มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 355 หยางฟางฟางที่แปลกประหลาด
เมื่อเห็นสีหน้าที่ประหม่าของมู่เซิ่งแล้ว หยางฟางฟางก็รีบพูดต่อว่า: “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่เป็นเพราะเรื่องในตระกูลของฉัน ที่ทำให้ฉันตกอยู่ในสภาพที่ยากลำบากมาโดยตลอด ฉันจำเป็นต้องเชิญผู้ที่มีพลังความสามารถคนหนึ่งกลับไป แต่ว่า ฉันเองก็ไม่รู้จะใช้ข้ออ้างอะไรเพื่อบอกกับคนในตระกูล ที่ฉันได้เชิญนายกลับมา ซึ่งคิดไปคิดมาแล้ว การที่บอกว่าเป็นแฟนกันน่าจะเป็นข้ออ้างที่เหมาะสมที่สุด”
“ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากนายอาศัยสถานะว่าเป็นแฟนแล้วกลับไปกับฉันล่ะก็ เพียงแค่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้แล้ว ต่อไปในตระกูล ฉันก็คงจะมีเกียรติมีสถานะหน้าตาที่สูงขึ้นบ้างแล้ว”
พูดถึงตอนสุดท้าย ใบหน้าของหยางฟางฟาง ก็แสดงถึงสีหน้าที่เศร้าโศกขึ้นเล็กน้อย
ในตระกูลของเธอนั้น เธอเองได้รับความไม่ชอบธรรมมากมายเสียจริง
มิเช่นนั้น เธอก็คงจะไม่คิดวิธีการที่จะให้มู่เซิ่งปลอมตัวเป็นแฟนของตัวเองเป็นแน่ เพื่อยกระดับสถานะของเธอในตระกูล
มู่เซิ่งมีสีหน้าเปลี่ยนกลับไปเป็นปกติ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เมื่อนึกถึงที่ตนเองได้ตกลงกับเจียงหว่านเอาไว้ว่าจะจัดการแก้ไขปัญหาให้เสร็จสิ้น จึงพยักหน้าและพูดว่า: “ก็ได้ แต่ก็แค่เป็นแฟนกันเท่านั้นนะ เมื่ออยู่ภายในห้องพวกเราก็แยกนอนกันตามลำพัง”
“ไร้สาระ นายคิดว่าฉันคิดจะจีบนายจริง ๆ เหรอ? ” หยางฟางฟางแอบบ่นพึมพำ และพูดว่า: “ที่ฉันชอบนั้น คือเจียงหว่านต่างหากล่ะ! ”
คำพูดนี้ถึงกับทำให้มู่เซิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
หรือว่า หยางฟางฟางคนนี้ จะเป็นหญิงรักร่วมเพศ?
