มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 354 เป็นแฟนของฉัน
เมื่อพูดคำนี้ออกไป ทุกคนภายในห้อง ต่างก็ตกตะลึงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
มู่เซิ่งเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดแบบนี้ออกมา ก็แค่จะหยอกล้อกับเจียงหว่านเท่านั้น
เพราะว่าช่วงเวลาที่ออกไปจากเกาะสองใจนั้น เขาเองก็นอนคนเดียวบนเรือสำราญมาโดยตลอด อยู่ด้านนอกมาเป็นเวลานาน ก็อดที่จะคิดถึงเจียงหว่านไม่ได้ ดังนั้นทุกคืนที่นอนไม่หลับนั้น มู่เซิ่งก็จะคิดว่า ถ้าหากเจียงหว่านนอนอยู่ข้างกายเขา ก็คงจะดีมากทีเดียว
ครั้นแล้วในครั้งนี้ เขาก็เอ่ยปากพูดมันขึ้นมาอย่างที่ไม่รู้ตัว
เจียงหว่านแก้มแดงก่ำไปหมด ไม่กล้าที่จะมองตรงไปที่ดวงตาของมู่เซิ่ง
ที่จริงแล้วในใจของเจียงหว่าน เธอเองก็หวังว่ามู่เซิ่งจะกระตือรือร้นเป็นฝ่ายรุกหน่อย แต่ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายรุกแล้ว เจียงหว่านก็เขินอายขึ้นมา ต้องพูดเลยว่า ผู้หญิงคือสิ่งมีชีวิตที่มีความขัดแย้งในตัวเองมาก ในตอนที่มู่เซิ่งยังเมินเฉยไม่เข้าใจนั้น ตัวเองก็อยากที่จะเป็นฝ่ายรุกเข้าไปหา แต่ตอนนี้กลับไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความต้องการในใจของตัวเองแล้ว
เจียงหว่านเม้มกัดริมฝีปากที่ชุ่มชื้น และพูดเบา ๆ ว่า: “ฉันตกลงกับคุณได้ แต่คุณต้องไปช่วยเหลือเพื่อนสนิทของฉันให้เสร็จสิ้นเสียก่อน มิเช่นนั้น คำพูดนี้ก็ถือว่าไม่มีผล”
คำพูดนี้ของเจียงหว่านได้กระตุ้นให้มู่เซิ่งมีเลือดสูบฉีดอย่างรุนแรง เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อพูดแบบนี้ออกไปจะถูกเจียงหว่านเหยียดหยามใส่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เธอได้ตอบตกลงแล้ว เขาจึงอยากที่จะออกเดินทางไปกับหยางฟางฟางในตอนนี้เลย เพื่อจัดการเรื่องราวของหล่อนให้เสร็จสิ้นลง
“นี่คือสิ่งที่คุณพูดเองนะ อย่าได้คืนคำล่ะ” มู่เซิ่งรีบพูดขึ้น
เมื่อเห็นท่าทางของมู่เซิ่งแล้ว เจียงหว่านก็เกิดความกลัวขึ้น หากเมื่อถึงเวลานั้น ตอนอยู่ในผ้าห่มแล้วมู่เซิ่งต้องการจะมีอะไรด้วย เธอจะตกลงดีไหม หรือว่าไม่ตกลงล่ะ?
พวกเธอแต่งงานกันมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแบบสามีภรรยาเลย แบบนี้เหมือนกับว่ามันก็เกินไป
“รอให้คุณจัดการธุระเสร็จแล้วค่อยมาว่ากัน” เจียงหว่านพูดขึ้นอย่างใจฝ่อ
แต่สำหรับมู่เซิ่งแล้ว เรื่องนี้ ถือว่าตกลงแล้ว ด้วยพลังความสามารถของเขา แม้ว่าจะมีนักเสวียนสิบคนยืนเรียงอยู่เบื้องหน้าของเขา เขาก็ยังสามารถสังหารลงได้อย่างราบคาบ
กลางคืน มู่เซิ่งก็เข้านอนอย่างตื่นเต้นดีใจ
เช้าวันต่อมา เจียงหว่านตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงาน แต่วันนี้เธอได้ขอลาหยุดงานครึ่งวัน ช่วงบ่ายจะขอเลิกงานกลับก่อน เพราะในตอนกลางคืน จะต้องไปเข้าร่วมพิธีเปิดบ้านเอื้อเฟื้อกับมู่เซิ่ง
