มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 94 หุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์
“อะไรนะ!”
“เจียงหว่าน เธอบ้าไปแล้วหรือไง?”
“จะเอาหุ้นบริษัทฉันยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แล้วทำไมเธอไม่เอาหุ้นบริษัทของเธอมาให้ฉันล่ะ? เธอจะมากเกินไปแล้วนะ!”
ครอบครัวของเจียงไห่เชาผุดลุกยืนกันทีละคน ร่างกายเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ เดิมทีเขาเพียงแค่แยกบริษัทไปแห่งหนึ่งก็เท่านั้น หากตอนนี้นำหุ้นมอบให้กับเจียงหว่านแล้วละก็ กระทั่งบริษัทของเขาเองก็จะไม่มีแล้วไม่ใช่หรือไง? หลังจากนี้ตระกูลเจียงก็จะมีครอบครัวเจียงหว่านที่เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เช่นนั้นพวกเขาควรทำอย่างไรกันดี?
“เจียงหว่าน เธอสมองกลับไปแล้วใช่ไหมที่เอ่ยเงื่อนไขพรรค์นี้ขึ้นมา ฉันจะมอบหุ้นบริษัทให้ของเธอได้อย่างไรกัน”
ตอนนี้เจียงมู่หลงพึ่งได้รับโครงการของมู่ซื่อ กรุ๊ปมา อนาคตยังอีกยาวไกลล้วนมีแสงสว่างเจิดจ้าไปหมดในใจของเขา กระทั่งยังมีความหวังว่าจะทำให้บริษัทมีราคาในตลาดพุ่งสูงขึ้นถึงหลายร้อยล้านเลยเชียวนะ แต่เจียงหว่านกลับเอ่ยเงื่อนไขออกมา เขาจะตกปากรับคำได้อย่างไรกัน
เฉินเสว่แสยะยิ้มสบตามองเจียงหว่าน ก่อนจะหันไปกล่าวกับท่านเจียงสามว่า “คุณพ่อคะ ล้วนบอกว่าเจียงหว่านเธอไม่มีใจคิดคดต่อตระกูลเจียง สุดท้ายตอนนี้ก็เปิดโปงออกมาแล้วสินะ? คิดไม่ถึงเลยค่ะ ว่าเธอกลับคิดอยากที่จะฮุบตระกูลเจียงไปคนเดียว!”
“เฉินเสว่ ฉันจะฮุบตระกูลเจียงได้อย่างไรกันคะ? นับตั้งแต่หลังก่อตั้งบริษัทมา ในทุกครั้งที่ลงขันเงินทุนกันก็ล้วนเป็นพวกคุณที่เอาไปมากกว่าครึ่งทั้งนั้น ฉันกระทั่งหนึ่งในสี่ส่วนก็ยังไม่ได้เลย! ตอนนี้พวกคุณก็มาขาดเงินอีก ในเมื่ออยากให้ฉันแก้ไขปัญหาการเงิน ไม่ใช่ว่าพวกคุณไม่ควรที่จะออกเงินเลยอย่างนั้นหรือคะ?” เจียงหว่านกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
เจียงหว่านราวกับเจ้าหญิงท่านหนึ่งที่กำลังปกป้องอาณาเขตดินแดนของตนเองเลยก็ไม่ปาน สายตาราวกับคบเพลิงกวาดมองไปยังคนตระกูลเจียงทุกคน ท่วงท่าทรงอำนาจทำให้ผู้คนตกใจ
ในสถานที่ที่สายตาได้กวาดมองผ่านไปนั้น ลูกหลานแซ่เจียงเหล่านั้นทุกคนล้วนก้มหน้าก้มตากันหมด ไม่มีแม้แต่คนเดียวเลยที่กล้าสบตากับเธอ พวกเขาล้วนกระจ่างต่อสถานการณ์ในตอนนี้กันเป็นอย่างมาก ว่าเงินทุนของตระกูลเจียงกำลังขาดมือ และจำเป็นที่จะต้องมีคนควักเงินออกมา
“คุณปู่ครับ”
เจียงมู่หลงถูกทำให้ติดขัดจนพูดคำไม่ออกแล้ว ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่หันไปสบตามองท่านเจียงสาม
ท่านเจียงสามถอนหายใจไปหนึ่งหน เดิมเขาก็ไม่กะจะมอบตำแหน่งประมุขของตระกูลให้กับเจียงหว่าน ทว่า ณ ตอนนี้นั้น เงินทุนของตระกูลกำลังขาดมือ หากไม่ได้เงินมาแล้วละก็ เกรงว่าโครงการของเจียงมู่หลงก็ล้วนเป็นการยากมาก ๆ ที่จะดำเนินการต่อไปได้
เขาเปิดปากกล่าวว่า “เจียงหว่าน เธอแน่ใจใช่ไหมว่าสามารถกู้เงินได้ถึงพันล้าน?”
