มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 394 หยิ่งผยอง!
ทุกคนมองไปทางต้นเสียงพร้อมกัน
พวกเขาต้องการดูว่า ใครกล้าขัดขวางเรื่องของเถ้าแก่โจว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ลูกคนรวยเหล่านั้นถูกเขาปราบปราม คนๆนี้อยากตายหรือ ยังกล้ามาบอกว่าเดี๋ยวก่อน
ผู้จัดการหวัง เถ้าแก่โจวและคนอื่นๆมองไป ก็เห็นคนหนึ่งยืนอยู่เงียบๆตรงมุมห้อง
นี่คือใคร?
ผู้จัดการหวังผงะ
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้จัดการหวังไม่รู้จัก เป็นเพราะมู่เซิ่งสวมเสื้อผ้าตลาดนัด และรูปร่างหน้าตาของเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกลุ่มลูกคนรวย ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะยืนอยู่ด้วยกัน ผู้จัดการหวังก็ไม่ได้มองว่ามู่เซิ่งเป็นพวกเดียวกับพวกลูกคนรวยเหล่านั้น
อย่างมากก็เป็นแค่บริกรที่ไม่กลัวความตาย
“ไอ้หนู คุณมีธุระอะไร?”ผู้จัดการหวังเยาะเย้ย มองมู่เซิ่งแล้วถาม
“มีธุระ”
มู่เซิ่งพยักหน้าอย่างจริงจัง ชี้ไปที่ซูอีเข่อและพูดว่า”เธอเป็นเพื่อนของผม ผมต้องการพาเธอไป”
“คนที่เหลือ พวกคุณจัดการเองได้เลย”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินตรงไปที่ด้านข้างของซูอีเข่อภายใต้สายตาของทุกคน เตรียมตัวจะพาเธอจากไป
ทุกคนในกลุ่มผู้ชมต่างมองไปที่มู่เซิ่งราวกับว่าพวกเขาเป็นบ้า และความคิดแรกในใจของพวกเขาคือเด็กคนนี้พิการทางสมองหรือเปล่า?จะพาคนออกไปแบบนี้?เขาคิดว่าเขาเป็นใคร
แน่นอนว่าเถ้าแก่โจวเป็นคนแรกที่ดึงสติกลับมาได้ก่อน เขายังคงต้องการนอนกับซูอีเข่อ ตอนนี้ถูกมู่เซิ่งพาตัวไป ราวกับว่าภรรยาของเขาถูกปล้น เขาด่าทอทันที”ไอ้บ้าจากไหนกล้ามาสร้างปัญหาที่นี่?ผู้จัดการหวัง ให้เขาไสหัวออกไปซะ อย่ามาทำให้ผมเสียอารมณ์!”
ผู้จัดการหวังพยักหน้าและตรงไปที่มู่เซิ่ง แต่เมื่อเห็นท่าทางที่สงบและมั่นใจของมู่เซิ่ง เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายอาจมีความสามารถจริงๆ ดังนั้นเขาจึงถามว่า “ไอ้หนู ก่อนที่ผมจะลงมือ รีบไสหัวออกไปซะ!”
“ผมก็อยากจะบอกประโยคนี้กับคุณเหมือนกัน”มู่เซิ่งมองเขาเงียบๆ แล้วพูด
หยิ่งผยอง!
เมื่อชายที่มีรอยสักที่ยืนอยู่ข้างๆผู้จัดการหวังได้ยินสิ่งนี้ มีเพียงคำเดียวที่เข้ามาในความคิด
หยิ่งผยองจริงๆ
แม้แต่ลูกคนรวยเหล่านั้นก็ยังรู้สึกสับสนเล็กน้อย
มู่เซิ่งพูดแบบนี้ กำลังหาที่ตายไม่ใช่เหรอ?
