มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 390 แข่งรถ
“บูม!”
หลู่เจ๋อตีหัวของชายหัวโล้นด้วยแรงทั้งหมดของเขา
ไอ้ชายหัวโล้นแค่ดูก็รู้ว่ามั่วโลกีย์มากไป และเขาดูไม่มีแรงเลย การชกครั้งนี้ทำให้สมองของเขาแตกโดยตรง เลือดกระเด็น และเขาล้มลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
“แม่งเอ้ย มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร?กล้าตีกูหรือ?มึงจะเสียใจภายหลังแน่!”ชายหัวโล้นพูดอย่างเย็นชาพร้อมกับจับหัวของเขา
“กูไม่สนหรอกว่ามึงเป็นใคร กล้าทำลายเรื่องดีๆของกู เจอมึงเมื่อไหร่กูจัดการมึงแน่!”แน่นอน หลู่เจ๋อไม่สนใจว่าชายหัวโล้นเป็นใคร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาขับรถโตโยต้าเก่าๆแบบนี้ คนรวยอย่าง หลู่เจ๋อไม่สนใจหรอก
“ถ้ายังไม่ไสหัวไปอีก กูจะหักขามึงแน่!”
หลู่เจ๋อฟาดกระจกมองหลังสองครั้ง และชายหัวโล้นกลัวที่จะถูกทุบตี เขาจึงลุกขึ้นและวิ่งหนีไป
ตอนนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกลางคันแล้ว ไม่มีทางไปต่อแน่ๆ เลยได้แต่ด่าในใจว่า ซวยจริงๆ แล้วเดินจากไปพร้อมกับนางแบบสาวข้างๆ
ในบาร์ ซูอีเข่อรู้สึกทึ่งกับรถแข่งที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดนอกหน้าต่าง ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ใบหน้าเล็กๆเกือบจะชนกับกระจก
“คุณชอบการแข่งรถมากไหม?”มู่เซิ่งสามารถดูออกว่าซูอีเข่อคนนี้แตกต่างจากคนอื่น ลูกคนรวยคนอื่นๆที่มาที่นี่เพื่อกิน ดื่ม เที่ยวและสนุกสนานเท่านั้น การแข่งรถเป็นเพียงการผ่อนคลายอารมณ์สำหรับพวกเขา แต่สำหรับซูอีเข่อนั้นเป็นสิ่งที่เธอสนใจมากที่สุด
“แน่นอน ฉันใฝ่ฝันที่จะลองสัมผัสความเร็วในสนามแข่งดู แต่น่าเสียดายที่ฝีมือการขับขี่ของฉันยังไม่ผ่าน ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถเข้าร่วมได้”ซูอีเข่อส่ายหัวด้วยความผิดหวัง
ยิ่งไปกว่านั้น เธออาศัยอยู่ในเมืองและท้องถนนเต็มไปด้วยการจราจร ดังนั้นเมื่อความเร็วสูงจึงมักเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นเวลาขับเธอจึงขับด้วยความเร็วต่ำเท่านั้น
“ใช่แล้วพี่มู่ ที่ถามแบบนี้เพราะพี่ขับรถแข่งได้เหรอ?” ซูอีเข่อก็หันศีรษะไปมองมู่เซิ่ง
“เคยขับ” มู่เซิ่งกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นฝีมือของคุณต้องดีแน่เลย?” ซูอีเข่อถามอีกครั้ง
“ก็ไม่เลวนะ อย่างน้อยเมื่อเทียบกับนักแข่งบนสนามแข่งเหล่านี้ ก็อาจเร็วกว่าพวกเขาสองเท่า”มู่เซิ่งพยักหน้าและพูดโดยไม่ปฏิเสธ
