มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 316 เตือน
เมื่อประตูเปิดออก แสงสีต่างๆ ส่องลงมาบนหน้ามู่เซิ่งทันที
แท่นประมูลขนาดเท่าโต๊ะสนุกเกอร์วางอยู่บนโต๊ะ เป็นระเบียบและพร้อมใช้งาน ด้านบนหัวมีโคมระย้าแกว่งไปมา แสงงดงามไม่น้อยไปกว่าแสงไฟในบาร์ บนพื้นมีพรมแดงปูเป็นทาง เมื่อเหยียบลงไปให้ความรู้สึกอุ่นสบาย
มีคนล้อมอยู่รอบแท่นประมูลไม่น้อย มีทั้งคนที่ยืนดูและมีคนยืนถือดูอย่างประเมิน แล้วพูดต่อรองราคากับเจ้าของ
“ลูกพี่ ที่นี่แหละ” เหยาเผิงโบกมือแล้วเอ่ยขึ้น
มู่เซิ่งพยักหน้า
เขากวาดตามองรอบๆ พบว่าบนแท่นประมูล นอกจากของแปลกต่างๆ แล้ว ยังมีของสะสมแปลกๆ ในอ่างกระจกขนาดใหญ่เลี้ยงแมงกะพรุนและปลาทะเลที่งดงามอยู่
“ที่นี่มีปลาทะเลขายด้วยเหรอ” มู่เซิ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“มีอยู่แล้ว แม้จางฉี่เลิกยุ่งกับอาชีพโจรสลัดแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เขาเป็นชาวประมง มีฝีมือการตกปลา โดยทั่วไปพ่อค้าจะซื้อปลาพวกนี้ไปทำอาหารกินเป็นลาภปาก หรือถ้ารู้สึกว่าสวยก็เลี้ยงมันไว้” เหยาเผิงพูดแนะนำ
จากนั้นเขาฉีกยิ้ม “ลูกพี่ซื้อสักสองตัวไหม”
“ไม่เอา ฉันไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้” มู่เซิ่งส่ายหน้า
ในทางตรงกันข้าม มู่เซิ่งไม่เพียงแค่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขายังรู้สึกขยะแขยงคนที่กินสิ่งเหล่านี้ อันที่จริงในใจเขารู้สึกไม่เข้าใจ ทำไมถึงมีคนซื้อของแปลกๆ แบบนี้มากิน ของอร่อยตั้งเยอะแยะยังไม่พอให้กินหรือไง
มู่เซิ่งเดินวนในร้านสองรอบ ถูกใจจี้ที่ดูไม่เลวสองสามชิ้นจึงซื้อมา
“นี่มัน……”
จู่ๆ มู่เซิ่งหยุดลงตรงหน้าแผงขายของแห่งหนึ่ง
แผงขายของแห่งนี้มีรูปปั้นทองแดงที่มีคราบสีเขียวเกาะอยู่บนผิวทองแดง ด้านบนมีคราบสีเขียวต่างๆ เกาะอยู่เต็มไปหมด ดูเหมือนจมอยู่ในทะเลเป็นเวลานานกว่าจะถูกเอาขึ้นมา ดูเก่าแก่เป็นอย่างมาก แต่เพราะผ่านกาลเวลามานาน ทำให้มองไม่เห็นสีหน้าของรูปปั้นทองแดงแล้ว
แต่รูปปั้นทองแดงทนทานมาก ลองใช้มือชั่งน้ำหนักดูประมาณห้าสิบกิโลกรัม ดูเหมือนเป็นรูปปั้นทองแดงที่ทำด้วยทองแดงบริสุทธิ์
“ลูกพี่ชอบรูปปั้นทองแดงเหรอ” เหยาเผิงสังเกตเห็นสายตาของมู่เซิ่ง ก็รีบเดินมาที่แผงขายของแล้วถามขึ้น “เจ้าของร้าน รูปปั้นทองแดงนี้ขายเท่าไร”
