มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 154 ผลการรักษาที่โดดเด่น
เมื่อเห็นสายตาประหลาดใจของมู่เซิ่ง ฉินหลินที่อยู่ข้างๆก็ยิ่งได้ใจมากขึ้น
“รู้ถึงความเก่งกาจของปู่ฉันแล้วใช่ไหม หมอเทวดาอันดับหนึ่งแห่งเยียนจิง ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยหรอกนะ!”
“นั่นสิ เมื่อกี้ยังอวดเบ่งไม่เกรงกลัวมครอยู่เลย ตอนนี้เห็นฝีมือของอาจารย์ฉันแล้ว คงตกใจจนขี้หดตดหายแล้วใช่ไหมล่ะ?”
“ถ้ารู้จักกลัว ยังไม่รีบคุกเข่าขอโทษอีก?ไม่แน่อาจารย์ฉันอาจจะเห็นความจริงใจของแก แล้วสั่งสอนแกแค่ไม่กี่กระบวนท่าก็ได้”
ลูกศิษย์หลายคนพากันได้ใจ วิชาการใช้ยาของฉินโสว่หราน เป็นที่เลื่องลือมานาน พวกเขาใช้วิธีมากมาย กว่าจะมาเป็นลูกศิษย์ของฉินโสว่หรานได้ มู่เซิ่งจะมาเทียบเคียงเปรียบกับเขาได้อย่างไร?
มู่เซิ่งมองด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้พูดอะไร มุมปากของเขาแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย
ฉินโสว่หรานมีความสามารถเป็นเรื่องจริง แต่กลับทำทุกอย่างไม่ถูกต้องทั้งหมดเสียทีเดียว
แพทย์คนหนึ่ง ต้องกล้าหาญและระมัดระวัง มือต้องนิ่งพอ ด้านการจัดยาของฉินโสว่หราน คว้าจับอย่างแม่นยำ แต่วิธีการกลั่นยาของเขา ยาต้องใช้วิชาขั้นสูง ในด้านของเลือดลม
จะต้องเป็นคนที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ เลือดลมต้องแข็งแรงพอ การกลั่นยาด้วยคนเช่นนี้ ถึงจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของยาได้เต็มที่ แม้แต่ยาบางชนิดยังต้องใช้พลังจากเลือดลมเป็นจำนวนมาก จะต้องใช้ความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ ถึงจะสามารถกลั่นยาออกมาได้
แต่ทว่า ฉินโสว่หรานเป็นแค่คนธรรมดาๆคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีอายุเลยห้าสิบไปแล้ว ดังนั้นพลังด้านเลือดลม จึงมีไม่เพียงพอ และแม้จะใช้วิชายาห้าประสานในการกลั่นยา มันก็เห็นผลแค่70%เท่านั้น ในอดีตมู่เซิ่งเก่งกาจกว่าเขาอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลังจากที่ได้รับ《ตำราทองตำนานเสวียน》เล่มที่สองมา
เมื่อเห็นมู่เซิ่งแอบส่ายหัวไปมา ฉินโสว่หรานอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางอะไรออกมา ทำการคว้ายาในตู้ออกมาสองอย่าง
มาต้มในหม้อต้มยา ทั่วทั้งวอร์ดในตอนนี้ เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรเตะจมูก
หลังจากกินยาสองเม็ดลงไป ทุกคนก็มองไปที่ใบหน้าของชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยคนนี้อย่างใจจดใจจ่อ ราวกับอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง จากสีหน้าของเขา
ฉากนี้ดึงดูดความสนใจของผู้ป่วยคนอื่นๆเข้ามา มองดูอย่างเพลิดเพลิน การรักษาของฉินโสว่หราน ไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้บ่อยๆ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ฉินโสว่หรานก็ลุกขึ้นยืน แล้วยกแก้วน้ำวางไว้ตรงหน้าของผู้ป่วยคนนั้น แล้วพูดว่า“ดื่มลงไป แล้วค่อยไปเข้าห้องน้ำ แล้วอาการจะหายไป”
“แต่ว่า ผมยังไม่อยากเข้าห้องน้ำนิครับ?”ผู้ป่วยสีหน้ามึนงง
หลังจากนั้น วินาทีต่อมา
จู่ๆเขาก็รู้สึกบริเวณท้องน้อยพลุ่งพล่านขึ้นมา เขาคงรีบดื่มน้ำลงไป แล้วกุมท้องวิ่งเหยาะๆไปประตู เพื่อเข้าห้องน้ำทันที
ผ่านไปห้านาทีเต็มๆ เขาถึงค่อยๆจับไปที่กำแพง เดินออกมาด้วยสีหน้าแดงก่ำ
“คุณปู่ครับ ชงชาเรียบร้อยแล้วครับ”ฉินหลินเดินยกน้ำชาร้อนๆมา
ฉินโสว่หรานรับน้ำชาร้อนๆมา เป่าคลายร้อน แล้วพูดกับชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยที่เดินเข้ามาจากประตู“ตอนนี้ร่างกายของคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“หมอนรองเอวของผะ ผม……”
เดิมทีชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยคนนี้ยังคงหมกมุ่นอยู่กับอาการท้องเสีย หลังจากฉินโสว่หรานพูดขึ้น จู่ๆเขาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา พึ่งพบว่า เมื่อสักครู่ที่เขาวิ่งไปที่ประตู ไม่รู้สึกเจ็บตรงบริเวณเอวแล้ว
“ผมหายแล้วครับ อาการเจ็บตรงหมอนรองเอวของผมที่เป็นมานานหลายปี หายแล้วครับ !”
