มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 72 ฉู่อีอี
มู่เซิ่งจากตระกูลเจียงมาแล้ว ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปยังซีไห่ทันที ในปากคาบบุหรี่เอาไว้อยู่หนึ่งแท่ง สบตามองไปยังสายน้ำที่กำลังเคลื่อนไหว ทั้งยังครุ่นคิดเรื่องราวมากมาย
แต่งเข้าฝ่ายหญิงมาสามปี เขาอยู่ตระกูลเจียงได้ก่อเกิดความรู้สึกต่อเจียงหว่านไม่มากก็น้อยแล้วเช่นเดียวกัน เมื่อเทียบกับวันเวลาที่รุ่งโรจน์ร้อนแรงพลุ่งพล่านในตอนก่อนหน้านี้แล้ว เขาในตอนก่อนหน้านี้มักจะรู้สึกเรียบเฉยมาโดยตลอด ทั้งก็ดีมาก ๆ เช่นเดียวกัน
ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกผิดไปแล้ว
สังคมในตอนนี้ ความยากจนก็คือความผิดของตนเองชนิดหนึ่ง คนจนในสายตาผู้คนนั้น กระทั่งหายใจก็ล้วนผิดไปเสียหมด
สบตามองแม่น้ำและพระจันทร์ มู่เซิ่งตระเตรียมที่จะลุกขึ้นแล้วไปดูสถานการณ์การตกแต่งภายในในคฤหาสน์ แต่จู่ ๆ ก็ถูกผู้หญิงข้างถนนคนหนึ่งดึงดูดสายตาไปเสียแล้ว
ผู้หญิงกำลังคนนั้นปล่อยผมสั้นแห้งสบาย สวมใส่กางเกงยีนหนึ่งตัว ขาทั้งสองข้างเรียวสวย ส่งแสงเป็นประกายวับวาวภายใต้แสงไฟ
“ฉู่อีอี!”
มู่เซิ่งชะงักนิ่งไปในทันที ความทรงจำจะไหลทะลักเข้ามาราวกับสายน้ำ
…
“ฉู่เจ๋อ ทำไมคุณถึงมาดูภาพถ่ายนั่นอยู่อีกล่ะครับ นี่คงไม่ใช่ภรรยาของคุณหรอกใช่ไหม?”
“พูดจาส่งเดชอะไรน่ะ นี่คือน้องสาวของผมเอง ฉู่อีอี! สวยใช่ไหมล่ะ” ใต้เส้นทางคูน้ำ ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยกยิ้มด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยว่า “ผมจะบอกคุณให้นะมู่เซิ่ง อายุคุณเยอะเกินไปแล้ว อย่ามาเล็งน้องสาวผมเชียวนะ พวกคุณสองคนเป็นไปไม่ได้หรอก!”
“ผมหมดคำจะพูดกับคุณจริง ๆ”
“ฮ่า ๆ ๆ …”
ห้าปีก่อน
ในหน่วยมังกร หลังจากที่มู่เซิ่งกับเพื่อนร่วมทีมพูดคุยสัพเพเหระมาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ในตอนเริ่มแรกเขาอยู่ที่หน่วยมังกรเป็นครั้งสุดท้าย และเป็นภารกิจที่ยากจะลืมเลือนภารกิจหนึ่งเช่นเดียวกัน
ในครั้งนั้น
ศัตรูราวกับว่าทราบแผนการทั้งหมดของพวกเขา ก่อนจะวางกับดักราวกับตาข่ายเอาไว้ทั้งหมดอย่างเรียบร้อยมาตั้งนานแล้ว
ทุกคนต่อสู้จนตัวตาย มีเพียงมู่เซิ่งคนเดียวเท่านั้นมีโชคดีมีชีวิต
“ตอนที่ผมฉู่เจ๋อเข้าร่วมหน่วยมังกรก็ทราบแล้วว่าจะมีโอกาสตาย ชาติก่อนไม่ได้ทำเรื่องราวใหญ่โตอะไรมาก่อน ดังนั้นก็เลยให้โชคชะตานี้กับผม ที่ได้คุ้มกันหัวหน้าทีมให้หนีจากไป”
“หัวหน้าทีม คุณจะต้องมีชีวิตออกไปให้ได้นะครับ หากสามารถพบกับน้องสาวของผมได้ละก็ รบกวนคุณช่วยดูแลหน่อยนะครับ”
สุดท้าย ณ บนดาดฟ้าเรือ
ลมกระหน่ำราวกับกลอง
ตามต่อมาด้วยเสียงระเบิดอย่างรุนแรงหนึ่งเสียง มู่เซิ่งกระโดดลงมาจากเรือในทันที เดิมทีหน่วยมังกรเป็นชื่อเรียกที่อยู่ในระดับสูงที่สุดของประเทศตงหัว ทว่าภายในคืนเดียวเท่านั้น กลับราบเป็นหน้ากลองและไม่หลงเหลือสิ่งใดเลย
ยุคหนึ่งได้สิ้นสุดลงแล้ว
ส่วนมู่เซิ่งเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนจะสลบไปกลางน้ำ หากไม่ใช่เพราะเช้าวันที่สองที่บังเอิญโชคดีได้พบเข้ากับครอบครัวของเจียงเจิ้งจื๋อที่มานั่งเรือเที่ยวชมแล้วละก็ เกรงว่าร่างคงจะอยู่ในท้องปลาไปตั้งนานแล้วกระมัง
ตอนนี้พบกับญาติของสหายเก่า มู่เซิ่งจึงปลื้มปีติเป็นอย่างมาก!