เจ้าของร้านที่กำลังสัปหงก เมื่อได้ยินว่ามีคนมาซื้อของก็รีบเข้ามาทันที เขายิ้มแล้วพูดว่า “สองท่านนี้สายตาดีจริงๆ รูปปั้นทองแดงนี้เป็นของล้ำค่าที่เราเพิ่งเอาขึ้นมาได้เมื่อวาน ดูสิยังไม่ทันเช็ดคราบสีเขียวที่เกาะอยู่ข้างบนออกเลย รูปปั้นทองแดงนี้มีค่ามาก นายลองชั่งน้ำหนักดูสิ นี่มันของแท้ชัดๆ”
เมื่อได้ยินเจ้าของร้านพูดโม้ยกใหญ่ มู่เซิ่งยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้าพูดว่า “เจ้าของร้าน พูดมาเถอะว่ารูปปั้นทองแดงนี่ขายเท่าไร”
“กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ฉันดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนลำบากเรื่องเงิน สบายใจกว่าพวกชอบจับผิดที่เดินผ่านไปผ่านมาเยอะ!” เจ้าของร้านยกมือขึ้นตบขาอย่างไม่รู้สึกเคอะเขิน จากนั้นพูดต่อไม่หยุด “รูปปั้นทองแดงนี้เราเพิ่งเอาขึ้นมา เตรียมจะขายในราคาสองล้าน แต่ดูเหมือนมีโชคชะตากับคุณผู้ชายท่านนี้ หนึ่งล้านห้าแสนถือว่าทำความรู้จักกัน”
“หนึ่งล้านห้าแสนเหรอ” มู่เซิ่งส่ายหน้า ราคาแพง
“ยังแพงอีกเหรอ นี่เป็นวัตถุโบราณเชียวนะ” เจ้าของร้านแนะนำที่มาของรูปปั้นทองแดงด้วยเสียงดัง
“เจ้าของร้าน ลูกพี่ฉันบอกแล้วว่าแพงเกินไป เห็นแก่ที่เราทำอาชีพเดียวกัน ลดราคาหน่อยไม่ได้เหรอ” เหยาเผิงพูดอยู่ด้านข้าง
เมื่อเจ้าของร้านได้ยินก็อึ้งเล็กน้อยแล้วพูดว่า “อาชีพเดียวกันเหรอ พวกนายก็ขายของล้ำค่าเหมือนกันเหรอ”
“เปล่า เราทำอาชีพปล้นน่ะ” เหยาเผิงส่ายหน้า แล้วพูดด้วยท่าทีจริงจัง
เจ้าของร้านหมดคำจะพูด รู้สึกว่าไอ้หมอนี่กำลังว่าเขาจะเอาราคาแพงเกินไปเหมือนปล้นอย่างไรอย่างนั้น เขาร้องไห้แล้วพูดว่า “คุณผู้ชายพูดเกินไปแล้ว ฉันทำอาชีพปล้นที่ไหนกันล่ะ นี่แค่การค้าขายเล็กๆ น้อยๆ แผงขายของที่นี่ไม่ใช่ถูกๆ ต้องจ่ายค่าแผงเดือนละแสนห้าหมื่น ลดกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”
มู่เซิ่งละสายตาออกจากรูปปั้นทองแดงแล้วพูดว่า “หนึ่งล้านฉันซื้อเลย”
“เอ่อ เอ่อ……”
เจ้าของร้านสีหน้าสับสน
เขาสับสนอยู่นาน สุดท้ายจึงกัดฟันพูดว่า “โอเค ถือว่าฉันขาดทุนแล้วได้เพื่อน ขายให้นายครั้งนี้หวังว่านายจะมาที่นี่บ่อยๆ เฮ้อ ขาดทุนแล้ว ขาดทุนย่อยยับจริงๆ……”
เห็นเจ้าของร้านส่ายหน้าถอนหายใจ มู่เซิ่งยิ้มบางๆ เขารู้ว่านี่คือราคาต่ำสุดในใจเจ้าของร้าน ดังนั้นจึงไม่ได้แฉเจ้าของร้านแล้วพูดว่า “ฉันยังมีอีกหนึ่งเงื่อนไข ถึงตอนนั้นนายช่วยหาคนเอารูปปั้นนี้ไปส่งยังที่พักของฉันด้วย ฉันเอาไปตอนนี้ลำบากมาก”
