มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 402 น้ำวิเศษพลังเสวียน?
เดิมทีมู่เซิ่งเองไม่อยากที่จะมีการติดต่อสัมพันธ์อะไรกับตระกูลหยางอีกแล้ว แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างหยางฟางฟางกับเขานั้นถือว่าไม่เลว อีกทั้งเป็นเพราะเรื่องที่ขัดต่อมโนธรรมที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานนี้ มู่เซิ่งกังวลว่าหากต่อไปพบเจอกับเหตุการณ์อะไรขึ้น ถ้าตอนนี้ผูกมิตรอันดีกับทางหยางฟางฟางเอาไว้ก่อน บางทีหล่อนอาจจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจที่จะไปพบเจอ
“มู่เซิ่ง ในที่สุดนายก็มาแล้ว”
เมื่อหยางฟางฟางเห็นมู่เซิ่งแล้ว ก็กวักมือเรียกขานด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“หยางฟางฟาง เธอเรียกฉันมามีอะไรเหรอ? ” มู่เซิ่งถามขึ้น
สถานที่ที่พบเจอกันครั้งนี้ไม่ใช่โกดังสินค้าที่อยู่ห่างไกลนั้น แต่ตำแหน่งของโกดังนี้อยู่ไกลมากกว่าโกดังที่มู่เซิ่งเคยมาครั้งก่อนเสียอีก แทบจะพูดได้ว่าไกลออกมาจากเมืองหนานเจิ้นไปแล้ว ที่หยางฟางฟางได้เรียกตนเองออกมาพบกันในสถานที่ไกลขนาดนี้นั้น จะต้องมีเรื่องอะไรอย่างแน่นอน
“มีเรื่องแน่นอน และยังเป็นเรื่องที่ดีด้วย” ใบหน้าของหยางฟางฟาง แสดงท่าทางที่ตื่นเต้นดีใจ
“เรื่องดีอะไรเหรอ? ไม่ใช่ว่าจะให้ฉันไปเข้าร่วมการแข่งขันอะไรอีกล่ะ? ” มู่เซิ่งขมวดคิ้วและพูดขึ้น: “หากว่าเป็นแบบนี้ ฉันไม่ขอเข้าร่วมแล้ว”
ก็เหมือนกับโควตาทีมของสี่องค์กรใหญ่ในครั้งที่แล้ว สำหรับคนทั่วไปนั้น ถือว่าเป็นโอกาสที่ยากจะปฏิเสธ แต่สำหรับมู่เซิ่งแล้ว กลับกลายเป็นเรื่องที่ยุ่งยากน่ารำคาญ
การคัดเลือกของสี่องค์กรใหญ่นั้น มู่เซิ่งไม่สนใจที่จะเข้าร่วมเลย เพียงแต่เป็นเพราะภายในมีวัตถุดิบของยาที่เขาต้องการจะนำมากลั่น ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเข้าร่วม
เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ก็ต้องขอบคุณหยางฟางฟางมาก เพราะว่าตอนที่หยางฟางฟางมาหาตนเองนั้น ตนเองก็ไม่ปฏิเสธแล้ว
หยางฟางฟางเบะปาก และพูดว่า: “ก็นายวางมาดเกินไปหน่อย ฉันคงจะไม่นำเรื่องสี่องค์กรใหญ่นั้นมาทำให้นายยุ่งยากหรอก ครั้งนี้ที่มานั้นมีเรื่องดีเรื่องหนึ่งจริง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยกว่าที่ตระกูลของฉันจะขอร้องมาได้”
“ตระกูลของพวกเรารู้จักกับตระกูลโม่ แล้วก็ได้รับน้ำวิเศษพลังเสวียนมาอย่างน่าแปลกใจ ได้ยินว่าไม่เพียงแต่จะสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้แล้ว ขนาดผู้บำเพ็ญทั่วไปดื่มเข้าไปแล้ว ก็ยังสามารถเพิ่มระดับวิทยายุทธให้สูงขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งพ่อของฉันได้พาฉันไปโดยเฉพาะเลย”