ผู้ป่วยยิ้มหัวเราะด้วยความดีใจ แล้วบิดซ้ายบิดขวาดู แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย เขามองไปที่ฉินโสว่หรานอย่างแปลกใจ แล้วกล่าวว่า“หมอเทวดาฉินครับ อัศจรรย์จริงๆ ผมไปตรวจดูที่โรงพยาบาลมาเป็นสิบที่แล้ว รักษามาก็หลายสิบครั้ง ยังสู้การรักษาเพียงครั้งเดียวของคุณไม่ได้เลย!”
ผู้ป่วยแบบนี้ ส่วนใหญ่ป่วยหนักมาก และหมอที่คลินิกส่วนใหญ่จะใช้สมุนไพรตงหัวค่อยๆรักษาเขา เพราะยิ่งเวลานานมากเท่าไร ก็จะได้เงินมากขึ้นเท่านั้น
แต่ว่าครั้งนี้ เพื่อที่ฉินโสว่หรานจะแสดงความสามารถต่อหน้าของมู่เซิ่ง จะไม่ปิดบังต่อไป เขาใช้ฝีมือ นำวิชาทางการแพทย์ขั้นสูงท่าไม้ตายของเขาออกมาใช้ ดังนั้นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยผู้นี้ ถึงมีวินาทีดีใจที่สุขภาพร่างกายกลับมาแข็งแรง
“อืม แต่ว่าหมอแพทย์แผนตงหัว ยังคงเน้นไปที่การบำรุงร่างกาย ผมจะให้ใบสั่งยากับคุณสองใบ คุณกินไปหนึ่งอาทิตย์ ก็จะหายขาดทันที”ฉินโสว่หรานกล่าวอย่างเรียบเฉย“ต่อไปให้หมั่นออกกำลังกาย อย่านั่งนาน ไม่อย่างนั้นครั้งหน้ามาที่นี่ ผมก็รักษาคุณให้หายอีกไม่ได้แล้ว”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณครับหมอเทวดาฉิน จากนี้ไปผมจะดูแลสุขภาพให้ดีเลยครับ!”ชายคนนั้นพูดขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง แล้วรับใบสั่งยามา แล้วเดินจากไปทันที
ท่าทางดีใจแบบนี้ ทำให้ส่งไปถึงผู้ป่วยทุกคนที่นอนอยู่บนเตียงในวอร์ด พวกเขาต่างพากันใช้สายตาตื่นเต้น มองไปที่ฉินโสว่หราน กระทั่งแทบอดใจรอให้ฉินโสว่หรานเข้ามารักษาพวกเขาไม่ไหว
“หมอเทวดาฉินครับ เงินสองแสนนี้เป็นแค่สินน้ำใจของผม คุณได้โปรดรับไว้เถอะนะครับ”จู่ๆชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยก็ควักบัตรATMออกมาหนึ่งใบ แล้ววางไว้บนโต๊ะ
ฉินโสว่หรานไม่ได้ผลักไส เขายื่นมือรับไว้
เมื่อเห็นสีหน้าตื้นตันของเขา ฉินหลินก็เกิดความได้ใจ ราวกับเขาเป็นคนรักษาผู้ป่วยยังไงอย่างงั้น เขาเรียนรู้ศาสตร์แพทย์แผนตงหัว นอกจากจะรักษาผู้ป่วยแล้ว ยังสามารถใช้วิชานี้ ในการหาเงิน
สมัยนี้ มีแต่นักวิชาการไส้แห้ง แต่มีหรือที่หมอจะอดตาย?