“ได้ค่ะ! ถ้าเอามาไม่ได้ ฉันก็จะเป็นฝ่ายขายคฤหาสน์ก่อนเองค่ะ เพื่อเอาเงินมาสมทบให้!” เจียงหว่านพยักหน้าพลางกล่าว ท่าทางยืนหยัดมั่งคง!
“ได้ ถ้าเธอสามารถทำได้ ก็เอาหุ้นของบริษัทเจียงมู่หลงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ให้กับเธอก็แล้วกัน” ท่านเจียงสามกล่าว
“คุณปู่ให้เจียงหว่านได้หุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าอย่างนั้นเธอก็จะกลายเป็นซีอีโอบริษัทของผมเหมือนกันไม่ใช่หรือไงครับ?”
เจียงมู่หลงกล่าวด้วยสีหน้าตื่นตระหนกทั้งใบหน้า เขาไม่อาจให้เจียงหว่านได้หุ้นของบริษัทไปได้อย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้ว หลังจากนี้หากเขาต้องการวางอำนาจในบริษัทมันก็จะยิ่งยุ่งยากมากขึ้น
“ให้เธอไปยี่สิบเปอร์เซ็นต์ หลานไม่ใช่ยังเหลืออีกสามสิบกว่าเปอร์เซ็นต์หรอกหรือ? บริษัทของตนเอง มีอะไรน่าหวาดกลัวกัน?” ท่านเจียงสามจ้องเขม็งไปยังเจียงมู่หลง หากไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาไปหาเรื่องใส่ตัว จนไปหาเรื่องถึงตระกูลอู๋เข้า ตอนนี้แปดสิบล้านที่กู้มามันจะไม่พอใช้อย่างไร?
“แต่คุณปู่ครับ…”
“พอแล้ว เรื่องวันนี้เอาแบบนี้ไปก่อนก็แล้วกัน!” ท่านเจียงสามหลับตาลง ไม่ยินยอมที่จะพูดมากไปกว่านี้อีกแล้ว
เจียงมู่หลงและเจียงไห่เชาที่นั่งอยู่ทางด้านข้างนั้น พลันไม่กล้ากล่าวคำขึ้นมาทันที
ประโยคที่ท่านเจียงสามกล่าวนั้นมันไม่ผิด ในเมื่อไม่ว่าจะอย่างไรอีกก็ตาม หลังให้หุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ไปแล้ว ในมือของเขาก็ยังคงมีหุ้นอยู่อีกสามสิบห้าเปอร์เซ็นต์อยู่ เป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในบริษัทของตนเอง มีอำนาจตัดสินใจคำไหนคำนั้น เจียงหว่านเธอมีหุ้นแล้วจะอย่างไรต่อ สามารถพลิกฟ้าได้อย่างนั้นเชียวหรือ?
จุดที่สำคัญที่สุดก่อนหน้าทุกสิ่งทุกอย่าง คือเจียงหว่านจะต้องยืมเงินพันล้านมาให้ได้ก่อนถึงจะได้
แต่มันพันล้านเชียวนะ!
ถึงแม้ว่าท่านเจียงสามจะออกหน้าไปกู้เงินธนาคาร แต่ก็ไม่อาจกู้ได้ถึงพันล้านเหมือนกันนะ!
“เหอะ ๆ นึกว่าขู่แล้วจะทำให้ฉันกลัวหรือไง? เจียงหว่าน ในหนนี้เธอตายแน่ ฉันจะดูสิว่าเธอจะกู้เงินถึงพันล้านได้อย่างไร!”
