มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่282 อาคันตุกะ
“น้ำ……ฮันนีมูน?” แก้มที่ใบหน้าเจียงหว่าน ระเรื่อแดงขึ้น
ตามหลักทั่วไปแล้ว หลังงานของคู่แต่งงานใหม่ทุกคู่ มักจะต้องมีเวลาเดินทางไปฮันนี่มูนกันเดือนหนึ่ง และในช่วงเวลานั้น ก็คือช่วงดื่มฮันนีมูน แต่ทว่าในตอนที่มู่เซิ่งแต่งงานกับเจียงหว่านนั้น เป็นการจัดการโดยเจียงเจิ้งจื๋อเองคนเดียวทั้งสิ้น ส่วนตัวเจียงหว่านเองก็ไม่ได้ยินยอมจะแต่งงานกับมู่เซื่งด้วยซ้ำ
และก็ด้วยความยินยอมกันแบบนี้ จึงกลายเป็นชนวนเรื่องตลก ที่สืบเนื่องมาจากพิธีสมรสในครั้งนั้น คนทั้งหมดใช้มู่เซิ่งสร้างเป็นเรื่องราวขำขัน งานพิธีสมรสถูกจัดขึ้นลวก ๆ คงทำอย่างขอไปทีแล้วจบลง
ฉะนั้น งานแต่งงานกันในครั้งนั้นไม่ได้มีอะไรไว้เก็บเป็นที่ระลึกได้ ไม่มีถ่ายภาพคู่ชุดวิวาห์ ไม่มีการดื่มฮันนีมูน รวมแม้กระทั่งแหวนแต่งงานก็ยังไม่ได้ซื้อ นี้ก็คือสาเหตุที่มู่เซิ่งพูดว่าอยากจะทำชดเชย
“งานแต่งงานครั้งก่อนนี้นั้น เป็นรอยด่างปมด้อยในใจด้วยกันมาตลอด แต่ผมก็คิดอยู่ตลอดว่าจะชดเชยกลับมา ทั้งจะจัดพิธีแต่งงานอีกครั้ง ประกาศไปให้รู้ทั่วทั้งเมืองเจียงหนาน ให้การแต่งงานกับผม เป็นเรื่องที่เธอมีความสุขที่สุดในชาตินี้” มู่เซิ่งพูดพร้อมกับบีบมือเจียงหว่านแน่น
“ความจริง ฉันก็มีความสุขมากที่สุดแล้ว” เจียงหว่านพูดเสียงค่อย ๆ ก้มหน้า ซึ่งตอนนี้แดงลงไปทั้งคอแล้ว
“ยังไม่พอ ผมจะเอาสิ่งที่พร่องไปในใจเธอก่อนหน้านี้ ชดเชยให้ทั้งหมด!” มู่เซิ่งพูดอย่างจริงจัง
เจียงหว่านผงกหัว ประทับใจอย่างสุดซึ้ง “ในเมื่อจะเอาแบบนี้ งั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปจัดเตรียมงานในบริษัท วางแผนเวลา”
“ใช่สิ แล้วในใจเธอมีคิดชอบอยากจะไปที่ไหนไหม?” มู่เซิ่งถาม เขามองหน้าเจียงหว่านด้วยแววตาแจ่มแจ๋ว
เธอเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จออกมา อยู่ในชุดนอน คอระหงขาวเนียนแดงเลือดฝาดใส เหมือนผลแอปเปิ้ลสุกยวนเย้า ทำเอามู่เซิ่งอดไม่ได้นึกอยากดึงกอดมาขบสักคำ
ถูกแววตาที่เร่าร้อนของมู่เซิ่งจ้องจนไม่กล้าสบตา เจียงหว่านพูดว่า “ฉันอยากไปเกาะสองใจเกาะสองใจ ที่นั่นทิวทัศน์สวยมาก แต่ก่อนฉันเคยมีวาดฝันไว้ ก็คือคิดอยากถ่ายชุดวิวาห์ที่ริมหาด”
“ไม่มีปัญหา งั้นเราก็ไปที่เกาะสองใจกัน” มู่เซิ่งผงกหัวตอบรับ
เกาะสองใจ เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่ห่างออกไปจากเจียงหนานสามร้อยกว่ากิโล. ที่เกาะเล็ก ๆ นั่นก็ใหญ่มากอยู่ พื้นที่เกือบเท่ากับพื้นที่ของเจียงหนาน อีกทั้งลักษณะภูมิประเทศของเกาะก็มีความโดดเด่นมาก ดูภาพจากในแผนที่เหมือนรูปหัวใจรักสองอันอยู่ด้วยกัน จึงได้ถูกตั้งชื่อว่าเกาะสองใจ
ตามที่เขาเล่ากันมาว่า คู่รักที่มาเที่ยวที่เกาะสองใจนี้ ถ้ามาจัดพิธืแต่งงานกันที่นี่ จะได้อยู่กินด้วยกันจนแก่เฒ่า นี่เป็นส่วนที่ทำให้คู่รักจากทั่วทุกสารทิศเลือกอยากจะมากัน เจียงหว่านก็ได้ยินเรื่องเล่าของเกาะสองใจนี้ ฉะนั้นจึงได้เตรียมที่จะมาถ่ายภาพชุดวิวาห์บนเกาะสองใจนี้
ทั้งสองนอนกันอยู่บนเตียง บรรยากาศเกิดพิสดารดลบันดาลให้เกิดความรู้สึกใคร่ในรัก ตัวเจียงหว่านเองนั้น ใบหน้าแดงชัดบริเวณแก้ม ถึงกับมองดูเหมือนเป็นไอร้อนแผ่ออกมาแผ่ว ๆ
“คุณสามีขา ฉันร้อนจัง…..” เจียงหว่านโปรยสายตาพริ้ม
“ร้อน?”
