มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 337 อสูรมาแล้ว!
“พี่ล่าย ไม่นึกเลยว่าพวกเขาจะมาถึงเกาะนี้อย่างปลอดภัย!”ชาวประมงคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถาม หลังจากที่เห็นว่าพวกเขาขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัยแล้ว ทั้งที่พวกเขาเจาะรูบนเรือสองรู ว่ากันตามเหตุผล พวกเขาน่าจะตกลงไปในน้ำตั้งนานแล้วถึงจะถูกสิ ทำไมถึงได้ปรากฏตัวอยู่บนเกาะแห่งนี้อย่างดีๆได้
ยังไงพวกชาวประมงกลุ่มนั้นก็ไม่เข้าใจ
“จะทำยังไงได้? ในเวลานี้แล้ว จะล้มเลิกงั้นเหรอ?” ล่ายซิ่วฉินแสยะยิ้มพูด“ถึงยังไงก็มีสัตว์ป่ามากมายในป่าทึบนี้ ถึงเวลานั้น ฆ่าพวกเขาตายในป่าทันที สถานที่ห่างไกล ใครจะรู้เรื่องนี้?”
“แต่ว่า ฆ่าคนมากมายขนาดนั้น จะ……”ชาวประมงหนึ่งในนั้นสั่นเทา
เมื่อก่อนเจาะรูสองรูในเรือคายัค ยังไงก็แค่คนจมน้ำตาย พวกเขาไม่ต้องลงมือโดยตรง ตอนนี้เอามีดฟันคนในทันที ในใจของชาวประมงเหล่านั้นก็รู้สึกค่อนข้างหวาดกลัว
ยังไงซะ ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เคยทำเรื่องราวฆาตกรรมแบบนี้มาก่อน
“ถ้าหากแกกลัว ตอนนี้ก็ไสหัวกลับไปซะ จะได้แบ่งเงินน้อยลงคนหนึ่ง!” ล่ายซิ่วฉินยังคงพูดเหมือนเดิม และพูดอย่างเยือกเย็นว่า: “ถุงทองในกระเป๋าเป้ของเขา ก็เพียงพอสำหรับพวกเราทุกคนที่จะเพลิดเพลินกับความมั่งคั่งรุ่งเรืองไปตลอดชีวิต! ถ้าแกอยากกลับไปเป็นชาวประมงกระจอกๆ ก็ไสหัวไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ คนจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีจริงๆ!!”
เมื่อได้ยินคำสบประมาทของล่ายซิ่วฉิน ชาวประมงก็กัดฟันอย่างดุเดือด ขมวดคิ้วพูดว่า“แค่ฟันคนเท่านั้นเอง เหมือนกับว่ากูไม่กล้างั้นแหละ ฟันก็ฟัน!”
คนกลุ่มนี้ให้กำลังใจกันและกัน ต่อจากนั้นตามหลังของคนกลุ่มนั้นอย่างเงียบๆ และเข้าไปในป่าทึบ
อีกประมาณสิบห้านาทีต่อมา เรือของมู่เซิ่ง ก็มาถึงบริเวณเกาะอย่างเชื่อมช้า ชายชราหลี่ผูกเชือกใกล้ชายฝั่งและเทียบท่า
หลังจากที่มู่เซิ่งและคนอื่นๆกระโดดลงมา ชายชราหลี่พูดอย่างรวดเร็วว่า: “พวกคุณต้องระวังกันหน่อย เกาะนี้มีสัตว์ทะเลจริงๆ ปากสามารถกลืนกินเรือของพวกเราไปได้ในอึกเดียว ถ้าหากคุณอยากกลับไป รีบกลับไป ฉันจะมารับพวกคุณสี่โมงเย็น”
หลังจากที่ชายชราหลี่พูดจบ เห็นมู่เซิ่งและคนอื่นๆไม่ได้ตั้งใจที่จะกลับไป ถึงได้ถอนหายใจ และขับเรือออกไปอย่างช้าๆ
มู่เซิ่งหยิบแผนที่ออกมาเทียบอีกครั้ง ตอนนี้พวกเขาอยู่ใกล้ตำแหน่งของสมบัติมากแล้ว และวางตำแหน่งไว้ที่ใจกลางป่าทึบข้างหน้า