หลังการประชุมตระกูลเสร็จสิ้นลง ครอบครัวของเจียงมู่หลงก็ขึ้นรถจากไปทันที เจียงมู่หลงแสยะยิ้มเย็นยะเยือกอยู่บนรถพลางกล่าว
“ถึงตอนนั้นก็มารอดูเจียงหว่านขายบ้านกันเถอะครับ!”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ น่าเวทนาจริง ๆ เลยนะ คฤหาสน์หลังนี้ก็พึ่งจะเข้าไปอยู่ไม่กี่วันเองกระมัง ตอนนี้กลับต้องขายออกไปเสียแล้ว” เฉินเสว่ลำพองตน ราวกับว่ายังมองเห็นฉากที่เจียงหว่านร้องไห้ไปขายบ้านไปเลยก็ไม่ปาน
“อ้างอิงจากเงินทุนของเจียงหว่านแล้ว มันไม่สามารถกู้เงินได้มากขนาดนั้นได้เลยจริง ๆ แต่ว่านะ ฉันกำลังกังวลว่าหากเธอกล้าพูดคำพรรค์นี้ออกมาแล้วละก็ มันก็อาจมีความเป็นไปได้อยู่หลายส่วน หากเธอสามารถกู้เงินได้ถึงพันล้านได้จริงแล้วได้หุ้นบริษัทของพวกเราไปได้ละก็ มันก็อาจเกิดความยุ่งยากมากมายได้เหมือนกัน” เจียงไห่เชากล่าวอย่างวิตกเล็กน้อย
ก่อนจากไปได้สบตามองท่าทางมั่นอกมั่นใจเต็มร้อยของเจียงหว่าน ราวกับว่ามีความมั่นใจอะไรบางอย่างอยู่เลยก็ไม่ปาน
“มีอะไรให้น่าหวาดกลัวกันคะ? เจียงไห่เชา คุณยิ่งอยู่ก็ยิ่งถอยกลับไปมากขึ้นทุกวันแล้วจริง ๆ คุณว่าไอ้หนุ่มขยะคนหนึ่งคนนั้นของเจียงหว่านมันจะมีฝีมืออะไรกันได้ละคะ?” เฉินเสว่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
เจียงไห่เชาไม่ได้ปะทะฝีปากกับเฉินเสว่ สบตามองออกไปนอกหน้าต่างรถ สีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก ประสบการณ์มากมายบนตลาดธุรกิจทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันอาจไม่ง่ายดายเหมือนอย่างที่จินตนาการเอาไว้ก็เป็นได้
“คุณพ่อครับ คุณพ่อทำใจสบายเถอะครับ”
เจียงมู่หลงปลอบประโลมอยู่ทางด้านหน้า “ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณปู่เขาไปกู้เงินที่ธนาคารก็เคยพาผมไปด้วยกันครับ บอกว่าเพื่อที่หลังจากนี้จะได้รับช่วงต่อเป็นประมุขของตระกูลแล้ว ก็เลยให้รู้จักเส้นสายกันไว้ล่วงหน้าเสียหน่อย”
“หัวหน้าธนาคารของธนาคารระดับสูงของเจียงหนานผมก็ล้วนรู้จักมักจี่กันมาหมดแล้ว ถึงแม้ว่าหน้าตาจะไม่ได้ใหญ่มากขนาดนั้น ยืมเงินมาก็ได้ไม่เท่าไหร่ แต่ก็ไปทักทายกับพวกเขามาแล้วครับ บอกให้พวกเขาไม่ต้องให้เจียงหว่านยืมเงินและพวกเขาเองก็เต็มใจกันเป็นอย่างมากด้วยนะครับ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็โอเค”
ได้ฟังเจียงมู่หลงกล่าวเช่นนี้แล้ว เจียงไห่เชาจึงพยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะวางใจลงได้
ในระหว่างทางกลับบ้าน
เจียงหว่านนั่งอยู่ข้างกายมู่เซิ่ง จิตใจร้อนรนกระวนกระวาย เมื่อครู่นี้ที่ถกเถียงกับทุก ๆ คนไปนั้น เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเธอบันดาลโทสะเป็นอย่างมากอีกแล้ว ตอนนี้หวนกลับมานึกคิดดูแล้ว มันกลับมีความรู้สึกหวาดกลัวตามมาในภายหลังอยู่บ้างเล็กน้อย
“มู่เซิ่งคะ ฉันสามารถกู้เงินได้ถึงพันล้านจริง ๆ หรือคะ?” เจียงหว่านเอ่ยถามอย่างวิตก
กระทั่งตัวเธอเองก็ยังไม่เชื่อเช่นเดียวกัน มีอย่างที่ไหนที่เธอจะมีปัญหาไปกู้เงินได้ถึงพันล้าน
“วางใจเถอะครับ ไม่มีปัญหาหรอก” มู่เซิ่งกล่าว
ได้ยินมู่เซิ่งมั่นใจเช่นนี้แล้ว จู่ ๆ เธอก็ไม่ตื่นตระหนกแล้วเสียอย่างนั้น
ทว่าเจียงหว่านก็ยังนึกสงสัยต่อเงื่อนไขที่มู่เซิ่งร้องขอเป็นอย่างมาก อดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “แต่ว่ามู่เซิ่งคะ คุณต้องการหุ้นบริษัทของเจียงมู่หลงไปทำไมหรือคะ? บริษัทนั้นของเขามีหุ้นคุ้มค่าเงินอยู่มากหรือคะ?”