แม่งสิ
เรื่องราวแบบนี้มู่เซิ่งเคยพบเจอแต่ในหนังสือเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเขาเองจะประสบพบเจอกับตัวเข้าแล้ว
“หยุดคิดมั่วซั่วได้แล้ว ฉันก็แค่อยากจะแสดงออกว่าไม่สนใจในตัวนายก็เท่านั้น แม้ว่าในตอนสมัยเรียนมัธยมปลาย ฉันจะเคยนอนกอดเจียงหว่านมาแล้วก็ตาม” หยางฟางฟางพูดขึ้นพร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตา
แต่ทว่าคำพูดของเธอนี้ กลับยิ่งทำให้มู่เซิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น
หยางฟางฟางเองก็รู้ว่าหากพูดแบบนี้ต่อไป มีแนวโน้มว่ายิ่งพูดก็ยิ่งหนักหนาขึ้นไปอีก จึงรีบเผ่นหนีไปพร้อมด้วยหน้าตาที่แดงก่ำ
มองไปที่เงาหลังของหยางฟางฟาง มู่เซิ่งเองก็ยังคงจมปลักอยู่ในความคิดนั้นอย่างโงหัวไม่ขึ้น เขาไม่อยากให้เจียงหว่านถูกผู้หญิงคนหนึ่งแย่งชิงตัวไป เพราะเรื่องราวลักษณะนี้ ผู้หญิงจะมีความได้เปรียบตามธรรมชาติอย่างแน่นอน
“ฉันจะต้องรีบจัดการเจียงหว่านให้อยู่หมัดเสียแล้ว ดีที่สุดเมื่อรอให้เรื่องนี้เสร็จสิ้นลง ก็จะจัดเตรียมงานแต่งขึ้นที่เมืองเยียนจิง แล้วพากลับไปพบเจอพ่อของฉัน” มู่เซิ่งพูดพึมพำขึ้น
เมื่อเลิกงานแล้ว เจียงหว่านก็สวมใส่ชุดราตรีที่กระชับพอดีตัว และพามู่เซิ่ง ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงการกุศลของบ้านเอื้อเฟื้อ
มู่เซิ่งเองก็คาดหวังตั้งตารอดูว่า พวกเด็กน้อยเหล่านั้น ตอนนี้จะมีชีวิตมีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง
เวลานี้ ที่หน้าประตูงานเลี้ยง ก็มีผู้คนมากันไม่น้อยแล้ว แม้แต่จ้าวหลินก็ยังมาถึงตั้งนานแล้ว เพราะว่าตระกูลจ้าวของพวกเขาต่างก็เข้าร่วมงานสังสรรค์ระดับสูงแบบนี้อยู่แล้ว เธอจึงต้องมาถึงก่อนล่วงหน้า ยืนที่หน้าประตู โดยเธอนั้นสวมใส่ชุดที่งดงามอย่างเวอร์วัง และพูดคุยอยู่กับผู้หญิงคนอื่นที่มาร่วมงาน
ตั้งแต่ที่เจียงหว่านสืบทอดบริษัทเป็นต้นมา จ้าวหลินก็เริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นผู้หญิงในสังคมชั้นสูง โดยทุกวันก็จะพูดคุยกับพวกคุณหญิงของตระกูลอันดับหนึ่งที่ก่อนหน้านี้พบเจอหน้าก็ยังไม่กล้าพูดคุยด้วย ซึ่งทางเจียงหว่านเองก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร เพราะยังดีเสียกว่าที่จะให้จ้าวหลินมาจับผิดตัวเธอกับมู่เซิ่งอยู่ทุกวี่ทุกวัน
“จ้าวหลิน ลูกสาวของเธอทำไมถึงยังไม่มาล่ะ หล่อนคงจะไม่วางท่าถือตัวขนาดนั้นหรอกนะ? ”
ผู้หญิงตระกูลจ้าวคนหนึ่งสอบถามขึ้น
“โธ่ นี่เรียกว่าโชคชะตาผันแปรไม่ได้เข้าข้างใครคนเดียวไปตลอด ก่อนหน้านี้เจียงหว่านไม่กล้าทำแบบนี้หรอก แต่ตอนนี้นั้น เธอได้เข้าไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของเขตซีไห่แล้ว มีทั้งรถหรูหรา มีบ้านหลังใหญ่โต จะวางมาดสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องปกติ”