จะต้องจัดวางเครื่องจักรบางอย่างอยู่หน้าสมบัติอย่างแน่นอน ดังนั้นมู่เซิ่งก็ไม่กังวลว่าจะโดนเหมียวหงอวี่และคนอื่นเอาไป เหยาเผิงตามหลังมู่เซิ่งอย่างไม่เร่งรีบ กลับเป็นหยางฟางฟางที่สีหน้าดูกังวล ดวงตาโตคู่หนึ่งก็จ้องมองไปยังป่าทึบ ดูเหมือนจะเป็นห่วงทางที่ปรมาจารย์ก่วนและปรมาจารย์เตียวทั้งสองคนไป หลังจากที่ตามหาพวกเขาไม่เจอ หยางฟางฟางแทบจะรอคอยด้วยความวิตกกังวล
หลังจากที่เห็นฝีมือเหนือชั้นของปรมาจารย์ทั้งสองท่าน ในใจของเธอก็ตัดสินใจได้อย่างชัดเจน ปรมาจารย์ทั้งสองท่านนี้จะต้องช่วยเหลือตระกูลของพวกเธอ ก้าวผ่านความยากลำบากไปได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเธอคิดวิธีที่จะเชิญปรมาจารย์ทั้งสองท่านนี้กลับไปไม่ได้ รีบร้อนจนแทบจะเหมือนมดในกระทะร้อน
เมื่อเหยาเผิงเห็นสภาพนี้ของเธอ อดไม่ได้ที่จะพูดอยู่ข้างๆว่า: “หยางฟางฟาง เธอเสียใจใช่มั้ยที่อยู่กับพวกเรา?”
“เสียใจจะมีประโยชน์อะไร? ยิ่งไปกว่านั้น ฉันแค่อยากจะคุยกับปรมาจารย์ทั้งสองคน” หยางฟางฟางมองค้อนใส่เหยาเผิงแล้วพูด
“ปรมาจารย์ทั้งสองคนนั้น มีความสำคัญต่อเธอมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”เหยาเผิงก็ถามอีก
“เหลวไหล ความแข็งแกร่งของปรมาจารย์สองท่านนี้ ฉันได้เห็นเป็นครั้งแรก วาดยันต์กันน้ำ แม้แต่ในบรรดาปรมาจารย์บู๊ก็มีไม่กี่คนที่สามารถใช้ได้ ฉันจะต้องคุยกับปรมาจารย์ทั้งสองท่านนี้ก่อน” หยางฟางฟางพูดอย่างหงุดหงิด
เธอก็รู้ดีอยู่ในใจว่า ตามหาปรมาจารย์สองคนนี้ จะต้องทุ่มเทเสียสละมหาศาลอย่างแน่นอน
“ช่วยชีวิตตระกูลเหรอ? พูดให้เร็วกว่านี้นะ เธอขอร้องลูกพี่ของพวกเราก็ได้นะ? ความแข็งแกร่งของลูกพี่เรา สุดยอดกว่าไอ้แก่สองคนนั้นมากนะ สามารถบดขยี้พวกเขาให้ตายได้ด้วยการตบเพียงครั้งเดียว”เหยาเผิงพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ พูดไปด้วย ยังยืดอกไปด้วย ท่าทางนั้น ราวกับกำลังยกย่องตัวของเขาเอง
หยางฟางฟางได้ยินเหยาเผิงขี้โม้ได้สุดยอด อดไม่ได้ที่จะมองมู่เซิ่งแวบหนึ่ง
เห็นแค่มู่เซิ่งเอามือทั้งสองล้วงกระเป๋า เดินอยู่บนทางอย่างสบายๆ ไม่มีท่าทางของผู้สูงส่งเลยสักนิด อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยคำพูดของเหยาเผิง
อย่างมากที่สุดมู่เซิ่งนับได้ว่าเป็นคนธรรมดาที่สุดยอดเท่านั้นเอง ขนาดตัวของเขาเองก็ไม่ใช่ปรมาจารย์บู๊ ตบปรมาจารย์ก่วนและปรมาจารย์เตียวให้ตายในฝ่ามือเดียว เขาจะทำได้อย่างไร
“พอได้แล้ว เลิกขี้โม้ได้แล้ว”
หยางฟางฟางโบกมือ ไม่ต้องการที่จะโต้เถียงกับเหยาเผิงต่อไป