หยางฟางฟางเหมือนจะมีคำพูดมากมายที่จะพูดกับมู่เซิ่ง เมื่อเริ่มต้นก็พรั่งพรู พูดออกมาไม่หยุด:
“หากโดยทั่วไปแล้ว พ่อของฉันคงจะไม่พาฉันไปแน่ แต่ตอนนี้ฉันเป็นปรมาจารย์บู๊แล้ว กลายเป็นนักสู้ชั้นยอดภายในตระกูล พ่อของฉันจึงต้องพาฉันไปด้วย และยังจะให้โควต้าบัตรเชิญกับฉันหนึ่งใบด้วย นายดูสิ แล้วฉันก็นึกถึงนายขึ้นเป็นอันดับแรกเลย เจ๋งไหมล่ะ? ”
หยางฟางฟางโบกกำปั้นไปมา และพูดขอความดีความชอบจากมู่เซิ่ง
“น้ำวิเศษพลังเสวียน? ” มู่เซิ่งขมวดคิ้วขึ้น
เขารู้สึกว่า ชื่อนี้ตนเองเหมือนจะเคยได้ยินมาจากที่ไหน
“ได้ยินว่าสรรพคุณการรักษาโรคของน้ำเทพนี้ ก็ยังสามารถทำให้นักบำเพ็ญทั่วไปทะลุขั้นแดนขึ้นเป็นปรมาจารย์บู๊ได้ด้วย ก่อนหน้านี้นายเคยได้ให้ยาฉันมาหนึ่งเม็ด เพื่อให้ฉันทะลุขั้นแดนขึ้นเป็นปรมาจารย์บู๊ ดังนั้นในครั้งนี้ ฉันเตรียมจะนำส่วนของฉันนั้นให้กับนายดื่ม”
“แม้ว่านายจะไม่อยากดื่ม ก็นำกลับไปให้เจียงหว่านดื่มก็ได้”
“สิ่งของที่น่าอัศจรรย์นี้ ได้ยินว่าตามท้องตลาดทั่วไปจำหน่ายกันอยู่ที่ราคาสิบกว่าล้านต่อหนึ่งขวดเลยทีเดียว ถึงแม้ราคาจะสูงแต่ก็ยังเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งจำหน่ายกันไปจนไม่มีของเหลือแล้วด้วย”
ได้ยินหยางฟางฟางพูดแนะนำอย่างไม่หยุด มู่เซิ่งก็พยักหน้าอย่างจำใจ “ก็ได้ ฉันจะลองไปดูกับเธอหน่อย”
แต่ในใจของเขาชัดเจนอย่างดีว่า ชื่อของน้ำวิเศษพลังเสวียนนี้ฟังดูแล้วค่อนข้างจะยิ่งใหญ่ไม่เบา แต่ส่วนมากแล้วก็คงจะไม่มีประสิทธิภาพที่ดีนัก อย่างมากก็คงเป็นสิ่งของที่นักกลั่นยาชั้นต่ำบางคนกลั่นออกมาก็เท่านั้น
มู่เซิ่งยากที่จะปฏิเสธ อีกทั้งยังเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว จึงทำได้เพียงตอบตกลง
ตลอดทาง เขายังมองเห็นชายชุดดำที่สวมใส่ชุดคลุมยาวสีดำและใส่หน้ากากปิดปากจำนวนไม่น้อยเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกคนเหล่านี้ราวกับว่ากลัวคนอื่นจะเห็นรูปลักษณ์ภายนอกอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งภายในอากาศแฝงไปด้วยกลิ่นอายลมหายใจที่จริงจังเคร่งขรึมอยู่บ้าง
ขณะที่มู่เซิ่งเดินตามหยางฟางฟางมาถึงด้านหน้าของคฤหาสน์ที่สวยหรูแล้ว เวลานี้ภายนอกนั้น ก็มีรถสปอร์ตจอดกันอยู่หลายคันแล้ว
ชัดเจนว่า มีคนจำนวนไม่น้อยมาถึงกันก่อนแล้ว