นี่ไม่ใช่เหตุผลที่มู่เซิ่งอยากจะไปเข้าร่วม แต่เป็นเพราะบ้านเอื้อเฟื้อนี้คือความต้องการของมู่เซิ่ง ดังนั้นตระกูลกู่จึงตั้งใจจัดขึ้นอย่างสุดกำลัง ทุกบริษัทในเมืองเจียงหนานที่มีมูลค่าเกินหลักร้อยล้าน ต่างก็ได้รับเชิญจากพวกเขาทั้งหมด เพื่อไปเข้าร่วมพิธีเปิดบ้านเอื้อเฟื้อแห่งนี้
การเชื้อเชิญของตระกูลกู่ ทำให้พวกบริษัทเหล่านั้นพากันตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุด จะกล้าไม่ไปเข้าร่วมงานได้อย่างไรล่ะ แน่นอนว่าแต่ละบริษัทก็ตอบรับไปเข้าร่วมงานกันทั้งหมด
สำหรับเจียงหว่านนั้น เธอได้สอบถามทางตระกูลกู่ ว่าสามารถที่จะพาสามีของตัวเองมาด้วยได้หรือไม่ กู่มู่สวีนนึกว่าเป็นความต้องการของมู่เซิ่ง จึงรีบพยักหน้าทันที และบอกว่าเชิญมู่เซิ่งให้มาร่วมงานด้วย
ดังนั้น มู่เซิ่งที่เดิมทีคิดว่าวันรุ่งขึ้นจะไปช่วยเหลือทางหยางฟางฟางนั่น แต่เป็นเพราะเรื่องนี้ จึงต้องล่าช้าอยู่ที่นี่แล้ว
ตอนเช้าที่มู่เซิ่งตื่นขึ้นมา ก็เห็นประตูห้องปิดไม่มิด ในห้องครัวมีกลิ่นหอมฟุ้งออกมาเป็นระยะ ดูเหมือนว่าเจียงหว่านได้ทำอาหารเช้าเอาไว้แล้ว
ขณะที่มู่เซิ่งเดินออกมาจากห้องนั้น ก็มีความรู้สึกที่น่าทึ่ง หลังจากที่ได้กินยาชำระล้างไขกระดูกขนาดเล็กเข้าไปแล้ว สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ร่างกายของเจียงหว่านมาโดยตลอด แต่ตอนนี้สังเกตเห็นหยางฟางฟาง จึงเกิดแรงกระตุ้นแบบใหม่ขึ้น
นั่นเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเกาะ สภาพแวดล้อมเลวร้าย จึงทำให้หยางฟางฟางดูกระเซอะกระเซิงตลอดเวลา กอปรกับประสิทธิภาพของยาชำระล้างไขกระดูกขนาดเล็กที่ดีอย่างน่าทึ่งนั้น จึงทำให้เธอกลายมาอยู่ในสภาพนี้
พูดตามตรงว่า รูปลักษณ์ของหยางฟางฟางนั้น นอกจากเจียงหว่านแล้ว จัดอยู่ในสามลำดับแรก ในจำนวนคนที่มู่เซิ่งเคยพบเจอมาก่อน
หยางฟางฟางเห็นมู่เซิ่งมองดูที่ตัวเธอแล้วก็ตกตะลึง เธอเองนั้นไม่ได้แปลกใจสักเท่าไร ตรงกันข้าม ผู้ชายที่แสดงพฤติกรรมแบบนี้กับเธอนั้น ก็มีจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว เธอเคยชินกับมันแล้ว
“ก่อนหน้านี้ ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงของไอ้ขยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองเจียงหนาน แต่เมื่อคืน ตอนที่ฉันพูดคุยเปิดใจกับเจียงหว่านแล้วนั้นก็พบว่า เรื่องนี้ไม่เหมือนกับคำที่เล่าลือกันอย่างนั้นเลย เดิมทีฉันยังกังวลว่าเพื่อนสนิทของฉันจะมีชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นสุข แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า กลับตรงกันข้ามทีเดียว” หยางฟางฟางนั่งอยู่บนโซฟา และพูดขึ้นอย่างปลดปลง
“เรื่องราวที่ล่ำลือกันด้านนอกนั้น ไม่ใช่ว่าจะเป็นความจริงเสมอไป ก็เหมือนกับว่าเจียงหว่านไม่เคยรู้ถึงพลังความสามารถที่แท้จริงของฉัน ถึงขนาดที่ในตอนนี้เธอยังนึกว่าฉันไม่เป็นวิชาบู๊อะไรเลย แต่นั่นมันไปเกี่ยวข้องอะไร กับที่ว่าเธอจะมีความสุขหรือไม่? ” มู่เซิ่งพูดขึ้นหลังจากที่ตั้งสติกลับคืนมาได้
หยางฟางฟางพยักหน้า อย่างไม่ปฏิเสธ