“คุณ คุณเป็นใครคะ! ทำไมคุณถึงทราบชื่อของฉันได้ละคะ?” หญิงสาวชะงักนิ่งไปทันที ก่อนจะถอยหลังอย่างรวดเร็วสองก้าว กำลังสำรวจมู่เซิ่งด้วยความระแวดระวังภัยที่ปรากฏเต็มอยู่บนใบหน้า “คุณคิดอยากที่จะเอาเปรียบฉันใช่ไหมคะ อย่าเข้ามานะ ฉันเคยเรียนเทคอนโดมาก่อนนะคะ!”
มู่เซิ่งถูกเสียงร้องตกใจของหญิงสาวทำให้ตื่นแล้ว ดังนั้นจึงพบแล้วว่าตนเองตื่นเต้นมากเกินไปเสียแล้ว “ขอโทษ ฉันพบกับเพื่อนเก่าเลยตื่นเต้นนิดหน่อย จริงสิ พี่ชายของเธอชื่อว่าฉู่เจ๋อหรือเปล่าครับ?”
ยามเมื่อมู่เซิ่งเอ่ยถึงชื่อของอดีตสหายร่วมรบขึ้นมานั้น บนใบหน้าของหญิงสาวยิ่งปรากฏความสงสัยหนักมากขึ้น
“คุณรู้จักพี่ชายของฉันได้อย่างไรหรือคะ?”
“เป็นเพราะว่าฉันเป็นเพื่อนของพี่ชายคุณครับ เป็นเพื่อนตาย!”
มู่เซิ่งกำลังจ้องเขม็งหญิงสาวอยู่ ดวงตาส่งแสงเป็นประกายจนเธอดูแล้วรู้สึกว่ามันน่ากลัวเล็กน้อย ฉู่อีอีก้าวไปทางด้านหลังสองก้าวทันที ก่อนจะเอ่ยต่อ “เดี๋ยวค่ะ เดี๋ยวก่อนนะคะ รอฉันกลับบ้านไปถามพี่ชายของฉันก่อนแล้วค่อยว่ากันค่ะ”
ฉู่อีอีสบตามองโทรศัพท์มือถือหนหนึ่ง ก่อนจะถอยไกลออกจากมู่เซิ่งอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ในสายตาของเธอ มู่เซิ่งยังคงเป็นคนสะกดรอยตายคนหนึ่งอยู่ดี กระทั่งทราบชื่อเธอกับพี่ชายของเธอเช่นไรนั้น คงต้องไปแอบดูมาจากที่ไหนอย่างแน่นอน
“เฮ้อ”
“พี่ชายของเธอตายเมื่อสามปีก่อนนานแล้ว เธอจะยังสามารถติดต่อได้อย่างไรกัน”
ถอนหายใจอย่างหมดแรงออกมาหนึ่งเสียง ร่างทั้งร่างของมู่เซิ่งซ่อนความกลัดกลุ้มเอาไว้ ก่อนจะเดินตามฉู่อีอีอยู่ทางด้านหลัง
ฉู่อีอีเดินอย่างกระวนกระวายเป็นอย่างมาก ราวกับว่าแทบจะมีเรื่องด่วนฉุกเฉินอะไรเลยก็ไม่ปาน เลี้ยวหนึ่งครั้งก่อนจะเข้าไปในเขตเล็กเขตหนึ่ง หลังจากนั้นก็ทะลุเข้าไปในตึกแห่งหนึ่ง
ตึกเจ็ด
มู่เซิ่งแอบจดจำที่อยู่ของฉู่อีอีอย่างเงียบเฉียบ
ก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปด้านบนต่อ ทว่าจู่ ๆ กลับได้ยินเสียงทะเลาะตบตีดังมาจากประตูห้องทางด้านใน
“พวกคุณวางใจเถอะค่ะ อีกสองวันฉันก็จะย้ายออกแล้ว รอขายบ้านได้แล้วก็จะคืนเงินให้กับพวกคุณเลยค่ะ พวกคุณรีบไปเถอะ”