รถสปอร์ตกี่คันนี้มู่เซิ่งคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็น ถ้าหากเขาจำไม่ผิด น่าจะเป็นรถสปอร์ตที่พบเห็นอยู่ในสนามแข่งรถเมื่อวานนี้
“มู่เซิ่ง พวกเราเข้าไปกันเถอะ” หยางฟางฟางจูงมู่เซิ่งเดินเข้าไปด้านใน
มู่เซิ่งยิ้มอย่างจำใจ เขารู้ว่า หยางฟางฟางทำดีเพื่อตนเอง ตั้งใจพาเขามาเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้โดยเฉพาะ ซึ่งนอกจากดื่มน้ำเสวียนแล้วจะช่วยยกระดับวิทยายุทธให้สูงขึ้นนั้น เขายังสามารถพบปะพูดคุยกับบุคคลชั้นสูงในสังคมได้อีกด้วย
ถ้าหากผูกมิตรเป็นเพื่อนกับคนเหล่านี้ได้ อย่างนั้นต่อไปช่วงเวลาที่เขาอยู่ในเมืองเจียงหนาน ก็คงจะได้รับการดูแลช่วยเหลือจากพวกเขากลุ่มนี้ไม่มากก็น้อย ซึ่งสะดวกสบายมากขึ้นไปอีก
“แต่น่าเสียดายที่ ถึงแม้ว่าความคิดของเธอจะดี แต่ฉันกับพวกเขา ก็ยังคงเป็นคนคนละโลกกันอยู่ดี” มู่เซิ่งแอบส่ายศีรษะ แล้วก็ถอนหายใจ
เขาในช่วงกี่ปีก่อนหน้านี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ความแข็งแกร่งของคนคนหนึ่งนั้น ไม่ใช่ว่าเขาจะไปรู้จักกับคนที่แข็งแกร่งมากขนาดไหน แต่ตนเองต่างหากที่ต้องแข็งแกร่ง
“ใช่แล้ว พี่สาวคนรองของฉันกับเพื่อนของหล่อนต่างก็อยู่ด้านใน เมื่อนายเข้าไปด้านในแล้วก็อย่าได้ฟังในสิ่งที่พวกเขาพูดก็เป็นพอ” หยางฟางฟางกล่าวขอโทษต่อมู่เซิ่ง
มู่เซิ่งยักไหล่ เงยหน้าแล้วก็เดินเข้าไป
ภายในห้อง มีหนุ่มสาวที่มู่เซิ่งไม่รู้จักยืนเรียงแถวอยู่ ในจำนวนนั้นมีหยางเหม่ยหลินที่ยืนอยู่ท่ามกลางของผู้คนที่โอบล้อมตัวเธออย่างกับเป็นผู้ที่ทุกคนเคารพรัก และไม่นึกว่าในจำนวนนั้นก็ยังมีเซียวจ้านที่ก่อนหน้านี้เคยถูกมู่เซิ่งชกจนแนบติดกับกำแพงด้วย หลังจากที่เขามองเห็นมู่เซิ่งแล้ว ในดวงตาก็เกิดท่าทีที่เย็นชาแวบขึ้นในทันที
ส่วนหยางเหม่ยหลินเมื่อเห็นหยางฟางฟางเดินเข้ามาแล้วนั้น ก็ยิ้มและพูดว่า: “ฟางฟาง ทำไมเธอเพิ่งจะมาถึงล่ะ เมื่อครู่พวกเขากำลังพูดคุยถึงเธอกันอยู่เลย”
“งั้นเหรอ? ” หยางฟางฟางเหลือบมองไปที่ทุกคน อย่างไม่ใส่ใจ
หยางเหม่ยหลินเหลือบมองไปยังมู่เซิ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังของหยางฟางฟาง แล้วรอยยิ้มก็กลับกลายเป็นท่าทีที่เย็นชาขึ้น ซึ่งเธอลืมไม่ลงกับท่าทางของมู่เซิ่งที่ปฏิเสธเธอต่อหน้าทุกคน จนถึงตอนนี้ก็ยังโกรธแค้นอยู่ในใจ หยางเหม่ยหลินพูดขึ้นอย่างดูแคลนว่า: “ฟางฟาง บอกแล้วไงว่าเป็นงานเลี้ยงของตระกูลชั้นสูง ทำไมเธอถึงพามู่เซิ่งมาด้วยล่ะ? ”
“พ่อฉันให้โควตาเข้าร่วมงานกับฉันมาหนึ่งคน แล้วทำไมฉันจึงจะพาเขามาร่วมงานด้วยไม่ได้? ” หยางฟางฟางพูดขึ้นอย่างเย็นชา ไม่อ่อนข้อแม่แต่น้อย
