มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 28 พอบรรลุเป้าหมาย ก็ถีบหัวส่งคนที่เคยช่วยเหลือ
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณไม่ใช่ลูกศิษย์ของผมอีกต่อไปแล้ว!”
คำพูดประโยคนี้ของหลิวเจี้ยนหัว ราวกับเสียงสายฟ้า ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึง
ดูเหมือนว่าตอนนี้หลิวเจี้ยนหัวจะเปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่สุภาพอ่อนโยนและสุขุมเยือกเย็นอีกต่อไปแล้ว แต่กลับเย็นชาจนทำให้คนรู้สึกกลัว ซึ่งทำให้เจียงมู่หลงที่ยืนอยู่ด้านข้าง ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
ส่วนคนที่ตกใจที่สุดก็คือหลี่น่อง เพราะเขาคิดมาตลอดว่ามู่เซิ่งเป็นเพียงคนไม่เอาถ่าน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
“อาจารย์ อาจารย์หลิว ผมรู้ตัวว่าผิดแล้ว!”
หลี่น่องคุกเข่าบนพื้นทันที น้ำตาไหลอาบหน้า “ได้โปรดให้โอกาสผมอีกสักครั้ง ผมรู้ตัวว่าผิดแล้วจริง ๆ!”
เขาตื่นตระหนกอย่างสิ้นเชิง
เพราะชื่อเสียงและเส้นสายที่เขามีอยู่ตอนนี้ แม้แต่ชื่อหมอเทวดา ล้วนอาศัยชื่อเสียงของหลิวเจี้ยนหัว ถ้าเขาถูกไล่ออกจากสำนัก เขาก็จะไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่โรงพยาบาลเดิมก็จะไม่รับเขาเป็นหมอ เพราะกลัวว่าจะทำให้หลิวเจี้ยนหัวขุ่นเคือง
“คุณมันเป็นคนที่มีตาแต่หามีแววไม่ ไสหัวออกไป! นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป คุณไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมอีก”
หลิวเจี้ยนหัวชี้หลี่น่องด้วยความโกรธ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกศิษย์ของตนเอง แต่การที่เขามีจุดจบเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะเขาดูถูกเหยียดหยามคนอื่น เมื่อทำเองก็ต้องรับผลกรรมที่ตนเองทำไว้
“คุณมู่…….” วินาทีต่อมา หลิวเจี้ยนหัวแสดงท่าทางเคารพ เขาเดินไปอยู่ตรงหน้ามู่เซิ่งด้วยความนอบน้อม “คุณมู่ มันเป็นความผิดของผมเอง ที่ยังไม่รู้ลักษณะนิสัยอย่างชัดเจน ก็รับคนแบบนี้เป็นลูกศิษย์ จากนี้ไป ก่อนที่จะรับลูกศิษย์ ผมจะพิจารณาอย่างละเอียด”
“อืม ครั้งนี้ยกเว้นให้” มู่เซิ่งโบกมือ เพราะหลี่น่องยั่วยุเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
“ครับ” หลิวเจี้ยนหัวพยักหน้าซ้ำ ๆ แล้วนิ่งเงียบ
อะไรกันนี่?
เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง!
เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมหมอเทวดาอันดับหนึ่งของเมืองเยียนจิง ถึงได้เคารพมู่เซิ่งมากขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนสามารถมองออกว่าการแสดงความเคารพของเขานั้น มาจากก้นบึ้งของหัวใจ!
เฉินเสว่อดไม่ได้ที่จะถาม “หมอเทวดาหลิว คุณหมายความว่าอย่างไร? คุณเป็นคนที่รักษาท่านสามจนอาการดีขึ้นไม่ใช่เหรอ?”
