มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 349 เหมียวหงอวี่กลับคำ จะทำให้นายไม่มีชีวิตกลับไปได้อีก?
“ปังปังปังงงงง! ”
เหมียวหงอวี่ยิงปืนใส่สี่นัดอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากที่ยิงปืนสี่นัดไปแล้ว ภายในบริเวณป่าทึบทั้งหมด ก็พลันเงียบกริบลงอย่างสิ้นเชิง
“ตาย ตายแล้วเหรอ? ”
พวกชาวประมงต่างก็หยุดชะงักลงอย่างสงบนิ่งในระยะไกล ราวกับว่าสูญสิ้นความสามารถในการนึกคิดอะไรขึ้นอย่างเฉียบพลัน ในหัวสมองว่างเปล่าไปหมด หลังจากนี้ควรจะพูดอะไรต่อ ควรจะทำอะไรต่อไปก็ไม่รู้แล้ว
“พวกแม่งสิ แต่ละคนต่างก็คิดว่าฉันน่ารังแกนักใช่หรือไม่? มาสิ เข้ามาแย่งชิงสิ ฉันจะบอกนายว่า ผลชนิดนี้ มีมูลค่านับล้านนับสิบล้าน! ” เหมียวหงอวี่แกว่งปืนซุ่มยิงไปมาพร้อมกับพูดดุด่าขึ้น
มูลค่านับสิบล้าน?
มีคนที่ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ผลลูกหนึ่งนี้ มีมูลค่ามากมายขนาดนี้จริงเหรอเนี่ย?
แม้ว่าล่ายซิ่วฉินกับจงหนิงจะตายไปแล้ว แต่พวกเขาต่างก็มาที่เพราะเงินทอง สิ่งนี้มีมูลค่านับสิบล้าน แค่เอาไปหนึ่งลูก มิต้องพูดถึงว่าชั่วชีวิตนี้ ต่อให้กี่ชั่วชีวิตก็อยู่อย่างสุขสบายไร้กังวลแล้ว
จะแย่งหรือไม่แย่งดี?
ลูกน้องกี่คนที่อยู่ด้านหลังเห็นว่าเรื่องราวกำลังดำเนินไปในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ จึงรีบขึ้นมาด้านหน้าและลากแขนของเหมียวหงอวี่ และพูดว่า: “คุณชายเหมียว พอได้แล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ”
“คุณชายเหมียว อย่าได้ยิงปืนอีกเลย หากว่าดึงดูดให้อสูรร้ายมากันอีกจะทำอย่างไร? ” หลิวต้าเลี่ยงเองก็หวั่นวิตกอย่างมาก
“กลัวอะไร มีปืนอยู่ มาตัวหนึ่งฉันก็จะยิงตัวหนึ่ง! ” ชัดเจนว่าเหมียวหงอวี่ได้ทำการสังหารอย่างเลือดขึ้นหน้าแล้ว โดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว พร้อมกับยิงปืนซุ่มยิงขึ้นบนฟ้าอย่างหนำใจ
กี่คนนี้ได้รีบแย่งปืนซุ่มยิงมาจากมือของเหมียวหงอวี่ จากนั้นก็วิ่งออกไปด้านนอกของป่าทึบ หลังจากที่ผลักเรือคายัคลงไปในทะเลแล้ว กี่คนนั้นก็กระโดดลงไปบนเรือคายัค อย่างเบียดเสียดกัน
ต้องจำยอม เพราะพวกเขาได้ให้เรือคายัคลำหนึ่งกับมู่เซิ่งแล้ว ลำที่เหลือนี้ก็มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก โชคดีที่ขึ้นมาบนเรือเพียงไม่กี่คน พวกเขาจึงสามารถพอที่จะนั่งเบียดเสียดกันไปได้