พี่น้องสองสาวคู่นี้ต่างก็ไม่ถูกคอกันกันมานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมู่เซิ่งก็ยังเลือกที่จะสนิทสนมกับหยางฟางฟาง โดยที่ไม่ชื่นชอบหยางเหม่ยหลิน จึงทำให้หยางเหม่ยหลินอิจฉาริษยาอยู่ในใจ เมื่อพบเจอหยางฟางฟางก็จะตรงเข้าเล่นงานทันที
ในขณะที่สองสาวสวยกำลังจะทะเลาะกัน คนกลุ่มนั้นก็รีบพูดขึ้นว่า: “พวกเราต่างก็เป็นแขกรับเชิญของตระกูลโม่ อย่าทำให้ต้องหมดสนุกขนาดนั้นเลย”
“ใช่แล้ว ฉันชื่อโจวจวิ้นเจี๋ย จากตระกูลโจวแห่งเป่ยเหอ ไม่ทราบว่านายคือ……” จากนั้นชายคนนั้นก็มองไปยังมู่เซิ่งและสอบถามขึ้น
หยางเหม่ยหลินเหลือบตามองไปที่มู่เซิ่งอย่างเหยียดหยาม และพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “เขาก็คือมู่เซิ่ง ที่เป็นลูกเขยที่แต่งงานเข้ามาอยู่กับฝ่ายหญิงของตระกูลอันดับสองแห่งหนึ่งในเมืองเจียงหนาน”
ทุกคนพากันพยักหน้า
แม้ว่าพวกเขาจะไม่พูดอะไร แต่สายตาที่รังเกียจเหยียดหยาม ก็ได้แสดงออกมาตั้งนานแล้ว
หยางเหม่ยหลินมองไปที่มู่เซิ่งด้วยความเหยียดหยาม ครั้งก่อนตอนที่เธอเจอกับมู่เซิ่ง ก็ต้องการที่จะชักจูงให้มู่เซิ่งมายังตระกูลหยาง ทางมู่เซิ่งไม่เพียงแต่จะไม่ทำตาม ยังจะตบหน้าของเธออย่างแรง ที่หน้าร้านปิ้งย่างด้วย
เคยมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง หยางเหม่ยหลินรู้สึกว่าบางทีเบื้องหลังของมู่เซิ่งอาจจะน่าทึ่งก็เป็นได้
แต่หลังจากที่มู่เซิ่งกลับมาจากเข้าร่วมการคัดเลือกของสี่องค์กรใหญ่แล้ว เธอก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นอีก จากนั้นก็ยังได้โทรศัพท์ไปหากัวปู๋เจิ้น ถามว่าทำไมเขาถึงต้องเคารพต่อมู่เซิ่งขนาดนั้น กัวปู๋เจิ้นปิดปากไม่พูด และก็ไม่เตือนหยางเหม่ยหลินเลย ทำให้หยางเหม่ยหลินพลันรู้สึกว่าจะต้องมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเป็นแน่
ครั้นแล้ว เธอจึงส่งคนไปตรวจสอบเบื้องหลังของมู่เซิ่ง
หากเธอไม่ตรวจสอบก็คงจะไม่รู้ เมื่อตรวจสอบก็พบว่า มู่เซิ่งคือลูกเขยที่แต่งงานแล้วมาอยู่กับฝ่ายหญิงของตระกูลเจียงในเมืองเจียงหนาน อีกทั้งตระกูลเจียงก็ถือว่าเป็นตระกูลอันดับสองที่รั้งท้าย สถานะของคนประเภทนี้สำหรับเธอแล้ว ก็ไม่ต่างกับคนชั้นต่ำที่สุดในสังคม
มิน่าล่ะที่กัวปู๋เจิ้นไม่พูด
เพราะพูดถึงสถานะของคนประเภทนี้แล้ว มันช่างสกปรกปากของเขาอย่างสิ้นเชิง
แน่นอนว่าหยางเหม่ยหลินยังคิดไม่ถึงอีกจุดหนึ่ง:
นั่นก็คือเบื้องหลังที่น่าทึ่งของมู่เซิ่งนั้น กัวปู๋เจิ้นเองต้องการที่จะล้างแค้นเธอ จึงจงใจไม่เอ่ยถึงสถานะที่แท้จริงของมู่เซิ่ง