สมองของมู่เซิ่งยังมุ่นอยู่กับการวางแผนเดินทางไปฮันนีมูนที่เกาะสองใจ ไม่ได้สังเกตถึงอากัปกิริยาของเจียงหว่าน ทั้งตอนนี้ก็อยู่ในเดือนสิบแล้ว เป็นช่วงเวลาอากาศเปลี่ยนหนาวลง เจียงหว่านทำไมเกิดรู้สึกร้อนขึ้นมาได้นะ?
เขายื่นมือไปแตะหน้าผากเจียงหว่าน พูดอย่างตื่นตระหนกว่า “เจียงหว่าน เธอคงไม่ได้เป็นไข้หวัดนะ?ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงมาก เธอต้องระวังห่มผ้าให้ดีนะ”
“อ๋อ รู้แล้วรู้แล้ว!” ทันทีนั้น เจียงหว่านฉุนกึกดึงผ้าห่มม้วนกลับ หันหลังใส่ให้มู่เซิ่ง
ผู้ชายซื่อบื้อ!
อยู่โสดไปทั้งชีวิตเถอะ ไอ้ผู้ชายซื่อบื้อที่น่าตาย!ขนาดเทพเจ้าสื่อโยนโซ่เหล็กมาผูกสันนิวาสให้แกยังแกะทิ้งเสียได้!
เจียงหว่านแอบด่าอยู่ในใจ ไอ้เจ้าหมอนี่ ขนาดให้ท่ากันชัด ๆ ขนาดนี้ยังไม่รู้อีก
มู่เซิ่งกลับนอนเฉยอยู่บนเตียง งงเซ่ออยู่เต็มหน้า เจียงหว่านนี่ เป็นงอนอะไรไปอีกแล้ว?
หรือเราไปพูดอะไรผิดอีกแล้ว?เราเองห่วงเขาให้รักษาความอบอุ่นในตัวไว้ อย่าได้เป็นหวัด ไม่เห็นพูดผิดอะไรตรงไหนนี่นา
ให้คิดไปอีกครึ่งวันก็คงยังไม่มีข้อสรุป มู่เซิ่งส่ายหน้า ล้มตัวลงนอนในที่ของตัวเอง ใจผู้หญิงนี่หนอ เข็มจมใต้ทะเลยากจะงมหา เขารู้สึกว่าถึงยังไงก็ทายไม่ถูก
รุ่งขึ้นในวันต่อมา
ที่ห้องรับแขกส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวมา ทำเอามู่เซิ่งต้องสะดุ้งตื่น เดินออกประตูไป คฤหาสน์ที่อยู่ตามที่เห็น คึกคักไปด้วยผู้คน
แทบจะว่าญาติพี่น้องตระกูลจ้าวมากันทั้งหมด ทุกคนยืนเซ่ออยู่ในคฤหาสน์ มองไปมองมากับการตกแต่งที่สวยหรูรอบด้าน สีหน้าแต่ละคนต่างส่อแสดงถึงความทึ่งอิจฉา
จ้าวลิ่วป๋อนั่งอยู่บนโซฟา ความสะเทือนสะท้านใจฝังบนใบหน้าอย่างลบล้างไม่ออก
เขารู้ว่าจ้าวหลินได้ซื้อคฤหาสน์หลังหนึ่ง แต่มาถึงวันนี้ที่เห็น ถึงได้รู้เห็นว่าคฤหาสน์หลังนี้โอ่อ่าขนาดไหน ถึงขนาดเป็นคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ในเขตซีไห่ ทั้งยังพวกเขาได้สืบถามรู้มาว่า คฤหาสน์หลังนี้ต้องมีเงินระดับร้อยล้านขึ้นไปจึงจะซื้อได้ แล้วทั้งบ้านจ้าวหลิน ตอนนี้จะมีเงินอยู่เท่าไหร่กัน?