“คุณชายเหมียว ตอนนี้พวกเราควรจะทำอย่างไรดี? หลังจากที่กลับไปถึงแล้ว จะต้องนำอาวุธเสวียนมอบให้กับมู่เซิ่งอย่างนั้นเหรอ? ” หลิวต้าเลี่ยงที่นั่งอยู่บนเรือคายัค สอบถามขึ้นอย่างตื่นตระหนก
เหมียวหงอวี่ยิงปืนสองนัดติดต่อกัน ระเบิดศีรษะของแม่ลูกคู่นั้น จนจิตใจหุนหันพลังเลือดปั่นป่วน และได้ตะโกนดุด่าขึ้นว่า: “ปรมาจารย์บ้าบออะไรกัน แม้มู่เซิ่งเขาจะเก่งกาจแล้วอย่างไรล่ะ? มันคุ้มเหรอที่ฉันจะยอมนำอาวุธเสวียนไปผูกมิตรกับเขา? ยิ่งไปกว่านั้น ฉันมีคุณสมบัติพอที่จะไปเอาอาวุธเสวียนมาได้งั้นเหรอ? ”
“อาวุธเสวียนหนึ่งชิ้น ราคาประมูลในท้องตลาดนั้น สูงเกินกว่าหมื่นล้านเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นอาวุธเสวียนชิ้นนี้ในมือของฉัน มีมูลค่าที่สูงกว่านั้นอีก ซึ่งอย่างน้อยก็แสนกว่าล้าน! ”
“สามหมื่นล้าน ก็เพียงพอที่จะเชิญนักเสวียนคนหนึ่งมาปกป้องคุ้มครองฉันแล้ว ต่อให้มู่เซิ่งจะเก่งกาจแค่ไหน เขาก็เป็นแค่นักเสวียนคนหนึ่งเท่านั้น อีกทั้ง ฉันบอกว่าจะให้อาวุธเสวียนกับเขา แล้วไหนหลักฐานลายลักษณ์อักษรล่ะ? คลิปอัดเสียงล่ะ? สัญญาล่ะ? ไม่มีอะไรสักอย่าง หากฉันพูดว่าไม่เคยพูดคำนี้ออกไปเลย แล้วเขาจะทำอะไรได้? ”
“แต่ว่า……” ดวงตาของหลิวต้าเลี่ยงแฝงไปด้วยความหวาดกลัว
เขามีคำพูดหนึ่ง ที่ติดค้างอยู่ในใจไม่ได้พูดมาโดยตลอด
แม้ว่าเหมียวหงอวี่จะไม่ได้ลงลายลักษณ์อักษรให้กับมู่เซิ่ง แต่ในสายตาของเขาแล้ว หากว่าใช้สัญญาลายลักษณ์อักษรเหล่านี้มาควบคุมนักเสวียน มันคงน่าตลกขำขันอย่างที่สุด
“แต่ว่าอะไร? เขาแข็งแกร่งแล้วยังไง ฉันไม่เคยพูดคำนี้มาก่อน เขาเองก็ไม่สามารถบังคับให้ฉันมอบอาวุธเสวียนออกมาได้ ต่อให้เขาจะมาไม้แข็ง นายเชื่อไหมว่าฉันยอมจ่ายห้าหมื่นล้าน เพื่อเชิญนักเสวียนสองคนมาคอยปกป้องคุ้มครอง แล้วไอ้หนุ่มนั่นยังจะกล้าลงมือกับฉันอีกอย่างนั้นเหรอ? ” เหมียวหงอวี่พูดขึ้นอย่างโอ้อวด
ห้าหมื่นล้าน แม้ว่าเขาจะทำให้ตระกูลเหมียวถึงกับเสียขวัญกําลังใจอย่างรุนแรง แต่ก็ยังดีกว่าถูกคนอื่นเอาอาวุธเสวียนไปไหมล่ะ หากว่าสมบัติล้ำค่าประจำตระกูลถูกมู่เซิ่งเอาไปแล้ว อย่างนั้นตระกูลเหมียวของพวกเขา ก็ถือว่าแตกแยกกันไปจริง ๆ แล้ว
“ฮึ มู่เซิ่งเขาไม่มาก็ดีไป หากว่ามาถึงแล้ว ก็อยู่ที่ตระกูลเหมียวของพวกเราอย่าได้กลับไปอีกแล้ว! เขาต้องการอาวุธเสวียนของพวกเรา ฉันเองก็ต้องการอสูรเสวียนล้ำค่าในร่างของเขาเหมือนกัน! ”