เนื่องจากเขาเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงเริ่มขับรถตั้งแต่อายุยังน้อย มู่เซิ่งสามารถขับรถด้วยความเร็วมากกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในสภาพแวดล้อมที่หนาแน่น เช่น ป่าฝนเขตร้อน แม้แต่บนหน้าผาที่สูงชันมาก ตอนนี้ ในสายตาของเขา ทางเรียบแบบนี้ สภาพแวดล้อมในการเล่นไม่ต่างจากพื้นราบ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาทำแค่อย่างเดียว นั่นคือการเหยียบคันเร่งก็เพียงพอแล้ว
“หืม ขี้โม้จัง” ซูอีเข่อเบะปากและพูดอย่างไม่อยากเชื่อ
นักแข่งที่นี่เป็นนักขับมืออาชีพทั้งหมด คุณเก่งกว่าพวกเขา?แม้แต่แชมป์ระดับประเทศมายังทำไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตาม เธอนึกถึงการแสดงของมู่เซิ่งในชมรมเทควันโดในระหว่างวัน และอดไม่ได้ที่จะแอบคิดว่า จะเป็นอย่างไรถ้าสิ่งที่มู่เซิ่งพูดเป็นเรื่องจริง
“ถ้าไม่เชื่อ ครั้งหน้าผมจะพาคุณไปเที่ยวชมวิวนะ”มู่เซิ่งพูดอย่างสบายๆ
ซูอีเข่อรีบยื่นนิ้วก้อยออกมา และพูดกับมู่เซิ่งว่า”โอเค มาเกี่ยวก้อยกัน!”
มู่เซิ่งยิ้มอย่างขมขื่น เขาจะไม่คืนคำอยู่แล้ว แต่ซูอีเข่อไม่ฟังและยืนยันที่จะเกี่ยวก้อยกับมู่เซิ่ง เมื่อทั้งสองกำลังจะเกี่ยวก้อย ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นหลู่เจ๋อกอดนางแบบหญิงเดินกลับมาด้วยความโกรธ
“แม่งเอ้ย!”
ทันทีที่หลู่เจ๋อกลับมา เขาก็ดื่มน้ำใส่น้ำแข็งแก้วใหญ่เพื่อดับกระหาย จากนั้นก็กระแทกแก้วในมือลงบนโต๊ะพร้อมกับเสียงดัง ‘ปัง’
“ให้ตายเถอะ ช่างโชคร้ายอะไรอย่างนี้!”
เมื่อลูกน้องเหล่านั้นเห็นเข้าก็รีบถามทันที
“คุณชายหลู่เกิดอะไรขึ้น?”
“ไอ้คนตาบอดคนไหนกันที่กล้าทำให้คุณชายหลู่ของเราโกรธ?ผมจะไปสั่งสอนไอ้หมอนั่น”
“คุณชายหลู่ทำไมคุณถึงกลับมาเร็วจัง จบแล้วเหรอ?”ลูกคนรวยขยิบตาและถาม เนื่องจากซูอีเข่ออยู่ที่นี่ เขาจึงไม่สามารถพูดอย่างชัดเจน
“จบบ้าอะไร!ผมแค่ออกไปเดินเล่นกับเธอ แต่ใครจะคิดล่ะว่าตอนเดินอยู่บนถนน บังเอิญไปชนกับรถโตโยต้าที่เก่าและพัง สัญญาณกันขโมยรถก็ดังขึ้น เจ้าของรถไอ้หัวโล้นบอกเราว่า ให้เราไสหัวออกไปจากที่นี่!” หลู่เจ๋อพูดพร้อมกัดฟัน
“แม่ง นี่มันทำเกินไปแล้วมั้ง?”
“แค่เดินผ่านยังจะตะโกน?ไอ้คนขับรถพังๆคนนี้ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงจริงๆ?”
“คุณชายหลู่คุณไม่ทุบรถของคนแบบนี้เหรอ?”มีคนเห็นใจเขาและด่าอย่างแรง
“แน่นอน ผมทุบรถแล้ว ผมเพิ่งทำลายกระจกมองหลังของรถที่เก่าๆคันนี้ออกแล้วเตะประตู!” หลู่เจ๋อพูดอย่างมีชัย
นางแบบสาวก็เข้าไปในอ้อมแขนของหลู่เจ๋อด้วยใบหน้าเขินอาย ผู้ชายที่รวยและชอบธรรมเช่นนี้หาได้ยากมาก
“เอาล่ะ อย่าพูดถึงเรื่องเฮงซวยพวกนี้เลย วันนี้ผมเลี้ยง ก่อนเริ่มการแข่งขัน คุณสนใจที่จะขับรถหน่อยไหม?” หลู่เจ๋อเสนอ
“ได้สิ!”