ภายในห้องมีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง สภาพแวดล้อมในห้องเองก็รกและสกปรก ดูแล้วซบเซาไปหมด
เสียงของอันธพาลดังขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “วะ! บ้านโทรม ๆ นี้ของมึงมันจะมีค่ากี่ตังค์กัน? มึงรู้ไหมว่าพ่อมึงติดหนี้พวกเราอยู่มากน้อยเท่าไหร่? ห้าแสนกว่า! ตอนนี้คนเขาหนีไปแล้ว ถ้ามึงหนีไปอีกกูจะทำอย่างไร?”
เสียงของฉู่อีอีกดความขี้ขลาดลงเอาไว้อย่างเห็นได้ชัดหลายต่อหลายขั้น ก่อนจะเอ่ยว่า “วางใจเถอะค่ะ ฉันจะไม่หนีแน่ ฉันจะคืนเงินในครั้งนี้แทนเขาเอง พวกคุณอย่ามาหาฉันอีกเลย ตอนนี้ฉันตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาเรียบร้อยแล้วค่ะ…”
ตามต่อด้วยเสียงที่เสียงของฉู่อีอีที่เอ่ยขึ้นตามขึ้นมาอีกครั้งว่า “พวกคุณ พวกคุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ”
เสียงอึกทึกในตัวห้องหยุดตัวลงเรียบร้อยแล้ว สามารถจินตนาการได้เลยว่าตอนนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีในห้องนั้น ล้วนถูกทุบตีจนพังไปทั้งหมดแล้ว
“เหอะ มึงบอกว่ามึงตัดขาดความสัมพันธ์ก็จะตัดขาดความสัมพันธ์กันเลยหรือไง? ทำไมกูถึงไม่รู้ว่าพ่อมึงหนีไปหลบที่ไหนล่ะ? กูจะบอกอะไรมึงให้นะ วันนี้ไม่ได้เงิน พวกกูก็จะไม่กลับ!”
“แต่ว่านะ…เห็นแต่ที่หน้าตามึงดูไม่เลวก็แล้วกัน ถ้าอย่างนั้นให้พวกกูเก็บผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนสิ”
“พวกคุณ พวกคุณคิดจะทำอะไรคะ!”
“เอ้อหู่ จับเธอให้กู รอกูเสียวเสร็จแล้วก็เป็นตาของมึงแล้ว! ฮ่า ๆ ๆ”
ปัง!
เป็นในตอนที่อันธพาลชีกอนั่นเดินเข้ามาคว้าจับฉู่อีอีเอาไว้นั้นเอง ประตูเหล็กทางด้านข้างจู่ ๆ ก็ถูกชนจนเปิดออกอย่างรุนแรง ความเย็นยะเยือกพรั่งพรูออกมาอย่างรุนแรงจนรู้สึกขาดอากาศหายใจ ทันใดนั้นในก็พุ่งออกมาในห้อง อันธพาลนั่นราวกับว่าถูกคนจิกเข้าที่ลำคออย่างรุนแรงในทันที
“ถ้าแกกล้าแตะเธอแม้แต่เส้นผมเดียว ฉันจะให้แกอยู่ไม่สู้ตาย!”
น้ำเสียงของมู่เซิ่งเย็นยะเยือกราวกับโรงน้ำแข็ง!
ทำไมเขาจะคิดไม่ถึงด้วยเหมือนกันล่ะ ว่าในบ้านของฉู่อีอีจะปรากฏฉากเช่นนี้ขึ้น
โลหิตร้อนระอุสาดกระจายเพื่อชาติ!