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของหลู่เจ๋อเต็มไปด้วยความสุข มู่เซิ่งโง่เองหาที่ตายและเขาสามารถช่วยแบ่งเบาความโกรธของเถ้าแก่โจวไปได้ หลังจากที่เถ้าแก่โจวได้ทุบตีมู่เซิ่งแล้ว อารมณ์ดีขึ้น และบางทีอาจจะปล่อยเขาไปก็ได้
ซูอีเข่อตกผงะไปครู่หนึ่ง และเมื่อได้ยินมู่เซิ่งพูดเช่นนี้ ก็ตกตะลึงเช่นกัน
แม้ว่ามู่เซิ่งจะเก่งด้านการต่อสู้ แต่สถานการณ์ปัจจุบันนั้น มันไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการต่อสู้เลย ผู้จัดการหวังคนนี้เป็นหัวหน้านักเลงที่นี่และมีลูกน้องมากมายที่อยู่ข้างหลังเขา ถึงคุณจะเก่ง คุณเอาชนะคนเป็นร้อยได้ไหม?
ซูอีเข่ออ้าปากเล็กน้อย จับมือมู่เซิ่งแล้วพูดว่า”วิ่ง!”
อย่างไรก็ตาม มู่เซิ่งดูเหมือนจะไม่ได้ยินมัน ไม่เพียงแต่เขาจะไม่วิ่งหนีแต่เขายังก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อยในทิศทางของผู้จัดการหวัง
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้หนู อยากเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามหรือ?ไม่ไปสืบชื่อของผมดูเหรอ ขอบอกนะ แม้คุณจะคุกเข่าลงตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เถ้าแก่โจวก็หัวเราะออกมาดังๆ ชี้ไปที่มู่เซิ่งและพูดว่า”ตามคำพูดของคุณ ผมต้องการแขนและขาหนึ่งข้างของคุณ!”
ผู้จัดการหวังไม่โกรธเท่าเถ้าแก่โจวเขาเหลือบมองมู่เซิ่งอีกครั้ง ประสบการณ์หลายปีบอกเขาว่า มู่เซิ่งสามารถรักษาความสงบและความเย่อหยิ่งของเขาอาจขึ้นอยู่กับภูมิหลังบางอย่างตามที่เขาคาดเดา
เขาถามอย่างไม่แน่ใจ”คุณชื่ออะไร และคุณติดตามกับใคร?”
มู่เซิ่งมองเขาอย่างเฉยเมย น้ำเสียงของเขาเย็นชายิ่งกว่าเดิม“คุณไม่คู่ควรที่จะรู้จักชื่อของผม”
ไอ้เหี้ย!
ทุกคนตัวแข็งทันที มู่เซิ่งคนนี้หยิ่งผยองจนไม่มีขอบเขตแล้ว!
“แม่งเอ้ย ผู้จัดการหวัง ทำไมคุณยังไม่ลงมือล่ะ?” เถ้าแก่โจวด่าอย่างเดือดดาล
ผู้จัดการหวังก็โกรธเช่นกัน เดิมทีเขาต้องการทราบภูมิหลังที่แท้จริงของมู่เซิ่งก่อนที่จะลงมือ แต่คิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะหยิ่งผยองขนาดนี้ และไม่เห็นหัวเขาเลย ผู้จัดการหวังทนไม่ได้อีกต่อไป และลงมือโดยตรง
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่ามู่เซิ่งจะมาจากตระกูลหยางแต่เถ้าแก่โจวก็ไม่กลัวเลย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่มีใครในเมืองหนานเจิ้นที่เขากลัว!
ขณะที่เขาพูด ผู้จัดการหวังกำหมัดแน่นและพุ่งตรงไปที่มู่เซิ่งทันที เสียงลมหวีดหวิว กำปั้นของเขาก็มาถึง และกำปั้นขนาดเท่ากระสอบทรายก็พุ่งตรงไปที่มู่เซิ่ง
ผู้จัดการหวังเคยเป็นนักมวยใต้ดิน สไตล์การต่อสู้ของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าของจี้เหว่ยเลย ดูเหมือนเว่อร์เกินไป แต่ทุกหมัดของเขาพุ่งเป้าไปที่ส่วนสำคัญของมู่เซิ่ง ร้ายแรงมาก ซูอีเข่อตกใจจนหลับตาโดยไม่รู้ตัว
“บูม!”