“หลิวต้าเลี่ยง เมื่อนายกลับไปถึงแล้วก็จงใจกระจายข่าวออกไปให้ทั่ว โดยป่าวประกาศว่าไอ้ขยะคนหนึ่งที่ชื่อว่ามู่เซิ่งได้รับสมบัติล้ำค่าทั้งหมดในตัวของมังกรคะนองน้ำยักษ์ ซึ่งมีมูลค่าเกินกว่าหมื่นล้าน ข่าวสารนี้ยิ่งแพร่กระจายออกไปกว้างขวางเท่าไรก็ยิ่งดี ถ้าจะดีที่สุดก็ต้องกระจายไปถึงหูของพวกกลุ่มพันธมิตรนักเสวียนด้วย”
ขณะที่เหมียวหงอวี่พูด สายตาที่เจ้าเล่ห์ร้ายกาจของเขานั้น กลับยิ่งเข้มข้นหนักขึ้น
กลุ่มพันธมิตรนักเสวียน แม้ว่าจะเป็นสถานที่ที่นักเสวียนแลกเปลี่ยนการบำเพ็ญฝึกฝนกัน แต่สถานที่ใดที่มีคน ก็จะมีกลุ่มสังคม ในบรรดานักเสวียน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีพวกที่โลภในเงินทองและลุ่มหลงในตัณหาสักหน่อย หากพวกเขาได้ยินว่ามู่เซิ่งที่มีพลังความสามารถไม่แข็งแกร่งนั้นได้รับสมบัติล้ำค่ามากมายขนาดนี้ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนโลภเกิดความต้องการในสิ่งนั้น
หากว่าอาศัยโอกาสนี้กำจัดมู่เซิ่งให้เสร็จสิ้นไปแล้ว ก็จะดีอย่างที่สุด แม้ว่าจะกำจัดไม่เสร็จสิ้น แต่เมื่อมู่เซิ่งมาถึงที่ตระกูล ก็จะทำให้เขาไม่มีชีวิตกลับไปอีกครั้ง!
……
เวลานี้
บนผิวทะเลที่มีคลื่นลม เรือคายัคลำหนึ่งกำลังโลดแล่นอยู่
“ลูกพี่ ฉันซื้อตั๋วเรือกลับเจียงหนานเรียบร้อยแล้ว อีกประมาณสามชั่วโมงก็จะถึงแล้ว” เหยาเผิงพูดขึ้น
“ทำได้ไม่เลว” มู่เซิ่งพยักหน้า
ถึงเวลาที่เขาจะต้องรีบกลับไปแล้ว ไม่อย่างนั้น เจียงหว่านจะเป็นห่วง
“ใช่แล้วลูกพี่ แล้วเหมียวหงอวี่ล่ะ? จะปล่อยเขาไปแบบนี้เลยเหรอ หากต่อไปเขาไม่ยอมรับในสิ่งที่สัญญาเอาไว้จะทำอย่างไร? ” เหยาเผิงอดไม่ได้จึงพูดคาดเดาขึ้น
เพราะนั่นเป็นถึงอาวุธเสวียนเลยนะ เป็นอาวุธที่นักเสวียนต่างก็อยากได้กันทั้งนั้น เพื่อให้ได้ครอบครองอาวุธชิ้นนี้ เรื่องการฆ่าคนแย่งชิงอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งหมด มิต้องเอ่ยถึงว่ากลับคืนคำหรอก สำหรับตระกูลเหมียวแล้ว คงจะไม่รู้สึกเจ็บคันอะไรเลย
มู่เซิ่งยิ้มและพูดขึ้นว่า: “จะยอมรับทำตามข้อตกลงหรือไม่นั้นไม่เป็นไร เพียงแค่ตระกูลเหมียวยังคงอยู่ ฉันก็จะนำเอาสิ่งของที่เป็นของฉันมา ส่วนศีรษะของเหมียวหงอวี่นั้น ฉันก็แค่วางทิ้งเอาไว้บนลำคอของเขาอีกหนึ่งเดือนก็เท่านั้น”
เมื่อได้ยินเสียงพูดที่สงบนิ่งของมู่เซิ่งแล้ว เหยาเผิงก็ไม่กังวลใจอีกต่อไป ใช่เลย ตระกูลเหมียวไม่ใช่คู่ต่อกรของมู่เซิ่งอยู่แล้ว เขาจะยอมรับทำตามข้อตกลงหรือไม่นั้นมันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน? ถ้าหากตระกูลเหมียวกล้าที่จะตอบโต้ อย่างนั้นสิ่งที่รอต้อนเขาพวกเขาอยู่ ก็คือภัยพิบัติหายนะครั้งใหญ่