“ทำไมเธอไม่เชื่อล่ะ? ลูกพี่ของเรา สุดยอดมากจริงๆน่ะ”เหยาเผิงพูดพร่ำเพ้ออยู่ข้างๆ
หยางฟางฟางเร่งฝีเท้าอย่างใจร้อน ไม่อยากพูดกับเหยาเผิงแม้แต่คำเดียว หมอนี่บ้าไปแล้วหรือไง ปรมาจารย์ทั้งสองท่านเพิ่งจะแสดงฝีมือเหนือชั้น หมอนี่ยังบอกว่าสามารถบดขยี้ปรมาจารย์ทั้งสองท่านได้แบบตัวต่อตัว ถ้าคนอื่นได้ยินเรื่องนี้เข้า คาดว่าจบเห่แล้ว
และในเวลานี้ เหมียวหงอวี่และคนกลุ่มหนึ่ง ได้เข้าสู่ส่วนลึกของป่าทึบแล้ว
เหมียวหงอวี่ถือปืนไรเฟิลในมือ คนอื่นๆ ก็ถืออาวุธของแต่ละคน ตามอยู่ข้างหลัง บางอันเป็นธนูหน้าไม้ ถือหน้าไม้ที่มัดไว้ตั้งนาน ยิงในระยะประชิด พลังสังหารก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน
และปรมาจารย์สองคนเดินมาถึงตรงหน้าสุด ท่าทางสบายๆ ราวกับเข้าไปในดินแดนที่ไร้ผู้คน
ต้นไม้บนเกาะนี้ สูงเด่นเป็นสง่า บดบังแสงแดดด้านบน เมื่อเข้าไปในป่าทึบแล้ว อุณหภูมิโดยรอบจะเย็นลง ในที่ไม่ไกล จะเห็นหมอกบริเวณโดยรอบจางๆ
“หนาวจัง”มีคนตัวสั่น สภาพแวดล้อมโดยรอบหนาวเย็น และสัตว์หน้าตาประหลาดเหล่านั้น ทำให้เขาถึงกับเสียใจเล็กน้อย ถ้ารู้ก่อนก็ไม่ตามเข้ามาแล้ว
ในเวลานี้ ปรมาจารย์ก่วนที่เดินอยู่ข้างหน้าค่อยๆลืมตาขึ้นมา และพูดว่า: “ยินชี่ที่นี่หนักมาก อาจมีอสูรอยู่ ทุกคนต้องระวังตัวกันหน่อย ติดตามกันอย่างใกล้ชิด หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาใดๆ”
“อสูรเหรอ?” หลิวต้าเลี่ยงตัวสั่นเทา
อสูรนั้นดุร้ายกว่าสัตว์ป่าทั่วๆไปมาก เทียบเท่ากับปรมาจารย์บู๊ในหมู่นักบำเพ็ญ ในกลุ่มของพวกเขา ถ้าหากเจอกับอสูร งั้นจุดจบก็ต้องตายทางเดียว
“พี่น้อง ตามติดกันไว้ ถ้าตามไม่ทันเกิดอะไรขึ้น กูไม่สนใจนะโว้ย!” เหมียวหงอวี่หันหน้าไปตะโกน
“วางใจได้คุณชายเหมียว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราทำงานแบบนี้”ทหารรับจ้างเหล่านั้นยกอาวุธในมือขึ้น และพูดอย่างต่อเนื่อง
พวกเขาไม่ตะโกนไม่เป็นไร
ทันทีที่ตะโกน
“พรั่บ!”
ป่าที่อยู่ข้างหน้า ราวกับได้ผลกระเทือนอย่างกะทันหัน และคลื่นอากาศที่ทรงพลังอย่างยิ่งก็ระเบิดออกมา ราวกับว่ากองทหารนับพันพุ่งออกไป ต้นไม้ล้มลง และใบไม้ทยอยร่วงหล่นเหมือนเม็ดฝน
คนที่ถูกคลื่นลมพัดแรงจนลืมตาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“โฮกกกกกกกกก!”
ต่อจากนั้น เสียงคำรามแสบแก้วหู ดังมาจากส่วนลึกของป่าทึบ
“อสูรร้าย อสูรร้ายมาแล้ว!” เหมียวหงอวี่ตะโกนเสียงดัง สีหน้าของทุกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังของเขาในเวลานี้ ก็จริงจังเป็นอย่างมาก