มู่เซิ่งรับไม่ไหวแล้ว ญาติสนิทที่สุดของสหายร่วมรบกลับถูกคนรังแกเช่นนี้!
นี่จะทำให้วิญญาณของอดีตสหายร่วมรบของเขาสงบสุขได้อย่างไร?
“มึง…มึงเป็นใครวะ? เรื่องนี้เกี่ยวกับมึงหรือไง ดูสถานการณ์หน่อยสิวะ ทางที่ดีที่สุดไสหัวออกไปจะดีกว่า กูหัวงูเป็นลูกน้องของเฮียดำเชียวนะ กล้าผิดต่อเฮียดำที่เมืองเจียงหนาน มึงรู้ไหมว่าผลลัพธ์คืออะไร!”
หัวหน้าอันธพาลสบตามองมู่เซิ่งที่จู่ ยิ่งไปกว่านั้นแล้วคือถูกสิ่งล่องหนบนร่างอย่างอื่นทำให้ตกใจกลัวไปเสียแล้ว ก่อนจะลากเฮียดำมาข่มขู่ให้มู่เซิ่งตกใจ
เขาเองก็นึกว่ามู่เซิ่งเป็นเพื่อนของฉู่อีอีด้วยเช่นเดียวกัน พอเห็นเธอถูกรังแกแล้วจึงบันดาลโทสะเช่นนี้
แต่ว่าถึงแม้ว่าเขาจะตื่นตระหนกก็ตาม ทว่ากลับไม่ได้หวาดกลัว ที่เมืองเจียงหนานในตอนนี้ บุคคลที่มีอุบายโดยทั่วไปจะมีใครบ้างที่จะไม่รู้จักเฮียดำ?
“คนสะกดรอยตาม คุณ คุณมาได้อย่างไรกันคะ?”
ฉู่อีอีคนนั้นถอยไปอยู่ข้างกำแพง เงยศีรษะสำรวจมู่เซิ่งอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะชะงักนิ่งไป
นี่ไม่ใช่คนสะกดรอยตามเธอที่ชวนคุยกันบนถนนหรอกหรือไง?
“คนสะกดรอยตาม?” มู่เซิ่งเป็นใบ้ทันที
เดิมทีฉู่อีอีมองเขาเป็นคนสะกดรอยตามข้อมูลข่าวสารของเธอไปเสียแล้ว มิน่าถึงได้วิ่งเหยาะ ๆ มาตลอดทาง เดิมก็ไม่หยุดพักเลย
“พี่ ช่วยฉันด้วยนะคะ พ่อของฉันติดเงินพวกเขา พวกเขาจะต้องลงมือกับฉันแน่เลยค่ะ” ฉู่อีอีเอ่ยพูดไปพลางร้องเสียงสะอึกสะอื้น
ตอนนี้เธอเองก็ทราบสถานการณ์เช่นเดียวกัน ว่าคนที่สามารถช่วยเหลือเธอได้นั้น มีเพียงชายตรงหน้าคนนี้เท่านั้นแล้ว
ถึงแม้ว่าเธอเข้าใจแล้ว ทว่าความหวังกลับเลือนรางไม่อาจคาดเดาได้
“โอ้ กูก็นึกว่าใคร ที่แท้มึงเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกันนี่ ยังจะแสร้งเป็นวีรบุรุษอะไร?”
ได้ยินฉู่อีอีเรียกเขาว่าคนสะกดรอยตามขึ้นมาแล้ว มุมปากหัวหน้าอันธพาลก็เผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยพูดว่า “ถือโอกาสที่กูยังไม่โกรธแล้วรีบ ๆ คุกเข่าโขลกหัวสองครั้งให้กูเดี๋ยวนี้ หลังจากนั้นกูก็จะปล่อยมึง ไม่แน่นะ รอหลังจากที่กูกับเหล่าพี่น้องเสียวเสร็จแล้วก็อาจจะให้มึงแดกของที่กูกินเหลือก็ได้”
“ฉันไม่อยากลงมือต่อหน้าเด็ก…”
คิ้วของมู่เซิ่งกระตุกทันที จิตสังหารในหัวใจพรั่งพรูออกมาแล้ว “ให้เวลาพวกแกสามวินาที คุกเข่าโขลกหัวสามครั้ง หลังจากนั้นก็ปีนออกไป!”
สุรเสียงของมู่เซิ่งดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาด ทั้งดังกึกก้องไปทั่ว!