หยางฟางฟางที่อยู่ด้านข้างซึ่งไม่ได้พูดจาอะไรมาตลอดนั้น ก็เผยอริมฝีปากแดงของเธอขึ้นเล็กน้อย
นับแต่ที่มังกรคะนองน้ำยักษ์ตายลงไป เธอก็เงียบไม่เอ่ยปากอะไรมาโดยตลอด ในใจของเธอยังคงหลงเหลือภาพเหตุการณ์ที่มู่เซิ่งใช้พลังหมัดชกเข้าใส่ศีรษะของมังกรคะนองน้ำยักษ์จนแตกสลาย ซึ่งยากที่จะลืมเลือนมันไปได้
อีกอย่างหนึ่งคือ หยางฟางฟางกำลังคิดมาตลอดว่า ควรจะใช้วิธีการอะไรที่จะสามารถเชิญมู่เซิ่งให้ไปช่วยเหลือเธอได้ ความคิดที่พัวพันซับซ้อนนี้ ช่างคล้ายกับก่อนหน้านี้ตอนที่เชิญปรมาจารย์สองคนเลย
สามชั่วโมงผ่านไป เรือสำราญขนาดใหญ่ลำหนึ่งก็ค่อย ๆ ขับเคลื่อนมา ซึ่งเรือที่เหยาเผิงเรียกมาก็ยังคงเป็นเรือสำราญจางหมายเลขเจ็ดเหมือนเดิม
เมื่อขึ้นมาบนเรือแล้ว เหยาเผิงก็ได้เรียกพนักงานมาเพื่อขอซื้อกระเป๋าเดินทางใบใหญ่หนึ่งใบ จากนั้นก็ได้นำพวกเกล็ด ดวงตา และเขาที่เป็นส่วนล้ำค่าที่สุดของมังกรคะนองน้ำยักษ์ออกมาชำระล้าง และบรรจุใส่ลงไปในกระเป๋าเดินทาง จากนั้นก็หยิบผลมรกตทีละลูก มาห่อด้วยโฟม และจัดเก็บไว้อย่างระมัดระวัง
“แหะแหะ ลูกพี่ ผลมรกตนี้ช่างสุดยอดเสียจริง เมื่อครู่ฉันกินไปหนึ่งลูก รู้สึกว่าทั้งร่างกายเต็มไปด้วยพละกำลัง รอยแผลที่ฉันผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบในตอนเด็กนั้น ไม่นึกว่าจะหายดีขึ้นแล้ว” เหยาเผิงเช็ดน้ำลาย แสดงท่าทางว่ายังจะต้องการอีก
หยางฟางฟางเองก็ดวงตาเป็นประกาย แม้เธอจะไม่เคยกินผลมรกต แต่สามารถรับรู้ได้จากเหยาเผิงว่า นี่คงเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างแน่นอน
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับมู่เซิ่งนั้นไม่ได้สนิทสนมกันอย่างกับเหยาเผิง จึงเกรงใจไม่กล้าที่จะเข้าไปขอผลมรกตมาบ้าง
“นี่คือผลที่ใช้สำหรับรักษาบาดแผล ตอนนี้ร่างกายของนายไม่มีบาดแผล เมื่อกินเข้าไปแล้ว อย่างมากก็จะทำให้นายมีพลังวังชาที่สมบูรณ์ขึ้น” มู่เซิ่งส่ายศีรษะและพูดว่า: “นำเตากลั่นยาของฉันมาให้หน่อย ฉันจะกลั่นยาที่นี่”
ก่อนหน้านี้เขาก็นำพาสิ่งของมาไม่น้อย เพียงแต่วางไว้บนเรือ ไม่ได้นำติดตัวลงไปก็เท่านั้นเอง
“กลั่นยา? ”
เหยาเผิงได้ยินคำพูดนี้ ก็อ้าปากค้าง ปิดหุบไม่ลงแล้ว
“ลูกพี่ ท่าน……ท่านยังกลั่นยาเป็นด้วยเหรอ? ”