“ฮึ มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นหน่อยแล้วอย่างไรล่ะ ยังไงก็มีลูกเขยที่เป็นไอ้ขยะ สร้างความอับอายขายหน้า” อีกคนหนึ่งพลันส่งเสียงฮึขึ้นอย่างเย็นชาและพูดว่า: “ลูกสาวถึงอย่างไรก็สู้ลูกชายไม่ได้ เธอลองดูลูกชายของฉันสิ ประสบความสำเร็จทางหน้าที่การงาน ต่อไปคงจะกตัญญูตอบแทนฉันอย่างดีแน่”
“ใช่เลย พี่สอง คุณโชคดีมากจริง ๆ ที่ให้กำเนิดลูกชายที่เก่งขนาดนี้”
“โธ่ หากว่าลูกชายของฉันเอาการเอางานได้เรื่องสักครึ่งหนึ่งของเขาก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว”
ได้ฟังคำชื่นชมยกยอของทุกคน สีหน้าของจ้าวหลินก็ย่ำแย่ลงทันที เธอต่างหากที่เป็นจุดสนใจของตระกูลจ้าว แต่กลายเป็นว่าถูกพี่รองนั้นช่วงชิงไปอย่างสิ้นเชิง เธอเคยพูดบอกหลายครั้งแล้วว่า ที่จริงนั้นมู่เซิ่งไม่ได้เป็นไอ้ขยะ แต่ทว่า ลูกหลานตระกูลจ้าวเหล่านี้ ก็ยังไม่มีใครเชื่ออยู่ดี
เวลานี้ ซือเอินหรานได้ขับรถออดี้มาถึงแล้ว พวกลูกหลานตระกูลจ้าวที่กำลังฟังการชื่นชมยกยอกันอยู่นั้น ก็ได้ส่งสายตามองไปที่เขากันทั้งหมด ทำให้ความมั่นใจของเขาเพิ่มขึ้นอย่างเต็มเปี่ยม
เป็นไปตามนั้นที่จะต้องมาถึงงานเป็นคนสุดท้ายถึงจะถูกต้อง อีกทั้ง ตั๋วเข้าร่วมงานของพวกลูกหลานตระกูลจ้าวที่ได้มานั้นก็เป็นเพราะเขา หากไม่มีเขาแล้วจะทำอย่างไร
เวลานี้ ซือเอินหรานพลันมองเห็นมู่เซิ่งกับเจียงหว่านสองคนนั้นที่กำลังเดินเข้ามาในงานเลี้ยงการกุศลบ้านเอื้อเฟื้อ จึงเกิดความไม่พอใจขึ้น หากไม่มีเขา พวกลูกหลานตระกูลจ้าวก็คงไม่มีสักคนที่จะเข้าร่วมงานได้ ดังนั้นเขาจึงควรจะมาถึงเป็นคนสุดท้าย แต่ทำไมมู่เซิ่งกับเจียงหว่านถึงได้มาถึงที่งานช้ากว่าเขาอีกล่ะ?
“มู่เซิ่ง ทำไมนายมาถึงช้าแบบนี้ล่ะ? พวกเรากี่คนรอนายอยู่ตั้งนานแล้ว” ซือเอินหรานเดินมาที่ด้านหน้าของมู่เซิ่งและพูดขึ้น แม้จะดูว่าอบอุ่นเป็นกันเอง แต่นี่ก็แค่ภายนอกเท่านั้น ในใจของเขารังเกียจมู่เซิ่งเป็นอย่างมาก คิดวางแผนอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างไรให้เขาอับอายขายหน้า
“อืม ระยะทางค่อนข้างไกล ถึงได้สิ้นเปลืองเวลามากหน่อย” มู่เซิ่งพยักหน้า โดยที่ไม่พูดอะไรมาก
“นายเดินมาอย่างนั้นเหรอ? ถึงได้ช้าขนาดนี้” ซือเอินหรานตกใจ แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก แต่สีหน้าของเขาก็แสดงท่าทางที่เหยียดหยามอย่างที่สุด
ช่างเป็นไอ้ขยะอย่างไม่ต้องสงสัยเลย แม้แต่รถก็ยังไม่มี เขาเติบโตขนาดนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นรถหรูหราหรอกนะ?