“ถูกต้อง!…” เจียงไห่เชาพยักหน้าด้วยความสงสัยเช่นกัน
หลิวเจี้ยนหัวเหลือบมองเจียงไห่เชาและกล่าวเยาะเย้ยว่า “น่าขำ! ผมเคยบอกว่าผมเป็นคนรักษาท่านสามเหรอ? ตอนที่เดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วย ผมบอกอย่างชัดเจนว่ามันเป็นความดีความชอบของคุณมู่เซิ่ง พวกคุณหูหนวกเหรอ?”
“การที่หมอเทวดาหลิวพูดเช่นนั้น มันเป็นการถ่อมตนไม่ใช่เหรอ?”
เฉินเสว่รู้สึกตกตะลึง
ทุกคนต่างพยักหน้า ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล พวกเขาคิดเช่นนั้นจริง ๆ
“ฮ่า ๆ สิ่งที่คุณพูดมันตลกจริง ๆ?” หลิวเจี้ยนหัวรู้สึกขบขัน “ผมในฐานะหมอคนหนึ่ง แล้วผมจะไม่รู้ว่ามันเป็นความดีความชอบของใครได้อย่างไร? ผมเคยช่วยชีวิตคนมามากมาย แล้วทุกครั้งผมต้องบอกว่าผมไม่ได้เป็นคนช่วยชีวิตพวกเขาเหรอ?”
“สำหรับพวกคุณแล้ว คุณมู่ไม่สามารถรักษาคนได้ใช่ไหม? ผมจะบอกพวกคุณตามตรง ถ้าไม่มีคุณมู่ในตอนนั้น ก็ไม่มีผมหลิวเจี้ยนหัวในวันนี้หรอก!”
คำพูดประโยคนี้ ทำให้สีหน้าของทุกคนน่าเกลียดทันที หลิวเจี้ยนหัวเป็นหมออันดับหนึ่งของเมืองเยียนจิง เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับมู่เซิ่ง…ขนาดนี้เชียวเหรอ?
เป็นไปได้ยังไง!
โดยเฉพาะครอบครัวของเจียงมู่หลง สำหรับพวกเขาแล้ว มู่เซิ่งเป็นคนไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เขามีคุณสมบัติที่จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหลิวเจี้ยนหัวเช่นนี้ได้อย่างไร?
“หมอเทวดาหลิว ขออภัยด้วย ฉันไม่รู้จริง ๆ” เฉินเสว่ยิ้มด้วยความขมขื่น “แต่ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ เห็นได้ชัดว่าคุณเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะฝีมือที่ยอดเยี่ยม แล้วทำไมคุณถึงเคารพมู่เซิ่งมากขนาดนี้?”
หลิวเจี้ยนหัวเงียบครู่หนึ่ง และแอบถอนหายใจ เพราะก่อนหน้านั้นมู่เซิ่งเคยสั่งว่าห้ามเปิดเผยสถานะตัวตนของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่ามู่เซิ่งยังเป็นสมาชิกของตระกูลมู่อีกหรือเปล่า?
“ผมได้พบกับมู่เซิ่งเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นเขามอบตำราลับทางการแพทย์ที่หายสาบสูญให้ผมหนึ่งเล่ม เป็นเพราะผมเรียนและฝึกจากตำราลับเล่มนั้น ผมถึงได้ประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้” หลิวเจี้ยนหัวหาข้ออ้างไปเรื่อยเปื่อย
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง มิน่าคุณถึงได้เคารพมู่เซิ่งขนาดนี้” ทุกคนต่างรู้สึกตกตะลึง
ขณะเดียวกัน บางคนแอบถอนหายใจ มู่เซิ่งโชคดีจริง ๆ เขามอบตำราให้หลิวเจี้ยนหัวหนึ่งเล่ม นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหมอเทวดาหลิวเช่นนี้ เกรงว่าตอนนั้นเขาเองก็คงนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้
คนไม่เอาถ่านที่โชคดี!
“ตอนนี้ พวกคุณดูหมิ่นผู้มีพระคุณของผม และผมจะไม่รักษาอาการป่วยของท่านสามแล้ว!”