ช่วงเวลาที่ผู้จัดการหวังชกออกไป ในหูของทุกคนมีเพียงเสียงที่ดังก้อง
ดวงตาของพวกเขามืดลง และเมื่อพวกเขามองไปที่ผู้จัดการหวังอีกครั้ง พวกเขาพบว่าผู้จัดการหวังถูกหมัดของมู่เซิ่งเหวี่ยงจนคว่ำ และกระแทกเข้ากับเคาน์เตอร์บาร์อย่างแรง
ซ่าๆๆ!
แก้วที่บาร์แตกเป็นเสี่ยงๆ เศษแก้วและเศษเครื่องดื่มจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงกับพื้นพร้อมเสียงแตก แม้แต่โต๊ะไม้ก็ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ และมีเสียงกรีดร้อง
“บูม!”
ผู้จัดการวังกระแทกพื้นอย่างแรง
ทุกคนตกใจกับเสียงนั้น มองไปที่ผู้จัดการหวังที่เละไปหมด พวกเขายังงงๆอยู่
สถานการณ์คืออะไร?
ผู้จัดการหวังซึ่งสูงสองเมตรและเต็มไปด้วยมัดกล้าม ถูกมู่เซิ่งต่อยจนบินออกไปโดยตรง?
“ให้ตายเถอะ คิดไม่ถึงว่าก็มีความสามารถนิ!พวกมึงยืนนิ่งทำไม รีบไปจัดการมันสิ!”ผู้จัดการหวังพยายามลุกขึ้นจากพื้น จ้องมองไปที่มู่เซิ่งด้วยสายตาดุร้าย หน้าอกของเขาเจ็บและชา ขยับตัวไม่ได้
“ฆ่ามัน!”
อันธพาลชุดดำที่ยืนอยู่รอบๆ มองหน้ากัน จากนั้นหยิบขวดเบียร์ เก้าอี้และทุกอย่างที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้ และพุ่งเข้าหามู่เซิ่ง
ในสายตาของพวกเขา ไม่ว่ามู่เซิ่งจะทรงพลังเพียงใด คนเดียวก็ยากที่จะสู้กับคนหมู่มาก เป็นแค่นักศึกษาธรรมดาเท่านั้น!
“บูม บูม บูม!”
อันธพาลทั้งหมดพุ่งไปข้างหน้าพร้อมอาวุธ จากนั้นเสียงทื่อๆนับไม่ถ้วนก็ดังขึ้นในหูของทุกคน
วินาทีต่อมา
เงาจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้น โดยมีมู่เซิ่งเป็นศูนย์กลาง จากนั้นตกลงไปทุกทิศทุกทางและกระแทกพื้นอย่างแรง เสียงการล้มลงกับพื้นติดต่อกันเป็นชุด ทำให้ทั้งบาร์ตกอยู่ในความโกลาหล และแทบไม่มีไวน์ชั้นดีเหลืออยู่สักขวด
“หู้”
กลุ่มลูกคนรวยเหล่านั้นสูบลมหายใจเข้าลึกๆพร้อมกัน
โดยเฉพาะหลู่เจ๋อเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามู่เซิ่งจะมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ เขาคิดว่าซูอีเข่อคุยโม้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า มู่เซิ่งเอาชนะจี้เหว่ยจริงๆด้วย
เถ้าแก่โจวก็ตะลึงเช่นกัน
เขามีวิสัยทัศน์ที่ลึก และเขาเข้าใจโดยธรรมชาติว่าพลังการต่อสู้ประเภทนี้หมายถึงอะไร หมัดเดียวสามารถทำให้คนหลายสิบคนบินออกไป ความสามารถประเภทนี้เกินขอบเขตของคนธรรมดาและเข้าสู่แดนของปรมาจารย์บู๊แล้ว หรือว่า มู่เซิ่งเป็นปรมาจารย์บู๊?
หากเป็นเช่นนั้น คราวนี้เขาซวยแน่