งานเลี้ยงการกุศลของบ้านเอื้อเฟื้อใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ทุกคนยืนต่อแถวยาวกันอยู่ที่หน้าประตู แต่พวกบุคคลชั้นสูงอย่างท่านหลงหรือเจ้าบ้านตระกูลอู๋เหล่านั้น สามารถที่จะเดินผ่านช่องทางพิเศษเข้าสู่ภายในงานได้เลย โดยทางมู่เซิ่งเองไม่ได้เสนอมา ดังนั้นตระกูลกู่จึงไม่ได้เตรียมการให้กับมู่เซิ่ง
“พวกคุณมากันช้าเกินไปแล้ว ตำแหน่งของพวกเราได้มีการจองล่วงหน้าเอาไว้ ดังนั้นเดินไปทางช่องทางเดินที่สองก่อนนะ ไม่รอพวกคุณแล้ว พวกคุณรออยู่ด้านนอกก่อนก็แล้วกัน” จ้าวตันตันพูดขึ้น และพาคนตระกูลจ้าว เดินไปยังด้านหน้าของทางเดินช่องที่สอง
เรื่องนี้ทำให้จ้าวหลินเกิดความไม่พอใจขึ้น จึงพูดกับคนอื่นว่า: “พวกเธอทำไมถึงไม่เดินเข้าช่องทางเดินทั่วไปล่ะ? ”
“ทำไมพวกเราต้องเดินช่องทางนั้นด้วย? ซือเอินหรานลูกชายของฉันได้จัดเตรียมตั๋ววีไอพีให้กับพวกเราโดยเฉพาะ ถ้าหากเดินในช่องทางเดินทั่วไป ก็เหมือนกับพวกเธอแล้วไม่ใช่เหรอ? ” จ้าวตันตันพูดขึ้นอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
อย่าเห็นว่าในตอนงานเลี้ยงวันเกิดจ้าวลิ่วป๋อนั้น มู่เซิ่งได้ตบหน้าของถงเสว่เหมยอย่างแรง แต่เธอก็ยังคงดูหมิ่นมู่เซิ่งเหมือนเคย
ซือเอินหรานแกล้งพูดแสดงความขอโทษ: “คุณน้าจ้าว ต้องขอโทษจริง ๆ ด้วย ที่ความสามารถของฉันมีจำกัด ดังนั้นจึงทำได้แค่พาคนในครอบครัวของตนเองเข้าไปในงานก่อน ตอนนี้คงต้องลำบากพวกคุณหน่อยนะ วันหลังจะทำการขอโทษชดเชยพวกคุณก็แล้วกัน”
ซือเอินหรานพูดได้อย่างน่าฟัง และแสดงท่าทางอย่างจริงจัง จ้าวหลินเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปโกรธเคือง ทำได้เพียงพยักหน้าและพูดว่า: “ก็ได้ ถึงอย่างไรนั่งตรงไหนก็เหมือนกัน ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้สนใจงานเลี้ยงการกุศลบ้านเอื้อเฟื้อในครั้งนี้เท่าไรนัก”
“ใช่สิ ถึงอย่างไรพวกเธอก็ไม่ได้ขึ้นไปพูดบนเวทีสักหน่อย ต่อให้เข้าไปก่อนแล้ว……” พูดถึงตรงนี้ จ้าวตันตันก็พลันตั้งสติขึ้นมาได้ จึงตบไปที่ปากของตัวเอง และพูดต่อว่า: “ดูสิฉันพูดอะไรไปเนี่ย มักจะชอบพูดเรื่องจริงอยู่ได้ ไม่พูดแล้วไม่พูดแล้ว พี่จ้าว พวกเราเข้าไปด้านในกันก่อนแล้วนะ”
จ้าวหลินโมโหจนถึงกับกัดฟัน จ้าวตันตันคนนี้ ชัดเจนว่ากำลังพูดถากถางเธออยู่
ซือเอินหรานคิดที่จะพูดอะไรอีก แต่ในขณะนั้น ก็พลันมีคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในแถวที่ยาวเหยียด เมื่อเห็นใบหน้าของชายผู้นั้นแล้ว เขาก็ปิดปากลงในทันที……