หลังจากอธิบายชัดเจนแล้ว หลิวเจี้ยนหัวประสานมือทั้งสองข้างและยืนขึ้น มีความเย็นชาอยู่ในดวงตา
“อย่า อย่าทำเช่นนั้นเด็ดขาด” ท่านสามรีบกล่าว “มู่เซิ่ง รีบเกลี้ยกล่อมหมอเทวดาหลิว เพื่อให้เขาอยู่ต่อ”
โรคปอดรุมเร้าท่านสามมาเป็นเวลาหลายปี ถึงแม้ตอนนี้จะหายขาดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องให้หลิวเจี้ยนหัวตรวจด้วยตนเอง ท่านสามถึงจะสามารถวางใจได้
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่มู่เซิ่งทันที พวกเขานึกไม่ถึงว่าคนไม่เอาถ่านที่ไร้ประโยชน์คนนี้ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้หมอเทวดาหลิวอยู่ต่อ
“มู่เซิ่ง คุณ…เกลี้ยกล่อมเขาได้ไหม?” เจียงหว่านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และสุดท้ายเธอก็กล่าวออกมา
เพราะอย่างไรเสียท่านสามก็เป็นคุณปู่ของเธอ ดังนั้นเจียงหว่านจึงไม่สามารถนิ่งดูดายได้
เมื่อได้ยินคำพูดของเจียงหว่านแล้ว สุดท้ายสีหน้าที่เย็นชาของมู่เซิ่งก็ผ่อนคลายลง เขาพยักหน้ารับปาก และกล่าวกับหลิวเจี้ยนหัวว่า “เหล่าหลิว รบกวนคุณอีกครั้ง”
“ฮึ่ม ถ้าไม่ใช่เพราะคุณมู่ออกหน้าพูดแทน ผมไม่อยู่ต่ออย่างแน่นอน!”
หลิวเจี้ยนหัวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แล้วนั่งลงอีกครั้ง
คราวนี้ เขาหยิบเข็มออกมาทันที แล้วฝังที่แขนของท่านสาม
ท่านสามหน้าแดง แต่ไม่กล้าระบายความโกรธออกมา
หลังจากใช้มือซ้ายและมือขวาฝังเข็มไปสิบห้าจุด หลิวเจี้ยนหัวก็ดึงเข็มออกมาอย่างรวดเร็ว และเก็บเข็มทันที โดยไม่สนใจการรั้งของท่านสาม เขาประสานมือทั้งสองข้างคำนับไปทางมู่เซิ่ง หันหลังแล้วเดินจากไปด้วยสีหน้าเย็นชา
“คุณปู่ รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
หลังจากหลิวเจี้ยนหัวจากไปสิบนาที เจียงมู่หลงถึงได้เอ่ยปาก และทุกคนต่างถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
เพราะบรรยากาศเมื่อสักครู่นั้นอึดอัดมาก
“ข้อมือของปู่ดีขึ้นจริง ๆ”
ท่านสามบีบแขนตนเองสองครั้ง รู้สึกได้ถึงความอุ่นที่แขน และกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ต้องบอกว่าถึงแม้หมอเทวดาหลิวจะเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่ทักษะทางการแพทย์ของเขานั้นไร้ที่ติ
“เจียงหว่าน เรื่องนี้ต้องขอบคุณหลาน”
ท่านสามจับมือเจียงหว่านและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ปู่ไม่รู้จะขอบคุณหลานอย่างไรดี”
“คุณปู่ นี่เป็นสิ่งที่หนูควรทำ” เจียงหว่านกล่าว
เจียงมู่หลงและเจียงไห่เชามองภาพนี้ด้วยสีหน้าน่าเกลียด ราวกับว่าพวกเขากินอุจจาระเข้าไป โดยเฉพาะความรักใคร่เอ็นดูที่คุณปู่มีต่อเจียงหว่าน ซึ่งเมื่อก่อนมีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากคุณปู่ แต่ตอนนี้เจียงหว่านกลับได้รับมัน
“การที่เจียงหว่านสามารถร่วมมือทำงานกับตระกูลมู่ได้ มันเป็นความโชคดีของตระกูลเจียง และวันนี้ได้เชิญหมอเทวดาหลิวมารักษาอาการป่วยของผมจนหายขาดแล้ว ดังนั้นวันนี้ผมจึงขอประกาศเรื่องหนึ่ง” ท่านสามกล่าว
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เจียงมู่หลงรู้สึกตกใจ คุณปู่จะมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลเจียง ให้เจียงหว่านเพื่อเป็นการขอบคุณหรือเปล่า?
นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเห็นที่สุด!
เฉินเสว่ยืนขึ้นทันทีและกล่าวว่า “คุณพ่อ ต้องคิดพิจารณาให้รอบคอบ ตอนนี้ตระกูลเจียงเพิ่งจะเข้าที่เข้าทาง ดังนั้นจะทำเป็นเล่นขายของไม่ได้”
“ถูกต้อง คุณปู่ ต้องคิดพิจารณาให้รอบคอบ เธอมีความสามารถและคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับภาระหนักนี้ได้หรือไม่?” สีหน้าของเจียงมู่หลงเต็มไปด้วยความกังวล และกล่าวด้วยคำพูดมีความหมายอื่นแฝง
ท่านสามยิ้มจาง ๆ “ปู่รู้แน่นอน เป็นเพราะพิจารณาถึงภาระที่หนักของเจียงหว่าน ดังนั้นปู่ถึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้ และอยากจะหาใครสักคนเพื่อช่วยแบ่งเบาะภาระของเธอ มู่หลง ต่อไปหลานเป็นรองผู้บริหาร รับผิดชอบโครงการที่ร่วมมือทำงานกับมู่ซื่อ กรุ๊ป และต้องช่วยเหลือโครงการที่อยู่ในเมืองของเจียงหว่านอย่างเต็มที่”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ทุกคนต่างรู้สึกตกตะลึง
พวกเขานึกไม่ถึงว่าท่านสามจะให้ผลประโยชน์เจียงมู่หลงมากขนาดนี้ เพราะเมื่อสักครู่เขาเพิ่งจะมอบโสมปลอมให้ท่านสาม ซึ่งทำให้หลิวเจี้ยนหัวโกรธจนเกือบจะจากไป
การที่คุณปู่มอบตำแหน่งรองผู้บริหารให้เจียงมู่หลง หมายความว่าเขาจะได้รับผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งจากการร่วมมือทำงานกับมู่ซื่อ กรุ๊ป?
สีหน้าของเจียงหว่านเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด ดูผิวเผินแล้วเหมือนว่าท่านสามจะให้ความสำคัญกับเธอ แม้แต่จับมือเพื่อแสดงความรักใคร่เอ็นดู แต่ความเป็นจริงแล้ว คนที่คุณปู่รักใคร่เอ็นดู ยังคงเป็นเจียงมู่หลงเหมือนเดิม คุณปู่กังวลว่าหลังจากเธอร่วมมือทำงานกับมู่ซื่อ กรุ๊ปแล้ว จะเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว
คุณปู่ ถึงแม้ว่าหนูจะพยายามแค่ไหน แต่สำหรับคุณปู่แล้ว หนูไม่สามารถเทียบเจียงมู่หลงได้ใช่ไหม?