“ไม่มีปัญหา ถึงนายไม่บอก บริการส่งของถึงที่ เราก็ต้องทำอยู่แล้ว” เจ้าของร้านตบอกพูดรับประกันว่า “คุณผู้ชายจะรูดบัตรหรือจ่ายเงินสด”
“รูดบัตร” มู่เซิ่งเอาบัตรออกมา
หลังซื้อรูปปั้นทองแดงเรียบร้อย ทั้งสองคนเดินเล่นที่นี่อีกสองรอบ ซื้อสินค้าทั้งหมดสี่ชิ้นแล้วกลับมายังที่พัก ระหว่างทางกลับ มู่เซิ่งเห็นผู้หญิงสวมแว่นกันแดดสีดำยังนั่งอยู่ที่โต๊ะพนัน แต่ชิปด้านหน้าเธอเหมือนจะใช้ไปหมดแล้ว เหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบที่มีอยู่แต่เดิม
สีหน้าของผู้หญิงสวมแว่นกันแดดสีดำก็แย่มากเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าเธอคิดไม่ถึงว่าดวงตัวเองจะแย่ขนาดนี้
สายตาของมู่เซิ่งค่อยๆ จ้องดู เขาดูออกว่าการพนันครั้งนี้ผิดปกติ
ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้โชคไม่ดี แต่ผู้ชายฝั่งตรงข้ามโกง
มู่เซิ่งไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเท่าไรนัก แต่เห็นแก่สีหน้าเศร้าหดหู่ของผู้หญิง อีกทั้งยังแอบเห็นน้ำตาใสคลอเบ้า มู่เซิ่งเดาออกว่าเธออาจเจอเรื่องเศร้าอะไรบางอย่างจึงมาระบายที่นี่ เขารู้สึกทนไม่ได้จึงตบไหล่เหยาเผิง
“มีอะไรเหรอลูกพี่” เหยาเผิงหันมาถาม
“นายจะไปลงพนันสักหน่อยไหม” มู่เซิ่งถามขึ้น
“เมื่อกี้ลูกพี่เพิ่งบอกว่าไม่สนใจไม่ใช่เหรอ ผม……” เหยาเผิงอึ้งไป ไม่เข้าใจความหมายของมู่เซิ่ง จนกระทั่งเห็นสายตาของมู่เซิ่งที่มองไปทางผู้หญิงคนนั้นแวบๆ จึงตบขาแล้วพูดว่า “ลูกพี่ ผมอยากไปลงพนันสักหน่อย!”
“พนันบ้าอะไรล่ะ พนันสิบรอบแพ้เก้ารอบ เจ้ามือพวกนั้นโกงทั้งนั้น ชนะสิถึงจะแปลก ถึงตอนนั้นอย่าเขียนสัญญากู้ยืมเงินจนทำให้เป็นหนี้ติดตัว!” มู่เซิ่งพูดตำหนิเสียงดัง
เสียงดังจนเข้าหูผู้หญิงสวมแว่นดำคนนั้น เหมือนผู้หญิงคนนั้นฉุกคิดขึ้นได้ เธอเงยหน้าขึ้นทันที มองชิปที่เหลืออยู่ในมือไม่กี่อัน จากนั้นดันไปด้านหน้าแล้วพูดว่า “พอแค่นี้เถอะ ฉันไม่เล่นแล้ว”
“แต่คุณหนู……” เจ้ามือคนนั้นอึ้งไป
ผู้หญิงแว่นดำเก็บของบนโต๊ะแล้วรีบเดินไป ก่อนไปยังพยักหน้าให้มู่เซิ่ง เหมือนกำลังขอบคุณคำพูดของมู่เซิ่งเมื่อครู่อย่างไรอย่างนั้น
มู่เซิ่งตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ เขาเห็นแก่ที่อีกฝ่ายยังไม่เจนโลกจึงเตือนด้วยความหวังดี ถ้าอีกฝ่ายเป็นผีพนันเต็มตัว เขาไม่เสียเวลาไปสนใจหรอก
ขณะที่มู่เซิ่งกับเหยาเผิงกำลังจะออกไป จู่ๆ มีเงาใครบางคนมาขวางหน้ามู่เซิ่ง
“ไอ้เด็กเวร ทำลายเรื่องดีๆ ของฉันแล้วจะไปงั้นเหรอ”