“ผมอยากดูการแข่งรถ!”
กลุ่มลูกคนรวยได้ฟังเสียงคำรามของรถแข่งนอกหน้าต่าง และมือของพวกเขาก็เริ่มคันแล้ว ตอนนี้พวกเขาได้ยินข้อเสนอของหลู่เจ๋อก็ตอบสนองทันที
“รถของผมเพิ่งเปลี่ยนยาง และยังไม่เคยลงสนามเลย คราวนี้ผมต้องวิ่งให้ได้ที่หนึ่ง!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า รถของผมก็เพิ่งเปลี่ยนเครื่องยนต์ ไม่กลัวคุณหรอก”
“พนันหน่อยเป็นไง?สามแสน ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่จะได้ชัยชนะหรือโชคลาภ
”
“มามามา ใครกลัวคุณล่ะ…”
ลูกคนรวยจากตระกูลร่ำรวยหยิบกุญแจรถสปอร์ตบนโต๊ะและเตรียมขับรถไปที่สนามเพื่อแข่งกัน คนทั่วไปต้องมีใบอนุญาตการแข่งขันเพื่อเข้าสู่สนามแข่ง แต่ลูกพี่ลูกน้องของหลู่เจ๋อเป็นรองผู้จัดการที่นี่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้ขั้นตอนเหล่านี้
ในเวลานี้ หลู่เจ๋อหยุดกะทันหันและชวนซูอีเข่อ”ซูอีเข่อ ผมรู้ว่าตอนนี้คุณขับรถแข่งไม่ได้ งั้นคุณมานั่งข้างๆผมได้ไหม?ทักษะการแข่งรถของผมเยี่ยมมากนะ”
“ไม่ ฉันจะนั่งข้างๆพี่มู่” ซูอีเข่อส่ายหัวเหมือนป๋องแป๋ง
“คุณขับรถแข่งเป็นเหรอ?” หลู่เจ๋อเพ่งสายตาไปที่มู่เซิ่ง
“นิดหน่อย”มู่เซิ่งพยักหน้า
ทันทีที่เขาได้ยินว่ามู่เซิ่งจะขับรถแข่ง หลู่เจ๋อก็มีแผนในใจ แทนที่จะปล่อยให้ มู่เซิ่งเป็นหนี้เขาและทำให้เขาอับอาย ให้มู่เซิ่งขายหน้าในสนามแข่งรถยังง่ายกว่า
สำหรับฝีมือการแข่งรถของมู่เซิ่งเป็นยังไง?
หลู่เจ๋อไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย
การแข่งรถไม่ใช่สิ่งที่คนจนสามารถเล่นได้ ยังไม่พูดถึงสถานที่จัดงานและข้อกำหนดอื่นๆ เพียงแค่การประกอบรถที่มีสมรรถนะดีและสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้นั้น ต้องใช้เงินทุนเกือบล้านเป็นอย่างน้อย สำหรับคนว่างงานอย่างมู่เซิ่ง อย่าว่าแต่หนึ่งล้านเลย แม้ว่าจะเอาทั้งหมดที่มีออกมา คาดว่า 10,000 ก็ไม่มี
“คุณจนขนาดนั้น คงไม่ได้เอารถมาใช่ไหม?”
หลู่เจ๋อชี้ไปที่รถแข่งชั้นนำสี่คันที่วางอยู่ในลานจอดรถ”เลือกหนึ่งคันสิ และจำไว้ว่าอย่าทำมันเสียหาย มิฉะนั้น ขายคุณทิ้งก็ชดใช้ไม่หมด”
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก
แข่งรถกับกู?กูจะเล่นงานมึงให้สาสมแน่!