หลังจากได้ยินคำพูดของคุณปู่แล้ว สมาชิกครอบครัวของเจียงมู่หลงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา พวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าท่านสามกำลังทำอะไร ท่านสามต้องการสนับสนุนเจียงมู่หลง และลดอำนาจของเจียงหว่าน หมายความว่าตั้งแต่ต้นจนจบ คุณปู่ถือว่าเจียงมู่หลงเป็นผู้นำตระกูลในอนาคต
“มู่หลง ยังไม่รีบขอบคุณ คุณปู่อีก” เฉินเสว่กล่าวซ้ำ ๆ
เจียงมู่หลงอดไม่ได้ที่จะยิ้มที่มุมปาก และรีบกล่าวว่า “คุณปู่ ขอบคุณครับ ผมจะไม่ทำให้คุณปู่ผิดหวังอย่างแน่นอน”
“แต่คุณปู่ บริษัทมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้…….” เจียงหว่านขมวดคิ้ว
“ถ้าเช่นนั้นพวกคุณทุกคนก็ให้ความร่วมมือกับมู่หลงให้มากขึ้น หากมีปัญหาอะไร ก็ปรึกษาหารือกัน” ท่านสามปล่อยมือเจียงหว่าน และเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชาทันที เขาเหลือบมองเธอเบา ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เอาล่ะ เรื่องนี้หยุดเพียงแค่นี้ เริ่มงานเลี้ยงต่อ”
“ค่ะ……”
เจียงหว่านกัดฟัน มีคำพูดอัดอั้นอยู่ในใจมากมาย แต่เธอไม่สามารถพูดออกมาได้
ขณะนี้ มู่เซิ่งกล่าวเบา ๆ “คุณปู่ การทำแบบนี้ มันไม่ยุติธรรมสำหรับเจียงหว่าน?”
เสียงของเขาเบามาก แต่กลับทำให้ทุกคนเงียบ
คนไม่เอาถ่านกำลังพูดเรื่องอะไร?
เขากล้าตำหนิคุณปู่เหรอ?
“เชี่ย! คนไม่เอาถ่าน คุณรู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่?”
เจียงมู่หลงรู้สึกโกรธทันที ชี้ไปที่มู่เซิ่งและกล่าวว่า “คุณกล้าพูดโต้แย้งคุณปู่เหรอ? ใจกล้ามาก!”
“ฮ่า ๆ คนบางคนคิดว่าตนเองรู้จักหมอคนหนึ่ง ก็สามารถไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา” เฉินเสว่ยิ้มด้วยความเสแสร้ง
“ไม่เห็นคนอยู่ในสายตามากเกินไปแล้ว!”
ทุกคนต่างรู้สึกโกรธ
“ตอนนี้สุขภาพของคุณปู่แข็งแรงแล้ว ไม่รู้ว่าคุณไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงได้ใช้หลิวเจี้ยนหัวมาข่มขู่คุณปู่!”
เจียงมู่หลงเย้ยหยัน สำหรับเขาแล้ว การที่มู่เซิ่งมีความมั่นใจ เป็นเพราะเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลิวเจี้ยนหัว แต่ตอนนี้คุณปู่หายดีแล้ว หลิวเจี้ยนหัวไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว
สีหน้าของท่านสามเคร่งขรึม มองมู่เซิ่งด้วยความเย็นชา และกล่าวว่า “คุณเป็นคนไม่เอาถ่านที่ใจกล้ามาก! ผมไม่ตำหนิเรื่องที่คุณมอบของขวัญสับปะรังเค แต่คุณกลับกล้าตำหนิผม เด็ก ๆ นำตราราชลัญจกรปลอม ที่คนไม่เอาถ่านนำมามอบเป็นของขวัญออกไปทิ้ง!”
“ครับ!”
คนรับใช้สามคนพยักหน้า หยิบตราราชลัญจกรและกล่อง เปิดประตูแล้วโยนออกไปทันที
คนรอบข้างหัวเราะเสียงดัง มู่เซิ่งส่ายศีรษะและถอนหายใจ แล้วเดินกลับมานั่งท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน
“พอใจในสภาพปัจจุบันโดยไม่คิดจะพัฒนา ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น ตอนนี้ตระกูลเจียงอยู่ไม่ไกลจากการล่มสลายแล้ว”