และทุกคนในตอนนี้คิดไปถึงตอนนั้น เฉินเสวียลี่ที่ทำเป็นจะอวดโชว์ฟอร์มในงานเลี้ยงครั้งนั้น
ช่วงนั้นจ้าวเหมยเหมยเพิ่งจะปลื้มที่จับเขยที่มีฐานะร่ำรวยมาได้ วัน ๆ ก็คอยอวดโชว์ต่อหน้าจ้าวหลิน อีกทั้งยังสบประมาทใส่ไม่ได้ขาด ตอนนี้หันกลับไปดู เรื่องนี้มันช่างน่าขันอะไรกันเสียจริง ต่อให้เฉินเสวียลี่อดออมไม่กินไม่เที่ยวไปทั้งชาติ น่ากลัวก็คงยังไม่มีปัญญาซื้อคฤหาสน์หลังนี้ได้เลยมั้ง
ส่วนจ้าวเหมยเหมยกับถงเสว่เหมยสองแม่ลูก
พวกเขาทั้งสอง นานมาแล้วที่ไม่ได้ปรากฏในสายตาของทุกคน ถงมู่ได้บอกว่าพวกเขาย้ายที่ทำงานไปแล้ว จึงได้กลบเกลื่อนออกไปจากความสนใจของทุกคน
“จ้าวหลิน คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เธอได้มาอยู่บ้านสบายหรูขนาดนี้เลยนะ มีตั้งสองชั้น ประเมินดูต้องมีหลายร้อยตารางเมตรเลยมั้ง?”
“น่าอิจฉาจังเลย เจียงหว่านเก่งได้ถึงขนาดนี้ ถ้าฉันมีลูกสาวเก่งมากอย่างนี้บ้างก็ดีสินะ”
“นั่นก็เพราะจ้าวหลินเกิดมาได้ดีนะ เรื่องแบบนี้ อิจฉาไปก็ไม่ใช่จะได้นะ”
ได้ยินคำชมเชยมากันขนาดนี้ ความรู้สึกในใจจ้าวหลินส่อออกมาเต็มใบหน้า เหมือนดอกไม้สวยงามบานสะพรั่ง ความดีใจมีได้แค่ไหน แสดงออกมากันหมด
เจ้าหล่อนคนนี้เห็นสำคัญมากในเรื่องได้หน้า ฉะนั้นจึงรู้สึกสุขสบายใจเป็นที่สุด
“มู่เซิ่ง รีบไปเอาผลไม้มาบริการพวกเราหน่อย” จ้าวหลินนั่งบนโซฟา เริ่มชี้นิ้วสั่งงานไปกับการวางมาด
ปกติหล่อนก็ยังเคยมีความเกรงอกเกรงใจมู่เซิ่งอยู่บ้าง แต่ด้วยเวลาที่อยู่ด้วยกันนานมากขึ้น ภาพลักษณ์ของมู่เซิ่งในสายตาจ้าวหลิน ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนชืดชาลง เพราะถึงยังไงภาพไอ้ขยะยังฝังอยู่กับสายตาของหล่อน ตรานี้ถูกประทับนานมามากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตายของเจียงเทาฉิน ก็ยังยากนักจะเปลี่ยนแปลงได้
ยิ่งกว่านั้น ในครั้งนี้ที่อยู่ต่อหน้าญาติตระกูลจ้าวเอง เพื่ออวดโอ่ฐานะของตัวเอง จ้าวหลินเริ่มวางท่าสั่งมู่เซิ่งอย่างจงใจ
“เร็ว ๆ เดี๋ยวนี้เลย”
มู่เซิ่งย่อมรู้ดีว่าจ้าวหลินคิดอย่างไรอยู่ หลังจากที่เรียกมาคำหนึ่งแล้ว ก็รีบประคองถาดผลไม้ออกมา
พวกญาติตระกูลจ้าวแต่ละคนมองไปที่มู่เซิ่ง ต่างก็แสดงออกด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน
จ้าวลิ่วป๋อมองมู่เซิ่ง ภาพลักษณ์ของไอ้ขยะนั้นถูกเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่อำเภอซานเซี่ยงแล้ว ทุกครั้งที่เขาเห็นมู่เซิ่งออกมา ก็จะรู้สึกใจสั่นขวัญกระเจิง เพราะถึงยังไงมู่เซิ่งรู้จักกันกับคนตระกูลกู่นั่น
แต่ยังมีพวกลูกหลานตระกูลจ้าวบางส่วนก็ยังเห็นมู่เซิ่งก็แค่งั้น ๆ คนที่เก่งกาจจริงของตระกูลเจียง ก็คือเจียงหว่านเท่านั้น มู่เซิ่งก็ยังคงเป็นไอ้ขยะ นับประสาอะไรไม่ได้
“ใช่แล้ว น้าเจียง น้ามีฐานะสูงมากในบ้านเลยนะ สั่งให้ลูกเขยทำอะไร เขาก็ต้องทำ” ขณะนั้นเอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อซือเอินหรานพูดขึ้นมา จงใจพุ่งเป้าเรื่องคุยไปที่มู่เซิ่ง
เขาคนนี้ในตระกูลจ้าว นับเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในวัยอ่อนมากที่สุด เพราะฉะนั้น ก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจกับไอ้ขยะที่เกาะคนอื่นกินรอวันตายไปวัน ๆ อย่างมู่เซิ่ง