ถึงแม้ในยามทุกข์ยาก ตราบใดที่คุณสามารถรักษาโรคได้ คุณก็จะมีข้าวเต็มชามให้กินจนอื่น บนโลกใบนี้ ไม่อาจขาดหมอได้
“มู่เซิ่ง เราขอเชยชมทักษะทางการใช้ยาของแกหน่อยได้ไหม?”ฉินหลินหันกลับมาพูด แล้วมองหน้ามู่เซิ่งอย่างหาเรื่อง
มู่เซิ่งพยักหน้า แล้วพูดว่า“แน่นอน”
พูดจบ เขาก็เดินไปที่หม้อต้มยาขนาดเล็กและพูดว่า“หมอเทวดาฉิน หม้อยาใบนี้ ให้ผมยืมใช้ได้ไหมครับ?”
มู่เซิ่งมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของเขา ฉินโสว่หรานจะรู้สึกดีกับเขาได้อย่างไร แต่หากของที่ใช้กลั่นยาไม่เหมือนกัน แล้วจะเปรียบเทียบความสามารถกันได้อย่างไร?เขาจึงพยักหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดว่า“เอาไปใช้เถอะ”
“ได้ คุณผู้ชายท่านนี้ครับ รบกวนคุณล้างหม้อยานี้ให้ผมด้วย ผมจะกลั่นยา ไม่ชอบให้ด้านในมีสิ่งแปลกปลอม มันจะมีผลต่อประสิทธิภาพการกลั่นยาของผม”มู่เซิ่งกล่าว
เมื่อเขาพูดออกมา ก็ทำให้ลูกศิษย์พวกนั้นโกรธจนแทบบ้า นี่มันหมายความว่าไง?รังเกียจหม้อยาที่อาจารย์พวกเขาใช้อย่างงั้นหรอ?
ลูกศิษย์ที่อยู่ข้างๆไม่ได้ต่อปากต่อคำ แต่นำหม้อยาไปทำความสะอาด อย่างไม่พอใจ
ในเวลานี้เองมู่เซิ่ง เดินไปที่หน้าของผู้ป่วยที่เป็นชายหนุ่มสวมชุดสูท แล้วถามว่า“คุณป่วยเป็นอะไร?รู้สึกว่าด้านในไม่สบายตรงไหน ลองพูดมาให้ผมฟังหน่อยสิ?”
“คุณไหวไหมเนี่ย?”
ชายหนุ่มมองสำรวจมู่เซิ่งอย่างดูถูก เดิมทีเขาคิดว่าฉินโสว่หรานจะเป็นคนมารักษาเขา แต่สุดท้ายกลับเป็นชายหนุ่มคนนี้ เขาจึงมองสำรวจมู่เซิ่งตั้งแต่บนลงล่างอย่างเหยียดหยาม
ถ้ามีทางเลือก เขาไม่มีทางเลือกให้มู่เซิ่งเป็นคนรักษาโรคให้เขาเด็ดขาด เขายังหนุ่ม ยังแข็งแรง ไม่อยากเอาร่างกายของตัวเองมาล้อเล่น
“วางใจเถอะ ฉินโสว่หราน เขาสู้ผมไม่ได้หรอก”มู่เซิ่งพูดอย่างยิ้มๆ
“กะ แกว่าไงนะ?”
“ไอ้หนุ่ม แกจองหองทะนงตัวเกินไปรึเปล่า?”
“มาหาว่าอาจารย์ของฉันสู้แกไม่ได้ แกคิดว่าแกเป็นใครไม่ทราบ?”
ลูกศิษย์พวกนั้นของฉินโสว่หรานพากันสบถก่นด่า ด้วยความโกรธ
ดูถูกเหยียดหยามอาจารย์ของพวกเขา?ถุ้ย ไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาของตัวเองบ้างล่ะ ว่าตัวเป็นใคร!
ในที่สุดชายหนุ่มก็พยักหน้า ราวกับได้รับอิทธิพลมาจากรอยยิ้มของมู่เซิ่ง เขาพูดว่า“ได้ น้องชาย ฉันจะเชื่อนายสักครั้ง นายอย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วกัน”
พูดจบ เขาก็บอกเล่าอาการป่วยและตรวจที่เจ็บ ให้มู่เซิ่งฟังทั้งหมด
มู่เซิ่งพยักหน้า เพื่อแสดงให้เห็นว่าเข้าใจแล้ว หลังจากนั้นก็เดินไปที่หน้าของผู้หญิงร่างท้วมคนหนึ่ง แล้วถามว่า“คุณผู้หญิงครับ คุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนครับ?”
“หมายความว่าไง?”
ชายหนุ่มคนนั้นรู้สึกมึนงง
ถามแค่ครู่เดียว ยังไม่ได้ต้มยาเลย และยังไม่ได้รักษา เดินไปดื้อๆแบบนี้เลยหรอ?