ไม่ใช่เพราะเจียงหว่านมองตนเองสูงส่งมากเกินไป
แต่เป็นเพราะในยามปกติเขาทำเป็นแต่เรื่องกินเที่ยวเมาหัวราน้ำเท่านั้น เดิมทีก็ไม่ได้บริหารบริษัทอะไรเลย ตอนนี้มูลค่าบริษัทเองก็พึ่งจะแตะสามสิบล้านไปเหมือนกัน และแทบจะเป็นคุณปู่เขาทั้งนั้นที่เอาเงินมาโปะเพิ่มให้ทั้งหมด
“ผมมีแผนการจัดการอยู่แล้วครับ” มู่เซิ่งกล่าว “แล้วก็ช่วงระยะเวลาก่อนหน้านี้น่ะ ผมได้ให้เพื่อนไปกล่าวทักทายกับธนาคารมาแล้วด้วย เมื่อถึงตอนนั้นคุณก็ค่อยไปยืมเงินที่ธนาคารอีกครั้ง ดังนั้นตอนนี้ไม่ต้องรีบร้อนเลยครับ”
“ทำไมหรือคะ?” ทั่วทั้งศีรษะของเจียงหว่านมีแต่หมอกเต็มไปหมด
ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ก่อนหน้านี้ในการประชุมของตระกูลเจียง ครอบครัวของเจียงมู่หลงเย้ยหยันถากถางเธอไม่หยุด เจียงหว่านในตอนนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่าจะไปยืมเงินจากธนาคารมาพันล้านออกไป เพื่อที่จะตบหน้าครอบครัวของพวกเขาไปเสียหนึ่งฉาด! ทว่าตอนนี้มู่เซิ่งกลับบอกว่าไม่ต้องรีบร้อนเสียอย่างนั้น
“คุณยังมีเงินทุนอยู่ในมือไหมครับ?” จู่ ๆ มู่เซิ่งก็เอ่ยถามขึ้นมา
สีหน้าของเจียงหว่านกำลังครุ่นคิด หลังคิดไปคิดมาแล้วจึงกล่าวว่า “ยังมีอยู่นิดหน่อยค่ะ แต่ก็พอแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ได้การแล้วครับ คุณบอกว่าจะกู้เงินมาพันล้าน แต่ก็ไม่ได้บอกว่านานเท่าไหร่ถึงจะได้เงินกู้มา ตอนนี้ในมือคุณยังมีเงินทุนอยู่ แต่เจียงมู่หลงกลับไม่รู้เนื้อรู้ตัว ถ้าอย่างนั้นคุณจะรีบร้อนไปทำไปกันละครับ? แล้วอีกอย่าง…” มู่เซิ่งกล่าว
“อีกอย่างอะไรหรือคะ?”
“ไม่มีอะไรครับ ตัวผมเองก็มีแผนการอยู่นิดหน่อยที่จำเป็นจะต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยด้วยเหมือนกัน” มู่เซิ่งส่ายศีรษะ ไม่อยากที่จะกล่าวมากไปกว่านี้แล้ว ก่อนจะหันศีรษะกลับไปเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าให้เจียงหว่านได้เห็น หลังจากนั้นจึงกล่าวอย่างมั่นใจว่า “คุณภรรยา เรื่องนี้ให้มันเป็นหน้าที่ผมเองครับ คุณวางใจเถอะ หรือคิดว่าผมจะขายคฤหาสน์ของตัวเองทิ้ง?”
สบตามองท่าทางลึกลับของมู่เซิ่ง ภายในหัวใจของเจียงหว่านราวกับถูกมดนับไม่ถ้วนปีนป่ายจนคันยุบยิบไปหมดเลยก็ไม่ปาน
เจ้าหมอนี่ สรุปแล้วปิดบังอะไรกับตนเองกันแน่นะ?