เรื่องที่มู่เซิ่งเป็นนักเสวียนนี้ เมื่อคืนเธอได้ตั้งใจลองสอบถามเจียงหว่านดูแล้ว แต่เจียงหว่านกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เธอจึงสามารถตัดสินได้เลยว่า พลังความสามารถของมู่เซิ่งรวมถึงเบื้องหลัง เจียงหว่านไม่รู้อะไรเลย
แต่ไม่ใช่ว่ามู่เซิ่งไม่ต้องการที่จะบอกเจียงหว่าน แต่ว่าเรื่องนี้ ยังขาดโอกาสที่เหมาะสม
หยางฟางฟางเปลี่ยนท่านั่งบนโซฟา ขณะที่เธอยกขาขึ้น แล้วเอนพิงไปที่โซฟานั้น ก็เผยให้เห็นท่อนขาที่ขาวนวล น่าหลงใหล จากนั้น เธอก็ตีไปยังบริเวณด้านข้าง เหมือนบอกให้มู่เซิ่งมานั่งลง
มู่เซิ่งอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น
เขารู้สึกว่าภาพลักษณ์ของหยางฟางฟางในช่วงก่อนหน้านี้ เป็นผู้หญิงขี้อายและมีจิตใจดีงามอย่างมาก แต่หยางฟางฟางในตอนนี้ กลับแสดงออกถึงความมั่นอกมั่นใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเปรียบเทียบกับหยางฟางฟางตอนอยู่บนเกาะที่ทั้งกลัวและไม่กล้าจะพูดคุยกับเขานั้น มันช่างแตกต่างกันเหมือนกับคนสองประเภทโดยสิ้นเชิง
ลักษณะท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนั้น ทำให้มู่เซิ่งแอบรู้สึกว่ามีอะไรที่ชอบมาพากล
มู่เซิ่งไม่ได้นั่งลงไปที่ด้านข้างของหยางฟางฟาง แต่นั่งลงบนโซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และพูดขึ้นว่า: “ถ้าเธอต้องการที่จะขอบคุณฉัน เพราะฉันช่วยเหลือเธอนั้น มันไม่จำเป็นหรอก ที่ฉันช่วยเหลือเธอก็เพราะเจียงหว่าน”
คำพูดนี้ทำให้หยางฟางฟางตะลึงไปชั่วขณะ และเม้มที่มุมปาก “ฮึ เพิ่งจะเตรียมคำพูดขอบคุณมาทั้งช่วงเช้า ตอนนี้ดูเหมือนนายจะไม่ต้องการ งั้นฉันก็ไม่พูดแล้ว”
“แล้วเธอยังมีเรื่องอื่นอะไรอีกไหม? ” มู่เซิ่งถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
ถ้าหยางฟางฟางมาหาเขาก็เพราะต้องการจะขอบคุณเท่านั้นล่ะก็ เกรงว่าคงจะไม่ต้องยุ่งยากวุ่นวายมากขนาดนี้หรอก
“เรื่องนี้ฉันยังไม่ได้พูดคุยกับเจียงหว่าน แม้ว่านายจะไม่ตกลง ก็อย่าได้ไปบอกให้เจียงหว่านรับรู้ได้ไหม? ” หยางฟางฟางพูดขึ้น
“เรื่องอะไรเหรอ? เธอพูดออกมาก่อนสิ แล้วฉันจะพิจารณาตัดสินอีกที” มู่เซิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก
ถ้าหากว่า หยางฟางฟางมีความคิดอะไรที่ไม่ดีต่อเจียงหว่านแล้ว เขาก็ไม่อนุญาตให้หยางฟางฟางอยู่ข้างกายเจียงหว่านอีกต่อไปได้ แม้ว่าทั้งสองคนจะมีสัมพันธภาพที่ลึกซึ้งมากเพียงใด
“ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีกับเจียงหว่านแน่นอน ฉันก็แค่กลัวหล่อนคิดมากเกินไป ถึงคุยกับนายไงล่ะ นายก็อย่าได้ไปบอกกับหล่อนเลย” หยางฟางฟางพูดขึ้น: “หากนายไม่ตกลง งั้นฉันก็ไม่พูดแล้ว”
ภายใต้สภาวะที่ทำอะไรไม่ถูก มู่เซิ่งทำได้แค่พยักหน้าและพูดว่า: “ตกลง ฉันสัญญากับเธอว่าจะไม่ไปบอกกับเจียงหว่าน แล้วมันคือเรื่องอะไรกัน เธอคงพูดออกมาได้แล้วสินะ? ”
ได้ยินคำตกลงจากมู่เซิ่ง หยางฟางฟางจึงพยักหน้า จากนั้น เธอก็พลันลุกยืนขึ้น ร่างกายที่อวบอิ่มได้เผยให้เห็นขึ้นภายใต้เสื้อเชิ้ตบาง ๆ อย่างเด่นชัด เธอค่อย ๆ เข้ามาใกล้มู่เซิ่ง และแนบชิดไปที่ข้างหูของมู่เซิ่งพร้อมกับถามว่า: “มู่เซิ่ง นายมาเป็นแฟนของฉันได้ไหม? ”