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้ขอดูของขวัญที่มู่เซิ่งเตรียมมา มิเช่นนั้น เธอคงจะเปลี่ยนเป็นของขวัญของตนเองแล้ว
“ถึงแม้จะไม่ใช่ชิ้นเดียว แต่เดาว่ามันเป็นของปลอมเหมือนกัน”
เจียงมู่หลงหัวเราะเยาะ
“เจียงหว่าน ไม่ใช่ว่าผมอยากจะตำหนิคุณ ถึงอย่างไรคุณก็ร่วมมือทำงานกับมู่ซื่อ กรุ๊ป ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มทำโครงการ แต่คุณคงได้ผลประโยชน์มาไม่น้อยแล้วใช่ไหม? แล้วคุณปู่ก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาล แต่คุณกลับมอบของขวัญแบบนี้ให้คุณปู?”
“เห็นได้ชัดว่าพวกคุณไม่ให้ความสำคัญกับคุณปู่!”
เฉินเสว่กล่าวประโยคหนึ่งออกมาด้วยความเย็นชา ซึ่งเป็นคำพูดที่แฝงไปด้วยความถากถาง
เธออิจฉาที่เจียงหว่านได้ร่วมมือทำงานกับมู่ซื่อ กรุ๊ป และโกรธเรื่องที่ต้องไปขอโทษเจียงหว่านถึงบ้าน เธอไม่สามารถทนเห็นเจียงหว่านดีกว่าตนเองได้
เป็นตามที่คาดการณ์ไว้
หลังจากกล่าวจบ ท่านสามก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขารู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของเจียงหว่านเล็กน้อย
“ถ้าฉันได้ร่วมมือทำงานกับมู่ซื่อ กรุ๊ป ฉันจะไม่นำของขวัญขยะแบบนี้มามอบให้คุณปู่หรอก”
ฝูงชนหัวเราะอีกครั้ง พวกเขามองเจียงหว่านด้วยสายตาเหยียดหยาม
เจียงหว่านหน้าแดง “ฉัน……. ”
เธอเพิ่งได้รับข่าวเรื่องการร่วมมือทำงานกับมู่ซื่อ กรุ๊ปเมื่อสักครู่ ยังไม่รู้เนื้อหาและโครงการอย่างชัดเจน แล้วจะมีเงินเข้าบัญชีได้อย่างไร
“เจียงหว่าน อย่าโกรธอีกเลย ถึงแม้ของขวัญที่ผมนำมามอบให้คุณปู่จะเป็นเพียงหินก้อนหนึ่ง”
และขณะนี้ มู่เซิ่งกล่าวเบา ๆ
“แต่ถึงอย่างไรมันก็ดีกว่าหัวไชเท้าที่กินไม่ได้”
มู่เซิ่งยิ้มที่มุมปาก
หลังจากเขากล่าวจบ
ทุกคนเงียบทันที